วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] GOLDEN FAIRY (โคเอน x อาลีบาบา) Chapter 15



แม้ว่าจะต้องมอดไหม้ไปในกองเพลิง
ก็ขอเพียงแค่ปลายนิ้วเราได้สัมผัสกัน
เจ้าตุ๊กตาดีบุกผู้ล่ะทิ้งซึ่งความจริง




"เจ้ามาหาข้าแบบนี้ แสดงว่าเสียงระฆังตีบอกเวลาเที่ยงคืนคงจะดังแล้วสินะ"
บัลคาร์กพูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดในบ้านหลังเล็กของเขา ในขณะที่แขกไม่ได้รับเชิญค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืดของห้อง


"ทั้งที่งานเต้นรำมันดำเนินไปทั้งอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมถึงรีบตามหารองเท้าแก้วนักล่ะ?"
ขุนพลแห่งบัลแบดทอดสายตามองออกไปไกลด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความกลัวพลางคลี่ยิ้มบางๆออกมา แม้ว่าปลายดาบแหลมคมจะจ่อคอหอยของตนอยู่ก็ตาม


"แก..เอาวิญญาณของเด็กไปหล่อเลี้ยงต้นไม้นั่นสินะ เด็กที่ยังไม่แม้แต่จะลืมตาดูโลก จะหวนคืนสู่กระแสแห่งโซโลมอนไม่ได้จะแตกดับก็ไม่ได้ จิตใจของพวกแกทำด้วยอะไรกัน" โคเอนกดเสียงต่ำเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก แต่ถึงกระนั้นบัลคาร์กก็หาได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย ยังคงนั่งเฉยๆอยู่บนโซฟาก่อนจะพูดตอบกลับไป โดยที่ไม่โต้ตอบอะไรมากกว่านั้น


"เพราะว่ายังไม่ลืมตาดูโลกน่ะสิ วิญญาณที่บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความทรงจำ ไม่รู้จักความสุข ไม่เคยพบพานความเศร้า เหมาะสมที่สุดที่จะแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้"


"ทำลงไปได้ยังไง.."
โคเอนกัดฟันกรอด หากทำได้ล่ะก็เขาอยากจะบั่นคอคนตรงหน้าลงเสียเดี๋ยวนี้


คนที่นั่งอยู่บนโซฟาปิดตาลงครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
"เจ้าก็น่าจะเข้าใจดี ไม่มีพ่อคนไหนอยากให้ลูกทุกข์ทรมาณไปชั่วชีวิตหรอก.."


"ก็เออน่ะสิวะ! ไม่มีพ่อคนไหนอยากเห็นลูกถูกจองจำไปตลอดเหมือนกัน!"
คนที่ยืนอยู่ขึ้นเสียงด้วยความเดือดดาลก่อนจะกดคมดาบให้แนบชิดกับเนื้อบางตรงคอหอยของคนที่นั่งอยู่ยิ่งขึ้นไปอีก พร้อมที่จะปลิดชีพภูติปีกแมลงปอตนนี้ได้ทุกเมื่อ


บัลคาร์กที่ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจมองออกไปอย่างเหม่อลอย กงล้อแห่งโชคชะตาหมุนเวียนมาบรรจบให้ชายหนุ่มผู้นี้เลือกเส้นทางของเขาอีกครั้ง เทพธิดาผู้ปั่นด้ายแห่งพรมลิขิตช่างโหดร้ายกับพวกเขาเหลือเกิน


"เจ้าน่าจะดีใจที่อย่างน้อยอาลีบาบาก็ยังมีชีวิตอยู่ "


"มีชีวิตอยู่? มีชีวิตอยู่ในร่างกายของลูกตัวเองเนี่ยนะ แบบนั้นตายไปซะยังจะดีกว่า!"


"ทำไม? เจ้าหงุดหงิดที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้านอนกับลูกตัวเองมาตลอดงั้นหรอ?"บัลคาร์กกระตุกยิ้มเย้ยอย่างไม่เกรงกลัว กระตุ้นอารมณ์โกรธของคนตรงหน้า


"สารเลว…"


บัลคาร์กยิ้มออกมาราวกับต้องการจะประชดประชัน
"หึ แล้วเจ้าล่ะทำอะไรบ้าง? ที่ผ่านมาเจ้าเสียสละอะไรบ้าง? ในขณะที่คนรักของเจ้ายอมแลกเวลาทั้งชีวิต เพื่อ1วันที่จะได้อยู่กับเจ้า เจ้าจ่ายอะไรไปบ้าง กับความสุขราคาแพงที่เจ้าเอาแต่กอบโกยอยู่ฝ่ายเดียว"


"หมายความว่ายังไง?"
โคเอนขมวดคิ้วมุ่น 'หนึ่งวันอะไรกัน?'


...ถ้างั้นวันนี้ทั้งวันเจ้าอยู่กับข้าได้มั้ย ขอร้องล่ะ!...


หนึ่งวัน? วันนั้น? ก่อนที่จะแยกกันอาลีบาบาก็ยังคงยืนยันที่จะให้ไปรับ
ยังไงก็บอกว่าจะรอให้เขาไปรับจนถึงที่สุด


"ถ้าตั้งใจจะย้ายวิญญาณตัวเอง ทำไมถึงยังคิดจะให้ไปรับอีก? แล้วทำไมถึงต้องผนึกความทรงจำของตัวเอง? พวกแกรึว่าจะ..." ดวงตาสีทับทิมกระตุกวาบราวกับมีแสงบางอย่างฉายเข้ามาในดวงตา


'หักหลัง'


"เรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่!?"


"หึหึหึ ข้าเองก็ถูกราชาแห่งบัลแบดองค์ก่อนเปลี่ยนความทรงจำนะ จะเอาอะไรกับข้าล่ะ?" บัลคาร์กหันไปมองใบหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญเจ้าของคมดาบสีดำเงาที่จ่อคอหอยของเขาอยู่ตอนนี้ ก่อนจะพ่นเสียงหัวเราะออกมา


ดวงตาที่ลุกโชนด้วยไฟแห่งโทสะมองเข้าไปในดวงตาสีดำสงบนิ่งที่สะท้อนภาพของตัวเขา ก่อนจะกระตุกยิ้มเหี้ยมพร้อมกับกดคมดาบจนมันเฉือนผิวเนื้อเป็นรอยแดง
"ถือซะว่ามาฟังคนแก่เพ้อเจ้อก่อนตายแล้วกัน"

.


.


.


"ดอกไม้แห้ง?"


"ไม่ดีกว่า ยังไงดอกไม้สดก็ดีกว่าอยู่แล้ว…"
ผมเลือกดอกไม้ที่จะใช้ประดับแจกันในห้องทำงานของซินอยู่ได้ซักพักใหญ่ พอมองกลับไปที่ดอกไม้แห้งอีกทีก็รู้สึกว่ามันดูละม้ายคล้ายกับตัวเองเหลือเกิน จนแทบจะตัดใจเลือกไม่ได้ และสุดท้ายก็จบลงโดยการเหมามาทั้งสองอย่าง


ในขณะหอบถุงกระดาษสีทรายที่พันรอบดอกไม้ช่อใหญ่ ผมก็คิดถึงคำพูดของคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นผู้ชายตัวใหญ่เรือนผมสีแดงเข้มเหมือนกับกลีบของคาเมเลียสีสด ที่บอกกับตุ๊กตาอย่างผมว่า ผมนั้นไม่ได้เป็นของปลอมไปซะทุกอย่าง


อย่างน้อยดวงตาก็แยกได้ซึ่งสิ่งปนปลอม มองเห็นความจริงที่อยู่ด้านใน...


ตั้งแต่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หักโค่นลง


   ซินแบดตามเก็บเศษเสี้ยวมนตราแห่งสรรพชีวิตที่แตกกระจายของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สร้างร่างกายหนึ่งขึ้นจากต้นไม้แห่งสมดุลที่พังทลายเมื่อสิบแปดปีก่อน ค่อยๆเติมเต็มความว่างเปล่าทีละนิดด้วยภาพความทรงจำสีละมุน ทำให้ผมมีชีวิตขึ้นมา แทนที่ใครซักคนที่เป็นเจ้าของใบหน้าและน้ำเสียงนี้


'แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สนใจหรอก'


ต่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีสิ่งไหนที่เป็นของผมก็ตาม
ต่อให้จะต้องถูกทิ้งขว้างก็ไม่เป็นไร
...หากว่าเป็นความต้องการของเขาล่ะก็...


"ป่านนี้พวกคุณโคเอนคงจะกำลังมีความสุขกันอยู่ล่ะมั้ง.."
จาฟาลยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจเลือกซื้อของฝากให้กับภรรยาของแขกคนหนึ่งที่มาเยี่ยมเยือนซินเดรียเมื่อไม่นานนี้


'น่าอิจฉา'
เป็นคำที่ผมพร่ำบ่นขึ้นในใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
พวกเขาคงจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปจากนี้ได้อีกหลายสิบปี ได้กอดกัน แลกจุมพิตอีกนับพันนับหมื่นครั้ง ร่วมกันมองท้องฟ้าหลากสีสัน  อ่านกวีรักใต้จันทราสุกปลั่งในคืนของฤดูเก็บเกี่ยว


สิ่งได้แต่ปราถนาให้มันกลายเป็นช่วงเวลาอันยาวนาน ไม่ต้องเป็นนิรันดร์ก็ได้ แค่ขอให้พวกเราได้มีเวลาคุยกันมากกว่านี้ ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้อีกซักหน่อย จนกว่าจะถึงฤดูร้อนที่ดอกไม้ไฟบานสะพรั่งเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน


แต่คงไม่เหลือเวลาอีกแล้ว...


ผมชะโงกมองเอลฟ์หนุ่มผมสีดำขลับราวกับผลมะเกลือสุกจากหน้าต่างตามระเบียงทางเดิน เจ้าของดวงตาหยิ่งยะโสและท่าทางดูถูกดูแคลนคนรอบตัวอยู่เสมอๆที่กำลังพักผ่อนในสวนอย่างสบายใจ จูดัลมาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว ในขณะที่ช่วงนี้ซินไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก ผมพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะทำเป็นไม่สนใจเดินไปหาแจกันมาจัดดอกไม้ อย่างน้อยเจ้าสิ่งเล็กๆน้อยๆนี่ก็คงช่วยให้ซินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง


อีกอย่างใครจะรู้ล่ะว่าดอกไม้แห้งมาจัดกับดอกไม้สดแล้วมันสวยขนาดนี้


ใบหน้าน่ารักยิ้มก่อนจะยกแจกันไปยังห้องทำงาน มองใบหน้าที่ขะมักเขม้นกับเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะวางแจกันใบใหญ่ลงบนโต๊ะมุมห้องอย่างเงียบเชียบ


"จาฟาล..คืนนี้มาที่ห้องหน่อยได้มั้ย"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะเงยหน้าขึ้นจากกองงานที่กำลังถูกพับเก็บไป ใบหน้าที่ดูขึงขังผิดจากทุกทีมองคนตัวเล็กที่อยู่อีกฝากหนึ่งอย่างเงียบๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะขานรับกลับไปด้วยรอยยิ้ม


"ได้สิครับ"
คนตัวเล็กยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่คิดจะถามอะไรต่อ ในขณะที่ซินแบดนั่งทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจท่ามกลางความเงียบอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงาน ก่อนมือใหญ่จะเก็บมีดสีเงินกลับเข้าไปในลิ้นชักอีกครา


"เลิกลีลาซักทีจะได้มั้ย"
น้ำเสียงเย่อหยิ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของเอลฟ์หนุ่มร่างเพรียวบาง และสีหน้าอันไม่พอใจที่ชวนให้อึดอัดใจ "ร่างกายของข้าพอปราศจากแสงจากปีกของโคเอนแล้วมันก็คงอยู่ไม่ได้นานหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะรีบไปวิหารศักดิ์สิทธิ์หรอกหรอ?"


"ข้ารู้แล้ว.."


.


.


.


ทุกอย่างถูกเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงแต่ภาชนะใส่วิญญาณเท่านั้น…


สมดุลโลกจะต้องปั่นป่วน หากมีเพียงแค่เขาคนเดียวล่ะก็…
โลกนี้จะถูกสาปให้ตกลงสู่ความพินาศ เพราะปีกข้างเดียวไม่สามารถที่จะบินออกไปสู่ผืนฟ้าได้ และเมื่อถึงเวลา โคเอนจะต้องมาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน


...หวังก็เพียงแต่ คงจะไม่มาช้าเกินไป...


ซินแบดถอนหายใจยาวอยู่ปลายเตียง ในขณะที่ร่างของเอลฟ์หนุ่มจอมยียวนนอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียงของเขาราวกับร่างไร้ชีวิตนั้นเอง เสียงของบานประตูเปิดก็ดังขึ้น


ตุ๊กตาผมสีเงินผิวสีซีดกับรอยยิ้มบางๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามา ดวงตาหน้าน่ารักมองผ่านเลยร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไป หากจะบอกว่ามองไม่เห็นล่ะก็จมูกของเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็คงจะยื่นยาวออกมาเป็นแน่แท้


หากดวงตาที่ใช้มองความจริงนี่มันทำให้ต้องรู้สึกเจ็บปวด
ผมคิดว่า ผมก็คงไม่ต้องการมันหรอก


"มานี่สิ"
เสียงทุ้มที่ฟังดูหม่นหมองเอ่ยขึ้น


จาฟาลเดินไปนั่งบนตักของคนตัวใหญ่ตามเสียงเรียกหาโดยที่ไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ก่อนที่จะโดนวงแขนกอดเอาไว้แน่น พร้อมกับจุมพิตที่ประทับลงบนเรือนผมสีเงินสวยอย่างแผ่วเบา


"ซิน..."


คนที่ถูกเรียกชื่อยังคงนิ่งเงียบ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่มอบอ้อมกอดให้กับเจ้าตุ๊กตาผมสีเงิน โดยที่ไม่แม้จะอยากมองใบหน้านั้น


"จำเรื่องดอกไม้ไฟที่เราเคยไปดูด้วยกันเมื่อตอนหน้าร้อนได้รึเปล่า"
น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยถามขึ้น ก่อนจะพลิกตัวหันไปมองใบหน้าที่ดูเหมือนจะผงะนิ่งไป มือเล็กๆประคองใบหน้าเรียวขึ้นมาช้าๆ มองเข้าไปในเงาสะท้อนที่อยู่ในแก้วตาสีอำพันสวยก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆที่ดูราวกับว่า หากละสายตาไปซะตอนนี้รอยยิ้มนั้นจะถูกกลืนหายไปกับแสงริบหรี่ของเหล่าหมู่ดาวสีเงิน ทำเป็นไม่สนใจคมมีดที่ค่อยๆกดลงมาบนผิวเนื้อด้านหลัง


"นายน่ะไม่ใช่จาฟาล"


ทั้งที่มีดมันยังแทงไม่ถึงหัวใจแท้ๆ
แต่ทำไมถึงได้เจ็บปวดเหลือเกิน…


'ได้โปรด ฆ่าผมให้ตายซะตอนนี้เลยเถอะซิน'


"คุณโคเอน.. เขาบอกกับผม… ถึง..แม้ว่าผมจะ...เป็นแค่ของปลอม ถึง..ผม จะไม่ใช่จา...ฟาล แต่..." น้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างยากลำบากเอ่ยขึ้นอย่างติดๆขัดๆ ในขณะที่ใบหน้าพรั่งพรูไปด้วยหยดน้ำตา เปลือกตาบางค่อยๆปิดลงช้าๆก่อนจะฝืนยิ้มออกมาปล่อยให้มีดสีเงินค่อยๆกดลงมาลึกขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ


...ไม่มีเวลาแล้ว...


ผมเศร้าเหลือเกินซิน
ที่ผมยังไม่ได้บอกกับคุณ ว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้ว่าเจอกับคุณ หรือดอกไม้ไฟในหน้าร้อนนั้นมันวิเศษเพียงใด ดอกไม้ไฟที่คุณดูด้วยกันกับจาฟาลคนนั้น


ผมอยากจะไปดูกับคุณนะ...  


'ถ้ามีโอกาส เราไปดูด้วยกันได้มั้ย'
ผมอยากจะพูดประโยคนี้กับคุณ แต่เหมือนว่าจะไม่ได้เสียแล้ว


"ซิน..ผะ...ผมรักคุณ"


คนตัวเล็กทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของคนตรงหน้า ในขณะที่สติค่อยๆพร่าเลือนไปอย่างเงียบงัน ทีละเล็กละน้อย เช่นเดียวกับหยดน้ำตาที่ถูกสัมผัสของมือหยาบเช่นปาดออกอย่างนุ่มนวล


สัมผัสนั้นหาใช่ของชายที่ชื่อจาฟาลไม่
แต่เป็นความอ่อนโยนที่มอบให้กับเจ้าตุ๊กตาผมสีเงินเป็นครั้งแรก


ช่างน่าเสียดายที่มันได้ทำลายดวงตาแห่งความจริงของตนเองไปเสียแล้ว ดวงตาที่มืดบอดจึงไม่อาจที่จะสัมผัสถึงความอ่อนโยนนี้ได้ ไม่อาจรับรู้สิ่งที่มันโหยหามาโดยตลอด หัวใจที่มอดไหม้ไปในเตาผิงได้แต่กรีดร้องคำรักไปอย่างโง่เขลา จักเหลือก็เพียงแต่ตะกั่วสีสดใสรูปหัวใจดวงน้อยที่ส่องประกายท่ามกลางกองขี้เถ้าในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น


ทั้งๆที่ผมไม่ใช่จาฟาลแท้ๆ
แต่ทำไมถึงได้รักคุณเหลือเกิน...


"ตื่นขึ้นมาได้แล้วจูดัล ข้าจ่ายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเจ้าหมดแล้ว.."


.



.



.



"ฮ่ะๆ"
บัลคาร์กหัวเราะดังก้อง ไม่ห่วงว่าคอตัวเองจะมีเลือดไหลซิบออกมาขนาดไหนก่อนจะพูดไปพลางหัวเราะเบาๆไปพลางในขณะที่คอของตัวเองพาดอยู่บนมีดาบคมกริบ


ดวงตาสีเข้มมองเสี้ยวหน้าของกุยหนุ่มผู้ทรงศักดิ์ที่กระทบกับแสงจันทร์นวลราวกับเย้ยหยัน


"ถ้าเจ้าอยู่ด้วยในตอนนั้น เจ้าจะไม่พูดคำอย่างคำว่า 'อยู่แบบนั้นตายๆไปซะก็ดีกว่า' ออกมาหรอก" ดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกชวนกระอักกระอ่วนมองไปยังดวงตาสีทับทิมที่กำลังแผดเผาด้วยเพลิงพิโรธก่อนจะฉีกยิ้มชวนสะอิดสะเอียนออกมาพร้อมน้ำตา


"เจ้าน่าจะได้ฟังเสียงร้องไห้วิงวอนจนแทบจะขาดใจนั่นนะ"



"แก.."
คนที่ยืนอยู่จับด้ามดาบมือสั่นในขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะกดคมมีดปลิดชีพคนตรงหน้านี้ดีหรือไม่

เพราะอย่างนี้ถึงได้อยากให้หนีไปด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้นสินะ
แต่เขากลับ ส่งอาลีบาบากลับบัลแบดไป...


"เสียงกรีดร้องขององค์ชายในวันนั้น ข้าไม่มีวันลืมเลย ตอนที่เขารู้ว่าพวกเราซ้อนแผนใช้เด็กเป็นตัวตายตัวแทนน่ะ" น้ำเสียงหัวเราะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นขณะที่โคเอนกดคมดาบลงมาเรื่อยๆ เขาแทบจะทนฟังคำพูดน่ารังเกียจนั่นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



"ไอ้พวกเลว.."

เมื่อชิ้นส่วนของภาพต่อจิ๊กซอว์สลับเปลี่ยนที่อีกครั้ง ไขความจระจ่างทั้งหมดในความทรงจำสีจางที่ครุกครุ่น มือที่สั่นเทาเมื่อครู่ขจัดความขลาดออกไปพลันกำชับด้ามดาบแน่น ดวงตาสีทิบทิมลุกโชติช่วงราวกับมีเพลิงกำลังลุกโหมอยู่ด้านในกระจกตา ก่อนจะเงื้อดาบขึ้นสูงจนแสงสีเงินของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามากระทบกับความตายสีดำอันคมกริบ


เมื่อ18ปีก่อน นอกจากเขาจะไม่ได้ปกป้องลูกเมียเอาไว้แล้ว
ยังขับไล่ไสส่งให้กลับไปตาย...


บัลคาร์กมองใบหน้าที่ถูกแผดเผาไปด้วยความโกรธาก่อนฉีกยิ้มด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาราวกับคนเสียสติแล้วพูดกับความตายเบื้องหน้าไปว่า


"ใช่ ข้าเป็นคนฆ่าพวกเขาเองแหละ"


ฉวัะ!





เสียงของโลหะคมกระทบเข้ากับวัตถุอย่างแรง



โคเอนเก็บคมดาบเข้าฝักไปตามเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเบาะของโซฟาขาดออกจากกันอย่างง่ายดายราวกับเนยแข็งและฟูกที่ทะลักออกมาจากโซฟาตัวเล็ก



สุดท้ายแล้ว พอเห็นหน้าของหมอนั่น
ก็รู้สึกสมเพชจนฆ่ามันไม่ลง..



"ทำไม ถึงไม่ลงมือล่ะ"
บัลคาร์กเงยหน้าขึ้นถามเจ้าของสีหน้าหยิ่งทนงที่กางปีกพร้อมจะบินจากไป พร้อมกับทิ้งซากของโซฟาพนักพิงขาดเป็นท่อนเอาไว้


"ข้าทั้งสมเพชเจ้า ทั้งสมเพชตัวเองจนฆ่าไม่ลง มันก็แค่นั้นแหละ"
สิ้นเสียงปีกเพลิงสีแดงก็พลันเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสุกใสก่อนจะหอบเอาความร้อนนั้นทะยานขึ้นสู่กล่องใส่อัญมณีสีน้ำเงินเข้มที่มีดวงจันทร์เป็นเพชรเม็ดใหญ่จรัสแสงท่ามกลางความมืดมิด


ใช่แล้ว…
ข้าก็สมเพชตัวเองจดแทบอยากจะกดมีดลงกลางอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเหมือนกัน


   ปีกสีฟ้าใสพุ่งทะยานออกไปเหนือเมฆสีทึมยามพลบค่ำ ฝ่าลมปะทะมุ่งหน้ากลับไปยังเจิดจรัสพร้อมกับกอดความคนึงอันขมขื่นที่ทับถมกันเอาไว้แน่น แน่นเสียเกินกว่าสายลมแรงจะปัดเป่ามันออกไปได้


. . .



คือข้าเอง ที่พังทลายความช่วงเวลาที่ข้ารักหวงแหนมากที่สุด
คือข้าเอง ที่บดขยี้ทำลายโชคชะตาของพวกเราทั้งสาม


เพราะอย่างนั้นอาลีบาบาถึงต้องการหนึ่งวันวันนั้น ไม่ใช่เพื่อล่ำลาเพียงแต่ต้องการย้อนกลับไปเป็นเหมือนดั่งวันวานในช่วงเวลาที่ฝ่ามือของเราทั้งสองกอบกุมกันอย่างแนบแน่นโดยไร้ซึ่งสิ่งใดกั้นขวาง เพียงแค่ต้องการย้อนกลับไปยังสถานที่แห่งความรู้สึกนั้น…


ข้าเองก็อยากจะย้อนกลับไป
จบหน้านิทานอันบิดๆเบี้ยวๆนี่ซะ!


...เรื่องนี้ข้าจะจบมันเอง...


    โคเอนกางปีกโผบินกลับมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก่อนที่เส้นขอบฟ้าจะทอเส้นแสงสีทองอยู่รำไร ทันทีที่มาถึงเขาก็ย้อนกลับมาที่หอสมุดอีกครั้ง โดยที่ยังไม่บอกข่าวเกี่ยวกับการกลับมาให้ใครได้ล่วงรู้ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้ต้นใหญ่ที่ขยับโบกกิ่งไปมาราวกับกำลังทักทาย



ในตอนนี้แม้แต่ว่าคำว่าขอโทษก็ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว...



"คงถึงเวลาที่ข้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้างแล้วสินะ"
คนตัวใหญ่ประทับผ่ามือลงบนเปลือกไม้สีน้ำตาลเข้มอย่างแผ่วเบา

... ในขณะที่ต้นไม้อ่อนแอลงและกำลังจะตาย วิญญาณและร่างกายของข้าจะหลอมรวมไปกับมนตราแห่งสรรพชีวิต ถึงแม้จะไม่ใช่วิญญาณเทพ แต่ถ้าเป็นประกายสีม่วงของภูติสีทองที่อยู่ในตัวข้าล่ะก็ คงจะแลกเปลี่ยนกันได้อย่างแน่นอน...



...ทั้งหมดนี้ก็เพื่อชดใช้ให้กับพวกเจ้า...




"ดูแลแม่ให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้เขาต้องเสียใจเหมือนกับที่ข้าเคยทำ จากนี้ข้าคงต้องฝากทุกอย่างเอาไว้กับเจ้าแล้ว  ขอโทษนะที่พูดเอาแต่ใจอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้..."


"ขอโทษนะ ที่แม้แต่ชื่อก็ตั้งให้เจ้าไม่ได้"
ทั้งๆที่คิดว่าพอมีลูกแล้ว มีเรื่องที่อยากจะทำด้วยกันเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ว่า..


"พวกเราคงอยู่พร้อมหน้ากันไม่ได้อีกแล้วล่ะ"


วิญญาณที่เกิดจากต้นไม้ร่างกายก็จะกลายเป็นนิมฟ์
แม้ว่าเจ้าจะเกิดมาไม่ใช่ทั้งภูติหรือกุยก็ตาม...
"ไม่ว่าจะมีรูปร่างแบบไหน ข้าก็อยากให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่" เสียงทุ้มต่ำพูดอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ก่อนที่เขาจะร่ายมนต์บทหนึ่งออกมา


ถ้อยคำต้องห้ามหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากได้รูปไม่หยุดหย่อนพอๆกับผลย้อนกลับของเวทมนต์รุนแรงสมกับราคาที่คนธรรมดาต้องจ่าย ร่างกายนั้นยืนหยัดต่อต้านกับกฎอันโหดร้ายของโลกอย่างทรหด


โคเอนต่อสู้อยู่กับสติของตัวเองที่ค่อยๆพร่าเลือนลงไปทุกขณะ เลือดสีแดงสดค่อยๆหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเก้า ดวงตาและใบหน้าอาบย้อมไปด้วยเลือดจนดูน่ากลัว แม้ว่าหูจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ลิ้นและริมฝีปากนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดถ้อยคำที่เป็นดั่งมีดกรีดแทงตัวเอง จนกว่าเวทมนต์จะสัมฤทธิ์ผล...





ปล่อยให้ร่างกายดำดิ่งลงไปทั้งแบบนี้แหละ
ให้เจ็บปวดทรมาณไปทั้งแบบนี้
หากมันจะชดใช้ได้ซึ่งทุกสิ่งแล้วล่ะก็...




'อาลีบาบา'

.
.
.




รู้อะไรมั้ย ในตอนนั้นที่ทุกอย่างมันพังทลายลงมา
ข้าได้แต่คิดภาพย้อนไปยังวันนั้นอย่างไม่มีสิ้นสุด


ข้าคิดภาพของตัวเองที่ตอบรับคำขอของเจ้าแต่โดยดีในวันนั้น พวกเราหนีไปด้วยกัน หนีไปไกลแสนไกล ไปสู่สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักที่ที่ไม่มีปรากฏอยู่บนแผนไหนๆ


   ใต้แสงสลัวที่สาดส่องผ่านแมกไม้ มีเพียงกระท่อมหลังเล็กที่หลบซ่อนจากสายตาผู้คน ข้ากับลูกออกไปเที่ยวเล่นกันในป่า ก่อนจะหิ้วกวางตัวใหญ่ติดมือกลับมาในตอนเย็น และตรงหน้าบ้านก็มีเจ้ายืนรอข้ากับลูกกลับบ้านด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมื้อเย็น


  ในทุกฤดูใบไม้ผลิพวกเราจะออกไปเดินเล่นอาบแสงตะวัน ที่มีเสียงของเจ้ากับลูกหัวเราะใต้ต้นเชอร์รี่สีขาวพร้อมกับตระกร้าปิกนิกที่ใส่ขนมอบและกระติกน้ำชาอุ่นๆ พวกเรานั่งมองกลีบดอกไม้เล็กๆที่ค่อยร่วงบิดพริ้วไปตามลม


   พอถึงหน้าร้อนพวกเราเดินผ่านทุ่งหิ่งห้อยสีครามดูความงดงามของดอกไม้ไฟจากหมู่บ้านของผู้คนที่อยู่ไกลลิบ ข้าพาลูกขี่คอไล่จับแมลงหลากสีในขณะที่เจ้าทำหน้าไม่พอใจเพราะข้าเผลอปล่อยให้เขาปีนต้นไม้จนเกือบตกลงมา


  กระทั่งใบไม้ค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ฤดูใบไม้ร่วงที่จันทราอร่ามงดงามดั่งเช่นสีนัยน์ตาของเจ้า พวกเราออกไปเก็บเห็ด ปิ้งมันด้วยกัน แล้วก็กลับบ้านพร้อมกันสามคน ข้าจับมือของลูกเอาไว้ แล้วเจ้าก็จับมืออีกข้างหนึ่งของเขาก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าลูกของพวกเราสูงขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว


  เมื่อใบไม้ร่วงหมดและลมหนาวพัดมา ในวันที่หิมะตกพวกเราอยู่หน้าเตาผิงพร้อมกับโกโก้ร้อนฟังเจ้าเล่านิทานให้กับลูกๆของเรา ในที่ตรงนั้นก็จะมีข้าก่อกวนอยู่ข้างๆรอคอยสายลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาอีกครา


    คืนวันที่มีแต่ความสุขของพวกเราดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ...


    
ในห้วงภวังค์ของข้า ภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะฉายซ้ำไปซ้ำมาคอยตอกย้ำในสิ่งที่เคยทำพลาดพลั้งไปเมื่อหลายปีก่อน แม้อยากจะย้อนกลับไป แต่แค่จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่อาจทำได้อีกแล้ว



...ขอโทษนะอาลีบาบา...


.


.


.


.


.


ชิ้นส่วนที่สมบูรณ์อย่างบิดเบี้ยว

1 ความคิดเห็น: