วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER17






บุปผาแห่งขุนเขาบานสะพรั่งซักกี่ครั้ง น้ำค้างแข็งปกคลุมผืนป่าซักกี่ครา
ก็ยังคงมีหมอกฝนไม่สร่างซา ดั่งโบตั๋นไม่โรยรา
เมื่อยามฤดูกุหลาบป่ามาเยือน...



"อะไรกันนี่เจ้ายังไม่เลิกอ่านบทกวีเพ้อฝันนั่นอีกรึ 'เยลปา' ทิวทัศน์ที่มองจากหอคอยที่สูงที่สุดในอูกิเป็นยังไงบ้างล่ะ"

หญิงสาวสูงศักดิ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนที่ดูเหมือนเก็บซ่อนความนันย์บางอย่างเอาไว้ในทุกประโยคที่พูดออกมา ริมฝีปากสีแดงชาดคลี่ยิ้มให้กับแผ่นหลังเหยียดตรงขององค์หญิงผู้ทนงตนอย่างเย้ยหยัน


"หิมะสีขาวที่แต่งแต้มเทือกเขาเยลปามันสวยงามมากจริงๆ หากมันแต่งแต้มไปด้วยสีเขียวจะเป็นเช่นไรกัน"
เสียงนุ่มนวลไพเราะดั่งถูกสรรสร้างขึ้นมาเพื่อให้เอื้อนเอ่ยบทกวี เอ่ยขึ้นขณะที่ทอดสายตามองออกไปยังหน้าต่างทรงกลมบานใหญ่ที่มีลมหนาวโกรกเข้ามาเป็นระยะๆ พัดม่านผมสีเงินยวงพริ้วไสว


"ที่อูกิน่ะไม่มีฤดูใบไม้ผลิหรอก"

"หัวใจของท่านก็เช่นกันองค์ราชินี..."
ดวงตาสีฟ้าขุ่นเหลือบตามองหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ยืนห่างออกไปด้านหลังด้วยแววตาทนงอย่างไม่เกรงกลัวโทษอาญาใดๆแม้แต่น้อย

"ข้ากับเจ้าต่างกันตรงไหนรู้มั้ย ตรงที่เจ้าชอบอ่านบทกวี ส่วนข้าชอบที่จะเขียนมันด้วยมือตัวเองมากกว่า แต่เราทั้งสองก็เหมือนๆกันตรงที่ยังคงวิ่งเต้นไปตามโชคชะตาอันไม่สมเหตุสมผลนี่"


"100ปีผันผ่านเหล่าจิ้งจอกเดินตามโชคชะตานำพาเศร้าโศกาเยือนสู่บัลลังก์แดง หรือดวงประทีปทองจักร่ายรำจนสิ้นแสง แผดเผาน้ำแข็งเกาะคลุมวังแดงในคิมหันต์ สองเลือดเหมันต์จักสิ้นเศร้าระทมน่าอดสู"


"หึ เดี๋ยวจะได้รู้กัน เจ้าจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้นานซักแค่ไหนตอนที่นังเลือดผสมนั่นถูกข้าฆ่าพร้อมกับลูกของมัน..."
หญิงสาวผู้ครองแคว้นเหมันต์ทำท่าทางจะก้าวขาลงบันไดหยุดชะงัก ก่อนจะหันมาหัวเราะอย่างเรียบเย็น "จะว่าไป...เด็กนั่นก็เป็นลูกของเจ้าด้วยสินะเยลปา"

"เทพพยากรณ์จะต้องตายในพระราชวังคำทำนายถึงจะเปลี่ยนไป ท่านไม่เห็นจะต้องเกรงกลัวอันใดกับคำพูดของเด็กน้อยเลย ในเมื่อท่านส่งตัวเทพยากรณ์พร้อมกับผู้ติดตามไปเรมแล้ว"


"รู้อะไรมั้ยเยลปา ถ้าไม่ติดว่าเจ้าเป็นน้องคนโปรดที่สุดของข้า ข้าก็คงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว"


.

.

.



"นี่ลุง ยังไม่เสร็จกันอีกหรอ นี่ปาไปสามอาทิตย์แล้วนะ" 


"โถ่อิหนูเอ้ย หิมะหนาเป็นตันๆขนาดนี้กว่าจะโกยออกหมดมันก็ต้องใช้เวลา พวกทางการก็ไม่ส่งคนมาช่วย ชาวบ้านอย่างเราๆก็มีแต่จะต้องทำกันเองมันก็จะช้าๆหน่อยแบบนี้แหละ" ลุงรูปร่างท้วมบ่นก่อนจะหยิบพลั่วที่วางอยู่ข้างๆทำท่าทีว่าลุกไปทำงานต่อ 

"ดะ เดี๋ยวสิ แล้วจะเสร็จเมื่อไหร่ล่ะแบบนี้พวกคาราวานที่ติดอยู่ตรงชายแดนก็ลำบากแย่น่ะสิ"

"อีกสามสี่วันเห็นจะได้ เจ้าน่ะหลบๆไปได้แล้ว เดี๋ยวเมียข้ามาเห็นยืนคุยกับผู้หญิงสาวๆจะพาลไล่ข้าไปนอนนอกบ้านอีก" ลุงร่างท้วมใหญ่ปัดมือไล่ 



"แย่จริงๆเมื่อวันก่อนดันมีลมแปลกๆพัดมา ไอ้หนุ่มนั่นเกือบโดนหิมะฝังทั้งเป็นแน่ะ เห็นว่าบาดเจ็บจนมาทำงานไม่ได้ งานเลยไม่คืบหน้าซักที"

"เฮ้อ ไม่ไหวๆ โชคดีที่ช่วงนี้เจ้าโจรที่ออกอาละวาดมันเงียบๆหายไปบ้าง ไม่งั้นงานคงจะล่าช้ากว่านี้ เจ้าพวกนั้นก็มัวแต่เอาเวลาไปไล่จับขโมยกันหมด.." 




     อาลีแอบฟังคำบ่นพึมพำของชาวบ้าน ก่อนจะเดินออกมาจากบริเวณนั้นลัดเลาะไปตามซอกซอยบ้านเรือนอย่างช่ำชอง แน่นอนว่าเรื่องการจดจำและใช้เส้นทางเองก็เป็นหนึ่งในจุดแข็งของเขาด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะชอบมีคนพูดบ่อยๆก็เถอะว่าข้อเสียของผู้หญิงก็คือการไม่มีหัวเรื่องทิศทาง แต่มันคงไม่ใช่เขาแน่ๆล่ะ


"ช่วงนี้ไม่เห็นเจ้าตาเหล่เลย ไปติดหญิงที่ไหนกันนะ โคเอนก็เอาแต่หมกมุ่นเรื่องวังเหมันต์ ไม่ว่าจะทางไหนผู้ชายเนี่ยเป็นเพศที่หมกมุ่นจริงๆ"

ตัวอย่างง่ายๆก็มีให้เห็นอย่างเช่นพวกอันธพาลกระจอกที่รุมเปิดกระโปรงแต๊ะอั๊งผู้หญิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของซอกซอยที่ฉันกำลังเดินอยู่ตอนนี้


เจ้าพวกอันธพาลในโรงเตี๊ยมเก่าที่มีเรื่องกับโคเอนเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน...

เธอถูกพลักจนล้มลงฟุบกับพื้นหิมะและโคลนหลังจากถูกแกล้งจนอับอาย ตระกร้าไม้สานพร้อมกับแอปเปิ้ลลูกโตสามลูกกระเด็นกระดอนออกนอกตระกร้า

"งั้นข้าเอาลูกนี้ไปแล้วกันนะ นังใบ้" ชายร่างหนาอันคุ้นหน้าคุ้นตากันดีหยิบแอปเปิ้ลลูกโตขึ้นมากัดชิมโดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีโคลนเปื้อนติดอยู่

"ถุ้ย! นี่มันเปื้อนโคลนอยู่นี่หว่า ทำไมไม่บอกข้าวะ" 
น้ำลายและเศษชิ้นแอปเปิ้ลที่เคี้ยวหยาบๆถูกบ้วนรดศีรษะของหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพื้นโดยไม่คิดจะโต้ตอบใดๆ หรือร้องเรียกให้คนช่วย ก่อนเส้นผมของเธอจะถูกชายตัวผอมลูกกระจ๊อกกระชากขึ้นมา แต่เธอก็ยังคงไม่เปล่งเสียงใดๆออกมา

"ลูกพี่ข้าถามทำไมไม่ตอบล่ะวะ"

"เฮ้ยพอแล้ว ข้าลืมไปนังนี่มันพูดไม่ได้นี่หว่า ฮ่าๆๆๆ" 

ชายอันธพาลรุมหัวเราะอย่างสนุกสนานก่อนจะปาผลไม้สีแดงสดทิ้งขว้างลงกับพื้นแล้วเดินจากไปเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่โดนแกล้งไม่มีท่าทางจะตอบโต้ใดๆ จนเริ่มรู้สึกเซ็งๆกันบ้างแล้วเมื่อรู้สึกว่าเหมือนพวกตนเองกำลังรุมหัวเราะท่อนไม้เล่นก็มิปาน  


ฉันเข้าไปช่วยเก็บตระกร้าไม้สานและผลไม้ที่กระจัดกระจายเปรอะเปื้อนอยู่ตามพื้น ก่อนจะพยุงผู้หญิงสาวที่ถูกรุมแกล้งอย่างน่าสงสาร เธอมีเส้นผมสีน้ำตาลแซมขาวแปลกตา และที่สำคัญเธอไม่ยอมเงยหน้าเลยแม้แต่น้อย 

"ไม่เป็นไรใช่มั้ย?"

"อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน"
ตระกร้าผลไม้ในมือของฉันถูกกระชากออกไป ก่อนที่หญิงสาวท่าทางพิลึกจะวิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันสักครั้งเดียว


อะไรกัน ผู้หญิงคนนั้น...
ฉันสะบัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ออกไปจากหัว ก่อนจะคิดได้ว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องกลับไปทำ

.

.

.



"ไม่ได้อ่านแบบนั้น สร่างซา ไม่ใช่ สร้างซา" เสียงเข้มดุเด็กน้อยที่นั่งทำหน้าบูดหน้าบึ้งสี่ห้าคนตรงหน้า แววตาคมกริบตรึงเด็กน้อยจอมแก่นทั้งห้าคนให้นั่งนิ่งหลังตรงได้อยู่หมัดราวกับครูฝ่ายปกครองจอบเฮี้ยบก็มิปาน

"แล้วทำไมพวกเราต้องเรียนหนังสือด้วยล่ะ"

"แล้วเจ้าเคยเห็นโจรที่ขโมยกล่องใส่ทองแทนที่จะขโมยทองในกล่องมั้ยล่ะ นั่นแหละคือสิ่งที่บอกว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญไง"


"แต่ของพวกนี้มันเข้าใจยากจะตายไป ไม่เห็นจะเข้าใจความหมายตรงไหนเลย"
เด็กคนที่นั่งอยู่ริมสุดแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอิดออดไม่อยากเรียน

"การอ่านบทกวีเจ้าจะต้องใช้ความรู้สึก ใช้จินตนาการตามตัวอักษรไปด้วยถึงจะเข้าใจ อย่างหมอกฝนไม่สร่างซา หมายถึงความเศร้าความคะนึงถึง ส่วนตรงโบตั๋นไม่โรยราเมื่อฤดูกุหลาบป่ามาเยือน นั่นหมายถึงความความรู้สึกมั่นคงไม่จางหายไปตามกาลเวลา ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็เหมือนกับ ความรู้สึกของหญิงสาวที่เฝ้ารอคอยคนรักอย่างมั่นคงไงล่ะ"


"รอคอยคนรักหรอฟังดูโรแมนติกจัง"
เด็กหญิงคนเดียวภายในกลุ่มทำตาเป็นประกายวิ้งวับ ส่งสายตาไปหาเพื่อนชายที่นั่งเรียนอย่างตั้งใจที่สุดในกลุ่ม 


"ก่อนกลับบ้านคัดตัวอักษรพวกนี้สามรอบด้วย.."


   ฉันแอบมองเหล่าเด็กๆที่ยังคงเหลืออยู่ในชั้นเรียนทั้งห้าคนที่กำลังถูกโคเอนทำโทษให้เรียนพิเศษเพิ่มหลังเลิกเรียนอย่างเงียบๆ 


ส่วนเรื่องนี้มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงน่ะหรอ...

ก็แบบว่าหลังจากที่ประมูลลูกประคำไปได้ในราคา78เหรียญทอง ก็มีข่าวลือเยติหายจากหุบเขาไปหมดเลยบวกกับท่าทางน่าเลื่อมใส(?)ของหลวงพ่อโคเอน ทางวัดเลยได้กำไรเหนาะๆจากเงินบริจาคของชาวบ้านทุกวันพร้อมกับลูกหลานที่ถูกส่งมาเรียนหนังสือที่วัด หลวงพ่อโคเอนเลยเปลี่ยนบทบาทจากสวดศพ เป็นสวดเด็กแทน 

ดูจากหน้าหงอๆของเด็กๆตอนนี้แล้ว ท่าทางก่อนหน้านี้คงจะโดนสวดยับล่ะสิท่า


ฉันย่องออกจากบริเวณส่วนที่ใช้เป็นห้องเรียนอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะไปเตรียมข้าวกลางวัน แน่นอนว่ามื้อนี้ก็ต้องเป็นข้าวต้มเปล่าๆใส่เกลือนิดหน่อยเช่นเคย... เพราะโคเอนบอกว่านอกจากข้าวต้มแล้วของที่ฉันทำมันกระเดือกไม่ลงซักอย่าง! หนอยยยย นายเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันทำกับข้าวให้กินเลยนะยะ! มันน่าปล่อยให้อดตายให้รู้แล้วรู้รอด หึ! 



เมื่อเห็นว่าต้องใช้เวลาอีกซักพักหนึ่งกว่าข้าวจะสุก ฉันจึงลุกออกจากหน้าเตาผิงเล็กๆไปแอบดูว่าเด็กๆเลิกเรียนกันรึยัง แต่ทันทีที่ก้าวเข้ามาให้ห้องเด็กๆก็วิ่งถลาเข้ามาหาพร้อมกับใบหน้าออดอ้อนเรียกคะแนนสงสารเต็มที่
"พี่ลีอา~~~"
"วันนี้พี่ลีอาหายไปไหนมา"
"อยากให้พี่ลีอาสอนมากกว่าอ่ะ"
"เมื่อไหร่พี่ลีอาจะตอบรับคำขอแต่งงานของข้าอ่ะ เป็นแม่หม้ายน่าสงสารออก"


"ฮ่ะ?"
โคเอนหันควับอัตโนมัติเมื่อได้ยินประโยคเมื่อกี้


"ข้าจะทิ้งหลวงพ่อไปได้ยังไงเล่า" อาลียิ้มพลางกับขยี้ผมของเด็กน้อยจนฟูยุ่ง ก่อนเด็กชายจะทำหน้าบูด 

"ทำไมอ่า"

"ก็ถ้าข้าแต่งงานกับเจ้า หลวงพ่ออ่อนด๋อยนี่ก็จะไม่มีข้าวกินน่ะสิ จะต้องอดตายแล้วก็ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนามากๆเลยนะ" 
อาลีก้มลงกระซิบข้างสูงของเด็กน้อยก่อนจะมีเสียงดุอันคุ้นเคยดังไล่หลังมา


"ข้าได้ยินนะ!"


เด็กๆพากันหัวเราะคิกคักก่อนจะวิ่งออกจากห้องเรียนไป หลังจากเสียงดุๆคำรามขึ้นอย่างเรียบเย็น โดยมีพี่เลี้ยงสาว(หนุ่ม)ขวัญใจของเด็กทั้งชั้นเรียนตามออกไปส่งหน้าลานวัดที่ปัดกวาดหิมะออกจนโล่งสะอาด ก่อนอาลีจะเดินกลับเข้าไปช่วยเก็บของและกองหนังสือต่างๆในห้องที่ถูกทำเป็นห้องเรียน แล้วย้อนกลับไปดูข้าวที่ต้มไว้อีกทีหนึ่ง 



     ตั้งแต่เมื่อไหร่กันก็ไม่รู้ที่รู้สึกคุ้นชินกับคืนวันอันสงบสุขที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆไปเสียแล้ว เหมือนกับตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีลูกซนๆวิ่งเล่นไปทั่วยังไงยังงั้น เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ นี่ตัวฉันคิดเรื่องอะไรอยู่ฟะเนี่ย! 

ฉันตักข้าวต้มร้อนๆใส่ชามพร้อมกับใส่ผักดองที่หั่นเป็นชิ้นๆเล็กลงไปคนๆในถ้วย ก่อนจะรอให้ถ้วยเย็นลงซักพักหนึ่งค่อยตักป้อนองค์ชายเจ้าปัญหาจนกระทั่งหมดชามเหมือนเช่นทุกมื้อ 

"ดูเหมือนเด็กๆจะชอบนายน่าดูเลยนะ"

"หืม ทำไมหรอ? ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่านายเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่เด็กๆตลอดเลยไม่ใช่รึไง"

"หรอ"

"อื้ม เด็กๆน่ะต้องการการเอาใจใส่ จะเอาแต่เข้มงวดอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ไม่มีเด็กคนไหนชอบเรียนกับคุณครูน่ายักษ์หรอกหัดยิ้มมั่งสิ" 
ฉันใช้มือจับแก้มทั้งสองข้างของโคเอนจับยกมุมปากขึ้นให้หน้าดูเหมือนคนกำลังฉีกยิ้มเต็มที่

"แบบนี้อ่ะ"

"จะป้อนข้าวต่อได้รึยัง"
โคเอนพูดตอบด้วยสีหน้าและแววตาไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคย ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยหัวเราะมาก่อน

ฉันปล่อยมือจากแก้มทั้งสองข้างนั่นอย่างรู้สึกเซ็งๆนิดหน่อยเมื่อโคเอนไม่มีท่าทีว่าจะหัวเราะแม้แต่น้อย ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามันค่อนข้างแดงกว่าปรกตินิดหน่อย นี่ฉันบีบแก้มเขาแรงไปหรอ?
"จะให้ป้อนข้าวให้ก็หันหน้ามาทางนี้สิ"


ใบหน้าของโคเอนค่อยๆหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ
มันเป็นใบหน้าที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน แววตาที่ดูอ่อนลงเสมองไปทางอื่น ราวกับพยายามหลบซ่อนจากสายตาของฉัน แต่กลับกลายเป็นว่าตัวฉันเองที่จู่ๆก็อยากจะเป็นฝ่ายหลบหน้าโคเอนขึ้นมาแทน 

"จะป้อนข้าวก็หันมาทางนี้สิ" 

"ระ รู้แล้วล่ะน่า! แค่รู้สึกคัดจมูกอยากจะจามนิดหน่อยเท่านั้นแหละ" 

ฉันพยายามรีบป้อน(ยัด)ข้าวใส่ปากโคเอน คิดแต่ว่าไม่อยากจะสบสายคู่นั้นไปมากกว่านี้ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าโคเอนแทบจะไม่เวลาเคี้ยวข้าวในปากเลย ก่อนช้อนในมือจะหยุดกลางอากาศเมื่อมือของโคเอนกุมข้อมือของฉันเอาไว้แน่นพร้อมกับมีท่าทีเหมือนอาหารติดหลอดลม โคเอนพยายามกลืนข้าวลงคอก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่ 

"นี่นายจะฆ่าฉันรึไง"

"อ่ะ ขอโทษ..."

"พอแล้ว!"

ฉันมองดูใบหน้าขมึงที่คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดูเหมือนว่าโคเอนกำลังโกรธฉันอยู่เลย มันทำให้ฉันไม่กล้าที่ยกช้อนขึ้นมาป้อนต่อ รังสีเย็นๆที่แผ่ออกมารอบตัวของโคเอนเป็นประจำมันทำให้รู้สึกหงอจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว 

"งั้นฉันไปเก็บชามนะ..."

.
.
.

    โคเอนมองคนที่เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ใบหน้ากับหลังหงอนั่นมันช่างดูออกได้ง่ายราวกับพลิกหน้าหนังสืออ่าน ทำให้เขารู้สึกตัวว่าเผลอทำสีหน้าแบบไหนออกมา แม้ว่าบางทีจะไม่ได้รู้สึกโกรธหรือติดใจเรื่องใดเป็นพิเศษแต่ใบหน้าของเขาก็มักจะแสดงสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดออกมาจนหน้าดูแก่กว่าวัยไปมาก ในขณะที่คิดว่าจะต้องหาวิธีทำอะไรซักอย่างกับหน้าหงอๆเป็นหมาหงอยนั่น อาลีก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเหมือนเด็กที่เพิ่งโดนแม่ดุ

"อาลี มานี่หน่อยซิ"


ฉันมองโคเอนที่เอามือตบพื้อแปะๆ เรียกฉันให้เข้าไปนั่งตรงนั้นข้างๆเขาอย่างรู้สึกงงๆ จู่ๆก็เรียกให้เข้าไปนั่งใกล้ๆด้วยสีหน้าแบบนั้นเนี่ยนะ...

"เร็วสิ"


เฮ้อ~ เอาก็เอา ฉันเดินไปนั่งพับเพียบข้างๆโคเอนอย่างเก้ๆกังๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว
"ดะ เดี๋ยวก่อนสิโคเอน จะทำอะไรน่ะ!"
ใบหน้าของฉันเหวอไปชั่วขณะเมื่อทันทีที่ก้นนั่งติดพื้น โคเอนก็ล้มตัวนอนลงหนุนตักทันที

"แบบนั้นแหละ"



อาลีถอนหายใจเบาๆ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจตัวเอง โดยที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนเช่นเคย
ก่อนโคเอนจะคว้าฝ่ามือเรียวขึ้นมากุมเอาไว้ มันทั้งสาก และเต็มไปด้วยรอยแผลมากมาย 
เป็นไปตามที่ชายคนนั้นบอกกับเขาไม่มีผิด ในคืนนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมายจริงๆ...

ภาพลักษณ์ที่ดูสดใสซื่อตรงอยู่เสมอของอาลี มันทำให้เขาจินตนาการภาพของคนที่ตัวเปียกหนาวสั่นวิ่งขอความช่วยเหลือไปทั่วหมู่บ้านไม่ออกเลย มีเพียงแต่บาดแผลเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราวของความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ 


'เหมือนกันไม่มีผิด'


"เมื่อก่อนมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง"
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเรียบๆทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด เรียกใบหน้าสวยที่เบือนหน้าหันไปทางอื่นให้หันกลับมา

"?"



"นางเกิดในตระกูลของขุนนางผู้มั่งคั่ง เป็นคนเฉลียวฉลาด ไม่สนใจในลาภยศ เครื่องดับหรือเงินทอง สนใจเพียงแต่หมึกพู่กันและบทกวี..."


"..."


"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างซื่อตรง ในแต่ละวันที่ต้องแบกรับบาดแผลมากมายที่ถูกกลืนหายไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สุดท้ายแล้วค่าตอบแทนของสิ่งที่บาดแผลนั้นโอบอุ้มไว้ มันก็ไม่เคยคุ้มค่าซักอย่างเดียว"


"มันอาจจะคุ้มค่าก็ได้นะ..."

นี่เป็นครั้งแรกอีกครั้งที่ฉันได้เห็นสีหน้าที่หลากหลายของโคเอนเป็นครั้งแรก แววตาที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัยนั่นมันทำให้อดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ
"การที่เธอเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม มันก็อาจจะเป็นเพราะสิ่งเธอได้รับมันล้ำค่ายิ่งกว่าถ้อยคำสงสารจากผู้อื่นก็ได้นะ"

"เหตุผลที่คนๆหนึ่งจะไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใจโดยไร้เงื่อนไขแบบนั้นมันมีอยู่จริงๆน่ะหรอ?"

"ฉันไม่รู้หรอก บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะรู้สึกเจ็บปวดมากๆก็ได้ แต่ว่านะ การยิ้มน่ะมันเป็นสีหน้าที่ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรอ? สำหรับผู้หญิงแล้วบางทีการเห็นความสุขของใครซักคนมันก็อาจเพียงพอแล้วก็ได้"


"นี่อาลี"
จู่ๆสีหน้าของโคเอนก็ดูจริงจังขึ้นมาจนแทบจะเรียกได้ว่ากลับเข้าสู่โหมดสีหน้าปรกติ

"อะไรหรอ?"
ดวงตาสีทองคู่สวยกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ใบหน้าของตนอย่างไม่วางตาพร้อมกับยังขมวดคิ้วจนคิ้วแทบจะผูกเป็นปม

"จริงๆแล้วนายเป็นผู้หญิงใช่มั้ย"

"ห๊ะ!? นะ นี่นายจะบ้าหรอ? หยุดคิดอะไรแปลกๆไปเลยนะ ฉันน่ะเป็นผู้ชายเฟ้ย! แล้วอีกอย่างนะนายหนักมากรีบๆลุกออกไปเลยไป" ฉันพยายามจะดันหัวหนักๆของโคเอนออกไปให้พ้นตักโดยที่ระวังไม่ให้แผลที่แขนข้างขวาไม่ได้รับการกระทบกระเทือน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าตัวของโคเอนจะเขยื้อนออกไปซักเซนเดียว


"โฮอา"

"อะไร?"

"ชื่อของผู้หญิงคนนั้น.."

"นายกำลังจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่นายแอบปิ๊ง แต่เพราะเธอไม่สนใจเลยให้แห้วนายกลับมากินเป็นกระบุงอะไรแบบนั้นอ่ะหรอ?"

"โฮอาเป็นชื่อแม่ข้ากับโคเมย์ เจ้าโง่"


เป็นอีกครั้งที่ฉันเถียงไม่ออกเช่นเคย ได้แต่อ้าปากพะงาบๆหน้าแตกเก้บเศษหน้าไม่ทันแถมยังหนีไปไหนไม่ได้อีก ทำไมมันจะต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งด้วยฟร้า แถมยังรู้สึกว่าตัวเองโง่ตามที่โคเอนพูดจริงๆอีก


"หลังเหตุการณ์ที่จักรพรรดิ์องค์ก่อนพร้อมกับรัชทายาททั้งสองคนถูกลอบสังหาร จักรพรรดิ์องค์ใหม่ก็ได้สมรสใหม่กับมเหสีของจักรพรรดิ์องค์ก่อน หลังจากนั้นอีกไม่นานแม่ข้าก็จากไปด้วยเหตุผลทางการเมือง มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันมากจนข้าทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ"

เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นอนอยู่บนตักกังวานไปอย่างเศร้าสร้อย พร้อมกับรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ปล่อยวางสถานะอันหนักอึ้งของตัวเองไปชั่วครู่ มันไม่ใช่ใบหน้าขององค์ชายโคเอนแม้แต่น้อย เป็นเพียงแค่ใบหน้าที่โศกเศร้าของชายชื่อโคเอน ที่มีความรู้สึกเศร้าเสียใจ รัก โกรธ โหยหา เหมือนกับคนทั่วๆไป...

"การบอกลาผู้คนที่รักมันเป็นเรื่องยากจริงๆด้วยนะ"
ฉันใช้มือปัดผมด้านหน้าที่ยาวขึ้นเล็ยน้อยจนปรกใบหน้าและหน้าผากของโคเอนออกอย่างชินมือเหมือนกับตอนที่ทำตอนเฝ้าไข้โคเอนตอนหลับบ่อยๆ

"นั่นสินะ พูดแล้วก็เริ่มเป็นห่วงทางฮาคุเอย์ขึ้นมานิดหน่อยแหะ"

"อืม..นั่นสินะ แต่อีกแค่สองสามวันเราก็จะออกไปได้แล้วไม่ต้องห่วงหรอก ดูท่ากลับไปคราวนี้คงจะโดนองค์ชายโคเมย์สวดยัดแน่ๆที่หนีออกมาไม่บอกแบบนี้ ป่านนี้คงจะวิ่งวุ่นปิดข่าวไปทั่ววังราคุโชแล้วล่ะ"

ไว้อาลัยให้ขอบตาแพนด้าขององค์ชายโคเมย์ล่วงหน้า...
( ̄人 ̄)




.

.

.

ตุ้บ!

ถุงที่บรรจุเหรียญทองจำนวนมากถูกโยนลงบนโต๊ะเก่าในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกลางวงสุราของชายกุ๊ยกักขฬะสามคน

"คราวนี้ได้เรื่องอะไรมาบ้าง บอกมาให้หมดเลยนะ"

"ลูกพี่หลี่? รอบนี้ก็มาอุดหนุนพวกเราอีกแล้วหรอ ว่าแต่..พาทหารมาเยอะเชียวนะ"

ชายหนุ่มท่าทางมาดเข้มไม่มีวี่แววจะมีอารมณ์ร่วมกับบทสนทนาแม้แต่น้อย ก่อนชายตัวใหญ่ผู้เป็นหัวโจกของเหล่าอันธพาลจะเริ่มขยับปากพูดเข้าเรื่องในสิ่งที่ชายในชุดเครื่องแบบทหารถาม

"ก็มีเรื่องหิมะถล่มปากทางเข้าหมู่บ้านจนพวกคาราวานติดแหงกออกไปไม่ได้ ขโมยที่ยังจับตัวไม่ได้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนๆ พระแปลกๆที่มีผมสีแดงกับผู้หญิงผมทองขายลูกประคำวิเศษให้อาซิ้มร้านขายผ้า เห็นว่าเยติบนภูเขาหายไปหมดเลยเพราะไอ้ลูกประคำอะไรเนี่ย..."

"อย่างอื่นล่ะ? มีเรื่องของผู้หญิงกับเด็กบ้างมั้ย?"



"เหมือนจะได้ยินว่าเจ้าตาเหล่ที่บ้านอยู่ท้ายซอยอยู่กินกับแม่ม่ายที่เป็นใบ้ลูกติดที่ไหนไม่รู้อยู่นะ"

"นั่นสิยัยนั่นก็หน้าตาดีอยู่หรอก แต่ดูสติไม่ดีเลย น่าขยะแขยงชะมัด"

"แต่ก็สมแล้วล่ะพวกไม่สมประกอบก็ต้องอยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ"


ทันทีที่ฟังบทสนทนาของพวกอันธพาลแหล่งข่าวจบ ชายหนุ่มนามว่าหลี่ก็ทำท่าทางจะหมุนตัวออกจากโรงเตี๊ยมเก่าๆทันทีที่หมดธุระของตนเอง

"เดี๋ยวสิลูกพี่หลี่จะไปแล้วหรอ? เดี๋ยวนี้ได้ดิบได้ดีแล้วทำเป็นหยิ่งนะ.."
ยังไม่ทันทีคำพูดต่อไปจะได้เล็ดลอดออกจากปาก ปลายดาบแหลมคมก็จ่อชี้มาที่ใบหน้าของชายร่างใหญ่ที่นั่งหน้าเสียไปเล็กน้อย 


"ใจเย็นสิหลี่ เจ้าคิดว่าใครกันที่เป็นหัวหน้าของภารกิจนี้กัน เพิ่งเลื่อนขั้นแล้วอย่าทำเป็นเหลิงไปหน่อยเลย" 

เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังของชายหนุ่มหน้าเข้ม ก่อนมือใหญ่จะค่อยๆลดดาบในมือลงแล้วเก็บเข้าฝักทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มเยาะเย้ยของเหล่าอันธพาลทั้งสาม


"เจ้าชื่อกูรึมใช่มั้ย? ข้ามีงานจะให้พวกเจ้าทำหน่อย" ชายดูมีอายุในชุดเครื่องแบบทหารประดับยศยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเหล่าอันธพาลทั้งสามที่กำลังเกะถุงเงินมานับอย่างเกษมสำราญ ก่อนชายชื่อกูรึมจะยิ้มตอบกลับมาอย่างยียวน

"ขอบอกก่อนเลย พวกข้าไม่ทำงานให้ใครฟรีหรอกนะ"



"ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น"



.

.

.


ฉันมองเหล่าทหารที่เดินพลุกผล่านเต็มตลาดและซอกซอยของหมู่บ้านติดชายแดนอยู่หน้าร้านน้ำชาเล็กๆแห่งหนึ่งในยามใกล้ค่ำก่อนจะหันไปถามป้าแก่ๆเจ้าของร้านที่กำลังจะปิดร้าน

"ทำไมอยู่ดีๆพวกทหารถึงเพ่นพ่านเต็มชายแดนไปหมด? มาช่วยโกยหิมะหรอ"

"หูยยย จะอะไรซะอีก ก็มาจับขโมยน่ะสิที่ช่วงนี้กำลังอะละวาดหนักน่ะ"

"จับขโมยหรอ? เล่นใหญ่กันจังเลยนะกะอีแค่จับขโมยเอง"

ฉันหยิบขนมที่วางอยู่หน้าร้านพร้อมกับจ่ายเงินมองดูทหารที่เดินตรวจตรากันพลุกผล่านพลางเคี้ยวเจ้าแป้งเหนียวหนึบในมือตุ้ยๆ เฮ้อ แล้วเจ้าหนุ่มทหารหน้าเข้มนั่นเป็นใครกัน เอาแต่ยืนจ้องหน้าชาวบ้านเขาอยู่นั่นแหละ ทำไมฟะ หน้าข้ามันมีอะไรแปลกตรงไหน?

ฉันฉีกเจ้าก้อนแป้งเหนียวๆพลางจ้องกลับไปจนกระทั่งเจ้าทหารหนุ่มนั่นเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปเอง ก่อนจะเดินไปตามถนนเส้นตัดออกจากหมู่บ้านที่ปากทางเข้าใกล้จะโกยหิมะกันเสร็จแล้ว ทั้งรถม้าและคาราวานสินค้าต่างจอดรอกันเตรียมตัวออกหลังจากที่ติดอยู่ที่นี่นับแรมเดือน

"จะตรวจอะไรกันนักหนาเนี่ยเสียเวลาชะมัดเลย รอตั้งแต่บ่ายจนจะค่ำแล้วเนี่ย"
"แทนที่จะมาช่วยกันโกยหิมะออกแต่ดันมาตั้งด่านตรวจขโมยเนี่ยนะ"
"เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ออกไปแหละน่า"

อาลีฟังเสียงบ่นของชาวบ้านและพ่อค้าที่อยู่แถวนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่วัดเอาข่าวดีนี้ไปแจ้งกับโคเอนเพื่อที่พวกเขาทั้งสองจะได้เตรียมตัวกลับบ้านกันซักที ไหนๆซะก็เนียนๆออกไปพร้อมกับพวกคาราวานสินค้านี่แหละ

บนทางเดินสลัวๆที่ย้อมด้วยแสงสีแดงของพระอาทิตย์อัสดง มันทำให้เขาไม่ได้สังเกตข้างทางแม้แต่น้อย ว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่...




"โคเอน ดูเหมือนเราจะออกไปได้แล้วล่ะนะ เตรียมตัวเสร็จแล้วใช่มั้ย" 

อาลีเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาพร้อมกับสีหน้าอารมณ์ดี ก่อนจะพบกับเจ้าตาเหล่และหญิงสาวแปลกหน้าพร้อมด้วยเด็กเล็กนั่งเรียงกันอยู่หน้าโคเอนที่นั่งหน้าเครียดอยู่ ดวงตาสีทับทิมอ่อนมองมาทางอาลีที่เดินเข้ามา


"อาลีมีใครตามเจ้ามารึเปล่า?"
น้ำเสียงที่ดูเครียดๆนั่นเค้นถามจนร่างบางหน้าซีด กับสถานการณอึมครึมในห้องเล็กๆ ดูเหมือนว่าจะมีแค่ตัวเขาคนเดียวที่อยู่ผิดที่ผิดทาง 


'นี่ฉันพลาดอะไรไปงั้นหรอ?'
'ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะได้กลับบ้านกันหรอกหรอ?'



"นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?" 


"เจ้าพวกกูรึมมันเอาทหารบ้านข้า หาว่าเมียใหม่ข้ากับเด็กคนนี้เป็นหัวขโมยน่ะสิ ทางออกจากหมู่บ้านก็โดนตรวจเข้มมาก พวกเราเรามาหลบกันที่นี่ก่อนน่ะแต่ก็ไม่คิดว่าจริงๆแล้วพวกเจ้าจะเป็น.." เจ้าตาเหล่เสียงแผ่วก่อนหันหน้าไปทางโคเอนอย่างหวาดๆ 

ฉันมองไปยังเครื่องแบบทหารของเจิดจรัสที่ถูกรื้อออกมากองอยู่ที่พื้น นั่นสินะฉันเป็นคนรื้อออกมาวางเองแหละ ก่อนจะรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเด็กน้อยผมสีเงินยวงนั่นเสียเหลือเกิน ผมสีน้ำตาลแซมขาวเหมือนผู้หญิงที่ถูกรังแกในซอยใกล้ตลาดเมื่อวันก่อนเลยแหะ...
"เอ๊ะ เดี๋ยวนะเจ้าหนูนี่มัน..."


"ระ..ร้อยปีผันผ่าน หละ..เหล่าจิ้งจอก เดินตามโชคชะตา ชะ..โชคชะตา นำพาเศร้าโศ...กาเยือนสู่บัลลังก์ดะ...แดง"


โคเอนและหญิงสาวแปลกหน้าต่างเบิกตาโพล่งอย่างตกใจ เมื่อเด็กน้อยพูดถ้อยคำประหลาดออกมาติดๆขัดเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว แม้ว่าผู้เป็นแม่จะพยายามเขย่าเนื้อตัวเบาๆเรียกสติของเด็กน้อยให้กลับคืนมาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นอย่างน่ากลัว

"ระ...หรือดวงประทีปทองจัก..ระ...ร่ายรำจนสิ้นแสง แผดเผา นะ...น้ำ..น้ำแข็งเกาะคลุม...วังแดงในคิมหันต์ สองเลือดเหมันต์จักสิ้นเศร้าระทม...น่าอดสู แล้วแต่ขึ้นอยู่บนเจตนารมณ์ของผู้ไม่เคยมีอยู่...ตะ...ตามคำทำนาย"

หลังจากที่หนูน้อยพูดถ้อยคำกลอนแปลกประหลาดออกมาจบ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม พร้อมกับใบหน้ามึนเบลอที่เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มไปหมด

"พวกนายออกไปซะ"
โคเอนหันไปพูดกับตาเหล่ก่อนจะลุกยืนขึ้น บอกเป็นนัยน์ว่าพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้ควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ก่อนที่อะไรอะไรจะยุ่งยากไปมากกว่านี้


"ดะ..เดี๋ยวก่อน โคเอน แต่พวกเขาถูกเจ้าพวกอันธพาลที่โรงเตี๊ยมเก่านั่นใส่ความนะ จะไล่ออกไปเฉยๆได้ยังไง อีกอย่างตอนป่วยเจ้าตาเหล่ก็เป็นคนช่วยนายเอาไว้ตั้งหลายอย่างนะ มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ!"

"ทหารไม่ได้มาจับขโมยเจ้าโง่ มันมาตามล่าตัวเทพพยากรณ์ต่างหากเล่า!"
โคเอนขึ้นเสียงกร้าว ทำเอาเจ้าตาเหล่และอาลียืนมองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ



'นี่โคเอนรู้เรื่องอะไรอยู่กันแน่?' 



"นายพูดเรื่องอะไรน่ะ"
เจ้าตาเหล่ถามกลับไปเสียงสั่น พร้อมกับมองไปยังครอบครัวใหม่ของเขาที่กอดกันตัวสั่นอย่างน่าสงสาร 

"อธิบายไปพวกนายก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ตัวเด็กกับผู้หญิงคนนั้นแหละที่รู้ตัวดีที่สุด
โคเอนเปรยตาไปทางเด็กน้อยที่มีน้ำตาเอ่อรื้นอยู่ตรงขอบตา ก่อนน้ำตาเม็ดกลมที่กลั้นไว้จะค่อยๆกลิ้งลงมาเหมือนกับหยดน้ำที่กลิ้งผ่านใบบัว 

"ฮึก..เป็นเพราะข้า...ฮึก ฮือ พูดแต่เรื่องไม่ดี...จนทำให้ท่านแม่ต้องลำบาก..ฮือออออ"


"หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! เด็กร้องไห้ใหญ่แล้วเห็นมั้ย!"
อาลีหันไปตวาดทันทีที่เห็นหนูน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่ ก่อนเจ้าตาเหล่จะถลาเข้าไปปลอบเด็กชายตัวน้อยน่ารักอีกแรง

"นายนั่นแหละเงียบไปเลย! คนที่จะซวยที่สุดน่ะคือนายนั่นแหละ"

"อะไรนะ?"


ปัง! ปัง!
ยังไม่ทันที่การโต้เถียงอันวุ่นวายนี้จะจบลง เสียงอึกทึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนพยายามจะพังประตูวัดก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆของคนจำนวนมากดังขึ้น

โคเอนทำเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะโยนเสื้อผ้าเครื่องแบบทหารเจิดจรัสโยนเข้าไปในเตาผิงพร้อมกับเขียนตัวอักษรเครื่องหมายบางอย่างที่ดูเข้าใจยากลงบนเศษผ้าพันแผลก่อนจะเก็บรัดมันเอาไว้ที่ผ้าพันเอว

"พวกมันมาแล้ว! รีบหนีเถอะออกไปทางด้านหลังเร็ว!" 
เจ้าตาเหล่ประคองหญิงสาวและเด็กน้อยที่นั่งกอดกันตัวสั่นให้ลุกขึ้น ก่อนจะพาออกไปจากห้อง

"ไม่ไหวหรอกทางข้างหลังก็น่าจะถูกล้อมเอาไว้เหมือนกัน" อาลีควานหามีดทำกับข้าวขึ้นมาถือไว้ อย่างน้อยมันก็เป็นของมีคมล่ะนะ

"จำตู้ใส่เสื้อผ้าอันใหญ่เก่าๆที่ถูกเอามาทิ้งไว้ในห้องพระได้มั้ย เราจะเอาเด็กกับผู้หญิงไปหลบในนั้นก่อน" โคเอนพูดไปพลางพันผ้าพันแผลที่แขนข้างขวาให้แน่นขึ้นอีก
"นายก็ต้องเข้าไปหลบด้วยอาลี"

"ห๊ะอะไรนะ! ฉันเองก็อยู่ด้วย"

"กล้าขัดคำสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันบอกให้ซ่อนก็ซ่อนสิ"
โคเอนหันไปจ้องหน้ามือขวาจอมดื้อรั้นตาเขม็ง ก่อนเสียงของเจ้าตาเหล่จะดังขึ้นตัดบท

"พอแล้ว พวกเจ้าไปซ่อนกันให้หมดนั่นแหละ ข้าจะไปที่หน้าประตูเอง อย่างน้อยก็น่าจะเจรจากับพวกกูรึมได้ ส่วนพวกนายที่เคยมีเรื่องกับเจ้าพวกนั้นถ้าออกไปด้วยจะมีแต่ทำให้เรื่องแย่ลงเปล่าๆ"
เจ้าตาเหล่มองไปทางอาลีด้วยแววตามาดมั่น ก่อนจะแยกย้ายกันไปหลบ ส่วนเจ้าตาเหล่ก็รีบวิ่งไปดูที่หน้าประตูเมื่อสิ้นเสียงอึกทึก และก็ต้องพบกับเหล่าทหารจำนวนมากที่พังประตูจนแทบไม่เหลือชิ้นดี 


"ดูซิเนี่ยใครออกมาต้อนรับ"
ชายร่างใหญ่เดินแทรกผ่าเหล่าทหารออกมายืนอยู่ด้านหน้าสุด พร้อมกับใบหน้าเหี้ยมที่ประดับด้วยรอยยิ้มมาดร้าย กระหายเลือด

"อะ อะไรกัน กูรึมมาทำอะไรกันที่นี่น่ะ"
เจ้าตาเหล่พูดเสียงสั่น ก่อนเหล่าทหารจะกรูกันเข้ามาโดยที่ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย  

"ดะ เดี๋ยวก่อน!" 
ชายตาเหล่พยายามที่จะห้ามปรามไม่ให้เหล่าทหารบุกรุกเข้ามา แต่แน่นอนว่าตัวเขาเพียงคนเดียวนั้นไม่อาจที่จะทำอะไรได้เลย ก่อนจะโดดกอดขาของกูรึมอย่างสุดกำลัง แต่ก็ถูกเตะกลิ้งจนนอนตัวหงอกับพื้น 

"แกนี่มันน่ารำคาญจริงๆเลยว่ะ"
กูรึมเตะเข้าไปที่ท้องของคนที่นอนตัวงอ แตก็ไม่มีท่าทางว่าอีกฝ่ายจะจะปล่อยมือ

"ขะ..ขอล่ะ...อย่าทำอะไรพวกเขา..."

"ใครสนล่ะวะ"
ชายร่างหนาเค้นเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะยกดาบขึ้นหมายปลิดชีวิตของชายที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่แทบเท้า ก่อนจะต้องหยุดมือกลางคัน...

"เดี๋ยวก่อนกูรึม" เสียงของชายดูมีอายุผู้เป็นแกนนำหลักของภารกิจนี้ดังขึ้น ช่วยชีวิตของชายาเหล่เอาไว้ได้พอดิบพอดี ก่อนเขาจะก้มลงยิ้มด้วยใบหน้าที่เหมือนกับปีศาจกำลังฉีกยิ้มให้กับผู้หลงทางในความมืด

"เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเจ้าขอสินะ แลกกับอะไรดี"


.

.

.


"หลี่หรอ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ในระหว่างภารกิจรึยังไง"
ชายผมยาวสีเงินผู้มีเสียงแหบแห้งเป็นเอกลักษณ์เอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงเงาที่ติดตามตนเองอยู่ด้านหลัง ใบหน้าครึ่งหน้าที่ถูกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำหันมามองชายทียืนอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ

"เจ้ายากันก่อเรื่องอีกแล้วขอรับท่านชินอา"


.....



"นี่มันเงียบเกินไปแล้วนะ"
อาลีพูดกระซิบด้วยเสียงแผ่ว ขณะที่ยืนอัดกันเป็นปลากระป็องสามแม่ครัวอยู่ในตู้เก็บของ
"พวกมันแล้วแล้วรึ..."


"เงียบก่อน" 
โคเอนใช้มืออุดปากของอาลีทันทันทีในขณะที่เจ้าตัวยังพูดค้างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากเข้าใกล้ ใกล้มาก จนเผลอกั้นหายใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากนั้นข้างอย่างแรง ก่อนตู้จะค่อยล้มเอียงโคร่มลงกับพื้นไม้ดังสนั่น พร้อมกับพวกเขาทั้งสี่คนที่กระเด็นกระดอนออกมาจากตู้

"มาหลบกันอยู่ในตู้นี่เอง"
เสียงยียวนอันคุ้นหูดังขึ้น ชายที่อยู่เบื้องหน้าของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพวกกุ๊ยที่มีเรื่องกับพวกเขาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน 


โคเอนพยุงตัวขึ้นโดยไม่สนว่าแขนตัวเองจะเจ็บแค่ไหนก่อนจะดึงตัวอาลีที่ถูกตัวเองทับแบนแต๊ดแต๊ให้ลุกขึ้นมา
"นายดูแม่ลูกคู่นั้นไว้ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง"

"หึหึ จัดการหรอ ผู้หญิงกับเด็กแล้วก็พระที่แขนง่อยๆมันจะไปทำอะไรได้ เหมือนกับเจ้าตาพิการนั่น" เสียงเหี้ยมเกรียมของชายในชุดทหารที่ดูมียศสูงที่สุดในบรรดาทหารทั้งหมดหัวเราะเย้ยหยัน ในขณะที่อีกฝ่ายโดนล้อมเอาไว้แต่ก็ยังพูดสิ่งที่ฟังแล้วหน้าขันเสียเหลือเกิน


"เจ้าทำอะไรกับเขาน่ะ!"
อาลีขึ้นเสียงถามออกไปอย่างไม่พอใจกับท่าทางของฝ่ายตรงข้าม


"อะไรกันเจ้าจะกล่าวหาข้ารึ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายทำข้อตกลงกับข้า แต่สุดท้ายก็ดีทีเหลว ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ค่าเสียจริง"


ตกลงอะไรกัน? นี่เจ้าตาเหล่...ขายพวกเราอย่างนั้นหรอ!
อาการชาแล่นไปทั่วทั้งใบหน้าสวยของอาลี จนมือที่ถือมีดอยู่นั้นไม่ทันได้ระวัง

ในจังหวะที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัวหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังก็คว้ามีดในมือของอาลี พุ่งตรงเข้าไปหาชายในชุดทหารที่อยู่เบื้องหน้าแต่มีดในมือก็ไม่เร็วเท่าฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ปัดมีดนั้นออกไปได้อย่างเฉียดฉิว กระทุ้งเข่าเข้าไปที่หน้าท้องของหญิงสาวอย่างแรง 

อาลีที่น้ำตามัวจะพุ่งตามเข้าไปช่วยก็ถูกโคนห้ามเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าให้ดูเด็กให้ดีไม่วิ่งทะเล่อทะล่าออกไปเหมือนกับเมื่อกี้ก็พอ

อีกอย่างตอนนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่มีดซักเล่มเดียว!


"แกคิดจะทำอะไรน่ะห๊ะ คิดจะทำอะไร! ผู้หญิงน่ะเป็นได้แค่ที่รองมือรองเท้าอยู่ใต้ล่างของผู้ชายแค่นั้นแหละ! ไม่มีสิทธิ์พูดหรือทำอะไรทั้งนั้น!!!" ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยนไปในทันใดก่อนจะกระทืบซ้ำๆลงบนใบหน้าของหญิงสาวที่นอนตัวงออยู่บนพื้น โดยที่ทั้งโคเอนและอาลีไม่สามารถทำอะไรได้เลย มีเพียงเสียงของฝ่าเท้าที่กระทบลงบนเนื้อและกระดูกปนกับเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยที่กังวานไปทั่วห้องสลัวๆอย่างน่าสังเวช 


"เก็บพวกที่เหลือนี่ให้หมด!!!"
เสียงเหี้ยมประกาศกร้าวราวกับคนสติหลุด หลังจากที่ได้เตะซ้อมผู้หญิงตรงหน้าจนพอใจ
สิ้นเสียงทหารที่ล้อมรอบก็กรูกันเข้ามา เข้าทางของโคเอนที่รอจังหวะปลดอาวุธคู่ต่อสู้ทันทีที่ถูกเข้าประชิดตัว 

"รับ!!!"


อาลีรับดาบที่ถูกโยนมาจากมือของโคเอนอย่างแม่นยำพร้อมกับหลบคมดาบที่ฟาดฟันเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนผลักเด็กน้อยออกไปจากระยะแล้วฝากรอยคมดาบลงบนแผ่นอกของทหารผู้โชคร้ายเป็นทางยาว

"เจ้าพวกโง่! กะอีแค่ฆ่าคนเจ็บกับผู้หญิงนี่มันยากเย็นอะไรนักหนา!" 
ทหารผู้มียศสูงที่สุดในที่นี้ตะโกนอย่างหัวเสียก่อนจะเตะร่างที่นอนอยู่แทบเท้าจนกลิ้งออกไป โดยที่เด็กน้อยก็ได้แต่พยายามเรียกหตะกรองกอดแม่บังเกิดเกล้าเอาไว้ ไม่สนใจประกายของคมดาบสีเงินต้องกับแสงอาทิตย์อัสดงที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กในวัด ส่องประกายเงาสะท้อนลงบนศีรษะน้อยๆของเด็กชายวัยสามขวบ

โคเอนที่กำลังยุ่งอยู่กับการรับมือทหารที่ถาโถมเข้ามาไม่ว่างพอที่จะมองไปทางอื่น ในขณะที่อาลีเห็นเหตุการณ์นั้นอยู่ปลายหางตา แต่ฝีเท้าของเขาก็ก้าวไปไม่ทันเสียแล้ว...


"แก!!!!"
 ดาบที่อยู่ในมือของอาลีฟันลงไปที่แท่นแขนของทหารเสียสติคนนั้นอย่างไม่ลังเล จนมันแหว่งแทบจะขาดเป็นสองส่วนอย่างน่ากลัว 

เสียงเด็กน้อยที่ร้องจ้าละหวั่นดังอู้อี้อยู่ใต้อ้อมกอดของผู้เป็นแม่อย่างปลอดภัย แต่ทว่า...


"นี่เป็นอะไรมั้ย" อาลีประคองร่างของหญิงสาวที่โชกไปด้วยเลือดใบหน้ามอมแมมนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ริมฝีปากแห้งผากพยายามขยับพูดเอ่ยถ้อยคำ นั่นทำให้อาลีเห็นสิ่งที่หน้าตกใจ


ผู้หญิงคนนี้เธอไม่ได้เป็นบ้าใบ้แม้แต่น้อย แต่ลิ้นของเธอถูกตัดออกไปต่างหาก!

"ละ..ลอ..."

อาลีเงี่ยหูฟังเสียงแผ่วเบาที่พรั่งพรูออกมาอย่างยากลำบาก มันเป็นเสียงที่อาลีได้ยินจากผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งแรก และ เป็นครั้งสุดท้าย...

"ลอ..ละ..ลูก.."

น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำอย่างยากลำบากพรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา ก่อนดวงตาสีน้ำตาเข้มจะหยุดนิ่งไม่ไหวติงไปพร้อมกับเสียงของลมหายใจ


ถ้อยคำสุดท้าย จวบจนลมหายใจสุดท้าย
ความรู้สึกที่เธอส่งผ่านมาทางคำพูดเพียงคำเดียวนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน...



"อาลี!!!!!!" 
เสียงของโคเอนดังขึ้น เรียกสติของฉันให้กลับคืนมา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองเหนือเงาดำทะมึนที่พาดผ่านร่างกายเย็นเยียบและตัวของฉัน คมดาบที่เงินวาวง้างขึ้นเหนือหัวของชายทหารร่างกำยำผู้หนึ่ง ในวินาทีที่คมดาบถูกฟาดลงมานั้นก็เกิดสะเก็ดไฟส่องประกายแตกกระจายออกราวกับดอกไม้ไฟลูกเล็กๆ พร้อมกับเสียงของเหล็กกระทบกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ตรึงสถานการณ์ที่วุ่นวายให้หยุดนิ่งราวกับเวทมนต์สะกด

"พอแค่นั้นแหละ"

ฉันเงยหน้ามองคมดาบเล่มงามที่ถูกตีขึ้นอย่างประณีตรับแรงของดาบที่ฟาดลงมาอย่างเต็มแรงนั่นได้อย่างมั่นคง อยู่ห่างจากปลายเส้นผมที่ตั้งเด่ของฉันไม่กี่นิ้ว 

ชายผมสีเงินยวงในชุดสีดำกับผ้าคลุมหน้าที่ปกปิดใบหน้าตั้งแต่ส่วนของสันจมูกลงไปกวาดสายตามองเหตุการณ์วุ่นวายที่หยุดชะงักตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามคำถามด้วยเสียงแหบพร่า

"ศพของผู้ชายที่โดนมัดอยู่ตรงเสาหินหน้าวัดนั่น เป็นฝีมือของใคร?"


'ศพหรอ?'
ความคิดปะติดปะต่อกันในหัวเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติพร้อมกับรู้สึกหน่วงถาโถมเข้ามา จนแม้แต่เสียงหัวใจก็รู้สึกว่าเต้นช้าจนแทบจะหยุดเต้น 

ฉันที่มัวแต่คิดระแวง สุดท้ายแล้วตอนนี้ แค่คำขอโทษก็เหมือนจะส่งไปไม่ถึงเสียแล้ว
'เจ้าตาเหล่...'


ความเงียบดำเนินต่อไปหลังคำถามเพียงชั่วครู่ก่อนเสียงของความโลภจะดังขึ้นภายในใจของชายผู้มีนามว่า ...กูรึม... จะดังขึ้น

"นั่นเป็นฝีมือของข้าเองแหละ เป็นยังไงบ้างล่ะท่าน คิดว่าข้ามีแววพอที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นทหารในวังได้มั่งมั้ย" น้ำเสียงที่ยกผลงานมาเอาหน้าเอาตาของกูรึมทำเอาทหารที่ยืนอยู่หน้าซีดเผือด

ชายในชุดดำตัดกับผมสีเงินเดินเข้าไปหากูรึมที่ยิ้มปลื้มปิติก่อนจะตบไหล่หนานั่นเบาๆ
"ขอบคุณที่เหนื่อยนะ"


สิ้นเสียงที่แหบพร่านั่น กูรึมก็ทรุดลงไปนอนกองกับพื้นทันทีด้วยคมดาบเพียงดาบเดียวที่เสียบลงไปมิดด้ามราวกับเพชฆาตมือฉมังที่ปลิดชีพเหยื่ออย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ก่อนชายปริศนาจะสะบัดคราบเลือดที่เกาะตามดาบออกราวกับว่ามันเป็นสิ่งน่ารังเกียจ

"คำสั่งขององค์ราชินีคือจับเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่สิ่งที่พวกเจ้าทำอยู่มันหมายความว่ายังไงกัน?" หวังว่าท่านคงจะมีคำอธิบายเรื่องนี้นะ"

"ทะ..ท่านชินอา?..."
ทหารผู้เป็นหัวหอกหลักในภารกิจหน้าถอดสีทันทีก่อนจะหันหน้าไปมาตามเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่พึ่งก้าวเข้ามา


"เจ้าหลี่! นี่แก!"
ดวงตาของเขามองถลึงราวกับจะหลุดออกมาจากเบ้าด้วยความเคียดแค้น เมื่อรู้ว่าถูกผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทรยศหักหลัง คาบข่าวไปบอกสุนัขรับใช้ของราชินี


"จับตัวไปพร้อมกับพวกที่เหลือทั้งหมด" 



.


.


.


ทางกลับบ้าน (ที่ไกลออกไป)





☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆



ภาษาไทยวันนี้ขอเสนอคำว่า 'เสมองไปทางอื่น'


***มีความหมายว่าทำเป็นไม่รู้ไม้ชี้หันมองไปทางอื่น (สำหรับคนที่งง55)



ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่ไรท์เข้ามาอัพช้า คือติดธุระเยอะมากจริงๆ 
ตอนนี้ตารางเรียนก็เปลี่ยนหมด กลายเป็นว่าวันจันทร์-ศุกร์ เรามีเรียนทุกวันเลย ฮือออออ (╥_╥) ผลจากการลงวิชาเรียนเก็บหน่วยกิจอย่างบ้าคลั่ง ปีต่อไปคงได้มาเรียนอาทิตย์ล่ะสองสามวันอ่ะค่ะ


และในส่วนของตอนนี้ ค่อนข้างที่จะตันมากจริงๆเพราะใช้บุรุษที่หนึ่งเยอะมาก(ไม่ถนัดอ่า T^T) การสื่อความรู้สึกของตัวละครที่เป็นจุดด้วยจุดใหญ่ของเราเลยค่ะ จนถึงตอนนี้ก็คิดว่ามันยังออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพื่อน(ช): มันไม่ใช่แบบนี้ นี่มันดูไม่เหมือนคนรักกันเลย ตกลงนี่แกเขียนฟิคอะไรกันแน่เนี่ย! ตรงนี้อาลีมันต้องพูดให้ดูอ่อนโยนกว่านี้สิ นี่แกจะร่างหลักสูตรการศึกษาหรอ ให้มันดูเป็นแม่คนอ่ะ! ต้องเป็นคำพูดที่สื่อความคิดที่มันเป็นแม่คนอ่ะ แม่คน!

ไรท์: อ่อนโยนยังไงอ่ะ แม่คนอะไร ไม่เข้าใจ T^T //ลบเขียนใหม่ทั้งน้ำตา แล้วส่งไปให้ดูอีกที

เพื่อน(ช): แกเป็นผู้หญิงนะเว้ย หัดออกจากบ้านไปหาคนคุยด้วยมั่ง ด้านชาไปหมดแล้ว!

ไรท์ : ว้อทเดอะ****(= [] =)!!! 

เพื่อน(ช): นี่ฆ่าตัวประกอบอีกแล้วหรอ...(นางก็เงียบไปพักนึงแล้วถอนหายใจ) กุว่าเดี๋ยวกุส่งชื่อมึงเข้าไปช่วยกำกับ the walking dead 8 ดีกว่า ไม่ต้องเขียนมันแล้วนิยายร้งนิยายรัก


***การโดนผู้ชายด่าว่าไม่มีความอ่อนโยนนี่มันช่างเจ็บปวดจริงๆค่ะ T^T //กัดผ้าเช็ดหน้าแบบกุลสตรี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น