นี่ก็ปาเข้าไปวันที่สามแล้ว...
หญิงสาวในชุดสีกลีบบัวเฝ้ามองแสงแห่งรุ่งอรุณที่โผล่พ้นขอบฟ้าลอดผ่านช่องเขาสูงตระหง่าน ในมือเรียวสวยลูบแผ่นป้ายสำริดเก่าๆหนึ่งอย่างเหม่อลอย ไม่นานนักก็แว่วยินเสียงกีบม้าย่ำผ่านพื้นหิมะ ร่างสมส่วนสง่างามตามตำหรับของสาวชาววังรีบรุดหน้าไปดูหน้าค่ายทหารด้วยดวงตาที่เปี่ยมล้นความหวัง
"องค์หญิงฮาคุเอย์!" เหล่าทหารต่างกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วก่อนจะก้มลงคุกเข่าต่อหน้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและลำบากใจกับการตามหาคนหายมาสองวันติดกันไม่ได้หยุดพักตามคำสั่งที่กำชับเข้มงวดขององค์หญิงฮาคุเอย์
"เป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรกันบ้างมั้ย?"
เหล่าทหารที่ถูกถามต่างทำตาเลิกลั่กก่อนจะจำใจทูลตอบไปตามตรง
"ไม่มีวี่แววเลยขอรับ"
รอยย่นระหว่างคิ้วบนใบหน้างามปรากฏขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ยินคำตอบ เหล่าทหารที่เหนื่อยล้าจากการตามหานายทหารสองคนที่หายไปต่างมองตากันเลิกลั่ก พวกเขาไม่เคยเห็นองค์หญิงผู้นี้กระสับกระส่ายเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่เข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจิดจรัสและทำงานให้กับองค์หญิงฮาคุเอย์มานี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ในใจของเหล่าทหารต่างพาลบ่นเจ้าทหารที่หายตัวไปทั้งสองอย่างเจ็บแค้นไม่ได้ ที่ทำให้ภารกิจลาดตระเวนสบายๆธรรมดาๆต้องกลายมาเป็นภารกิจกู้ภัยหาผู้ประสบภัยพายุหิมะ ก่อนจะมีนายทหารใจกล้าคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาในขณะที่ฮาคุเอย์กำลังใช้ความคิดเดินไปมาอย่างร้อนใจไม่สมกับเป็นตัวเอง
"มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะ..."
"ไม่! ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก! ก็ดาวแปดแฉกมันยังส่องแสงอยู่..." ฮาคุเอย์เอามือปิดปากตนเองทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดพูดอะไรออกไป ในขณะเดียวกันผู้ติดตามร่างเล็กที่อยู่ข้างๆก็ได้แต่มองสถานการณ์นี้อย่างลำบากใจ
สายตาของทุกคนตอนนี้มองมาที่พวกเขาอย่างเคลือบแคลง ดั่งในวันแรกที่พวกเขาได้มาเยี่ยมเยือนท้องทุ่งของเหล่าชนเผ่าเขี้ยวทองคำในฐานะทูตแห่งจักรวรรดิ์เจิดจรัส
การที่สั่งให้ทหารทั้งกองตามหาทหารแค่สองนายแถมยังเป็นทหารที่เสริมมาจากทัพอื่นแบบไม่หยุดพักแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องที่หน้าสงสัยอยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็ไม่แปลกใจเช่นกันถ้าท่านหญิงฮาคุเอย์จะหัวเสียถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่อยู่ ในเมื่อการหายตัวไปขององค์ชายลำดับหนึ่งนั้นเกี่ยวพันถึงตำแหน่งบัลลังก์จักรพรรดิเจิดจรัส หรือนั่นหมายถึง
ความมั่นคงของเจิดจรัสกำลังสั่นคลอน...
โดลจิชายหนุ่มหางตาชี้ แหวกฝูงชนออกมายืนประจันหน้ากับหญิงสาวสูงศักดิ์อย่างไม่ถือมารยาทประเพณีใดๆด้วยใบหน้าขึงขังหาได้ยากจากนายทหารขี้เล่นผู้นี้ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ดังก้องอยู่ใจของทุกคนในที่นี้ออกมาอย่างไม่ยำเกรง
"องค์หญิง..ท่านคงไม่ได้ปิดบังอะไรพวกเราอยู่หรอกใช่มั้ย?"
.
.
.
.
...หนัก...
ดวงตาคู่สีแดงทับทิมงัวเงียกระพริบเปลือกตาหนักปริบๆไล่ความง่วงที่ถ่วงหนังตาหนักออกไป ก่อนจะเหลือบตามองตามความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับหน้าท้องของตนเองด้วยความมึนเบลอ
เจ้าโง่อาลี...
มือคู่ใหญ่สัมผัสกลุ่มเส้นผมสีทองยาวสยายนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก
มีอย่างที่ไหนกันมานอนเฝ้าไข้ให้ผู้ชายที่เป็นปรปักษ์กับประเทศตัวเอง ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจแท้ๆว่าถูกเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์แต่ก็ยังไม่คิดจะหนีไปในตอนที่มีโอกาส เจ้านี่มันโง่จริงๆ
"ต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสให้นายหนีได้อีกแล้วนะ"
มือใหญ่ลูบหัวคนที่ยังหลับลึกไปมาอย่างเพลินมือ ก่อนจะพบว่าเจ้าหงอนที่เขามักบ่นว่าน่ารำคาญมันให้ความรู้สึกดีมากๆ
'รู้สึกดีจังแหะ'
โคเอนเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนหัวของอาลีฟูยุ่งเป็นรังนก ก่อนจะมีเสียงครางงึมงำๆในลำคอของใครบางคนดังประท้วงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้มือของโคเอนหยุดซนได้แม้แต่น้อย
มือเรียวที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลค่อยๆยันตัวขึ้นแล้วจับมือใหญ่ที่เล่นซุกซนกับหัวของเขาได้คาหนังคาเขา ดวงตาปรือมองชายที่นอนมองเพดานตาแป๋วอย่างสะลืมสะลือ
"นี่นาย..เล่นอะไรอยู่น่ะ"
อาลีมองคนป่วยมือบอนด้วยอาการสะลืมสะลืออยู่พักหนึ่งก่อนจะใช้หลังมือสัมผัสเบาๆที่หน้าผากที่อุณหภูมิลดลงจนเป็นปรกติของโคเอน ก่อนนึกขึ้นได้ว่ามือตัวเองพันผ้าพันแผลไว้เต็มไปหมด
ดวงหน้าสวยก้มลงด้วยท่าทีเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นใช้หน้าผากมนของจนเองจรดกับหน้าผากของอีกฝ่าย จนลมหายใจร้อนรดใบหน้ากันไปมา
'ขนตายาวชะมัดเลย'
โคเอนมองใบหน้าสวยหวานที่อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกด้วยแววตานิ่งสงบ ดวงตาคู่สวยปิดแน่นเหมือนคนยังไม่ตื่นดีกับผมปอยข้างที่ปรกลงมาดูเย้ายวนไปทุกอิริยาบถนั้นทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย
ก่อนที่ในหัวของโคเอนจะคิดอะไรเลยเทิดไปมากกว่านี้ ระยะห่างระหว่างใบหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น อาลีขยี้ตาอย่างงัวเงียเล็กน้อยพลางกับพูดเสียงงืมงำ
"ยังมีไข้อยู่นี่นา.."
ร่างบางหาววอดใหญ่ ลุกออกจากห้องไปหยิบฟืนที่ตัดกองไว้ด้านนอกมาเติมไฟในเตาผิง ด้วยท่าทางเหมือนคนเดินละเมอ ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าโปรงกับแดดยามสายอย่างงัวเงีย ดวงตาทั้งสองคู่จึงค่อยๆเปิดขึ้นมาเต็มตาเหมือนกับต้นไม้ที่ต้องรับแสงก็ไม่ปาน
"เผลองีบไปแปปเดียว จะเที่ยงแล้วหรอเนี่ย"
จะว่าไปในสารพัดข้าวของที่เจ้าตาเหล่เอามาด้วยเมื่อวานเหมือนจะมีข้าวสารกับเห็ดที่เพาะเองนิดๆหน่อยๆนี่นะ แล้วก็ไอ้เศษเนื้อแห้งเลี้ยงเหยี่ยวของชาวบ้านที่ขโมยมาเมื่อวันก่อนก็เอามาทำข้าวต้มได้พอดีเลย อาลีคิดถึงข้าวเช้าที่เกือบๆจะเป็นข้าวเที่ยงไปเพลินๆระหว่างที่หอบไม้ฟืนกองใหญ่กลับเข้ามาในห้องเก่าๆที่เต็มไปด้วยรอยซ่อมปุๆปะๆ
ทันทีที่เลื่อนบานประตูเข้ามา ร่างบางก็รีบวางกองไม้ลงตารีตาเหลือกเมื่อเห็นคนป่วยตัวยุ่งมีท่าทีจะพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น ก่อนจะปรี่เข้าไปพยุงตัว จนคนตัวสูงมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของเขาราวกับคุณแม่ห่วงลูกก็ไม่ปาน
"ค่อยๆลุกสิ นายพึ่งจะฟื้นนะ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไง" เสียงหวานแกมดุพูดขึ้น ก่อนจะเริ่มเดินวุ่นไปทั่ว จนคนป่วยที่นั่งมึนเบลอด้วยฤทธิ์ไข้ทำได้แต่จ้องมองอย่างเงียบๆ มองดูข้าวของรอบตัว ของใช้เก่าๆและหม้อชามไม่สมประกอบถูกนำมากกองไว้ตรงมุมห้อง
"นายไปหาของพวกนี้มากจากไหนน่ะ?"
อาลีที่กำลังเตรียมมื้อเช้าอยู่หน้าเตาผิงยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมน้ำอุ่นและข้าวเช้านั้นยื่นถ้วยขอบบิ่นที่ใส่น้ำร้อนส่งให้โคเอน
"ฉันน่ะ..เป็นเด็กที่เติบโตมาในสลัม แค่หาเลี้ยงปากท้องตัวเองกับคนป่วยคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก"
สลัมงั้นหรอ...
องค์หญิงอาลีบาบาเองก็เกิดในสลัม...
ราชาแห่งบัลแบดมีภรรยาทั้งหมด2คน คนแรกเป็นหญิงสูงศักดิ์จากตระกูลมั่งคั่ง คนที่สองเป็นหญิงสาวที่เคยเป็นสาวใช้ในวัง แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็หายออกจากวังไปด้วยเหตุผลทางการเมืองบางอย่าง และได้ให้กำเนิดพระธิดาในสลัมแห่งหนึ่ง
ถ้าอาลีเกิดในสลัมนั่นหมายความว่าอาลีเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับอาลีบาบาอย่างแน่นอน...
หรือว่าอาลีนั่นแหละที่คืออาลีบาบากันแน่?
ทั้งช่วงระยะเวลาที่ใกล้กันมากเหลือเกินนั้นมันทำให้อดที่จะคิดสงสัยไม่ได้ หากว่าอาลีไม่ใช่องค์หญิงอาลีบาบาแล้ว มีแค่ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือ 'ทั้งสองนั้นเป็นแฝดกัน'
นั่นก็พอจะอธิบายถึงสาเหตุที่อาลีมาถึงวังราคุโชวในสภาพที่บาดเจ็บ หากมีการสลับตัวกัน หรือเกิดความเข้าใจผิดในวันที่เกิดเหตุ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่สามารถทำให้ยืนยันได้แน่ชัดว่าตอนนี้องค์หญิงอาลีบาบาเป็นหรือตายอยู่ดี...
"โคเกียคุเองก็โตมาในสลัมเหมือนกัน"
คนป่วยเอ่ยเสียงแหบพร่าออกมาด้วยแววตาเรียบนิ่ง แม้ว่าในหัวจะยังไม่โปร่งโล่งดีนักเพราะอาการไข้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ลืมถึงจุดประสงค์ในการพามือขวาคนใหม่ออกจากวังมาไกลขนาดนี้ อีกทั้งการบาดเจ็บในสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนี่ก็เปิดโอกาสให้เขาอย่างคาดไม่ถึง!
"เพราะแบบนี้พวกเจ้าถึงได้สนิทกันสินะ ถึงขนาดที่โคเกียคุยอมโกหกเพื่อเจ้า"
อาลีหวนคิดไปถึงวันแรกๆที่มาถึงเจิดจรัส จะว่าไปตอนนั้นโคเกียคุโดนกักตัว หรือโดนพาไปทำอะไรที่ตำหนักของโคเอนกันแน่? ทำไมถึงได้มีท่าทีชื่นมื่นขนาดนั้น
"จะว่าไปแล้วในตอนนั้น นายพูดอะไรกับโคเกียคุกันแน่ ในระหว่างที่กักตัวโคเกียคุอยู่น่ะ"
"หึหึ ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะลงไม้ลงมือกับนางสาวตัวเองได้ลงคอรึ?"
"คิด ( ≖_≖) "
อาลีตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ในขณะที่มือก็ยังง่วนอยู่กับการหั่นเห็ดด้วยมีดบิ่นๆ
"พวกเราก็แค่ไปนั่งอ่านหนังสือกับกินข้าวด้วยกันเหมือนตอนเด็กๆเท่านั้นแหละ (;一_一) ข้าเองก็มีเรื่องอยากคุยกับนางเป็นการส่วนตัวตามประสาพี่น้องด้วย"
(แล้วก็กล่อมด้วยคำพูดนิดๆหน่อยๆ โคเกียคุน่ะเชื่อคนง่ายจะตายไป..)
"พี่น้องหรอ..."
แววตาสีอรุณสะท้อนเปลวไฟในเตาผิงที่ไหววูบไปตามเสียงทอดถอนหายใจแผ่วเบา พลางคิดถึงความชื่นชมและความเชื่อใจที่มีเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาคู่นั้นของโคเกียคุ
...มันทำให้ข้าอิจฉาเหลือเกิน...
"โชคดีนะที่มีพี่น้องที่สนิทไว้ใจได้ถึงขนาดนั้น"น้ำเสียงที่ฟังดูสดใสตอบกลับไปพร้อมกับเสียงหัวเราะกังวานแผ่วเบาในลำคอ
โคเอนมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่เหมือนจะหดลงจากเดิมเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันดูเศร้านัก เหมือนกับหยดน้ำที่กลิ้งวนอยู่บนใบบัวอย่างโดดเดี่ยวไม่อาจหวนกลับคืนสู่บึงใหญ่
"เจ้ากำลังพูดเหมือนกับว่าพี่น้องของเจ้าเชื่อไม่ได้ยังไงยังงั้นแหละ"
ถึงความจริงเขาจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ...
"มันก็ไม่เชิง แต่พวกเราไม่ค่อยสนิทกันมากกว่าน่ะ"
"แม้แต่กับองค์หญิงอาลีบาบาก็ด้วยหรอ?"
ไหล่บางสะดุ้งเมื่อโคเอนเอ่ยถึงนามหนึ่งที่ตนเองเกือบจะลืมไปหมดสิ้น
องค์หญิงอาลีบาบา องค์หญิงผู้เก่งกาจ ผู้ที่ได้รับความรักความคาดหวังจากผู้คน องค์หญิงอาลีบาบาคนนั้นในสายตาของทุกคนมันช่างแตกต่างจากความเป็นจริง
แตกต่างจาก 'อาลี' ที่น่าสมเพชในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
...ท่านน่ะเป็นคนที่เก่งกาจ แล้วก็สง่างามยิ่งกว่าใครๆ...
"สง่างาม? เก่งกาจ? สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ซักอย่างเลยไม่ใช่รึไง"
เสียงแผ่วเบาพึมพำขึ้นมาอย่างลืมตัว เมื่อรู้สึกได้ถึงคำพูดหนึ่งของใครบางคนที่วกกลับเข้ามาในหัว มันทำให้เขาสมเพชตัวเองจนแทบจะทนไม่ไหว
ไหล่เล็กๆนั่นสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรหนักๆมาเทินอยู่ตรงไหล่ขวา ก่อนจะหันไปพบกับใบหน้าของโคเอนที่แทบจะแนบชิดติดกับใบหน้าของตนเอง และร่างกายหนักๆของโคเอนที่เริ่มพิงทิ้งน้ำหนักลงมาที่แผ่นหลังเล็กของเขาเรื่อยๆ
"นะ นี่ นาย! ทำอะไรน่ะห๊ะ! ฉันเกือบเอากระบวยฟาดหัวนายแล้วรู้มั้ย!"
"ดูหน้าตาแล้วกินไม่ได้ยังไงไม่รู้" โคเอนมองข้าวเละๆในหม้อด้วยแววตาสิ้นหวัง ทั้งยังเมินเฉยต่อท่าทีไม่พอใจของอีกฝ่าย
"คนแบบนั้นข้าวมันก็เละน่ะสิ"
"หุบปากน่า! (╬ ꒪Д꒪)ノถ้าไม่คนข้าวมันจะติดหม้อกลายเป็นข้าวหมาให้นายกินน่ะสิ!"
"แต่นี่มันก็ดูไม่ต่างเท่าไหร่นะ"
อาลีกำชามในมือแน่น พยายามสงบจิตสงบใจตักข้าวต้มเละๆใส่ถ้วยส่งให้คนป่วยที่เพิ่งกระเถิบถอยหนีออกไปเหมือนกับรู้ตัวว่ากำลังเกะกะ ก่อนจะวางชามกระเบื้องเก่าๆลงกับพื้นตรงหน้าองค์ชายเจ้าปัญหา
"ฉันทำกับข้าวได้แต่ทำให้อร่อยไม่ได้ ส่วนนายจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของนาย ไม่สินายต้องกิน!"
ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่ายที่ไม่มีท่าทีจะตักข้าวเข้าปากซักคำด้วยแววตาหนักแน่น เหมือนคุณแม่กำลังบังคับลูกให้กินข้าวไม่มีผิด
"แขนข้าเจ็บ"
"แขนอีกข้างหนึ่งก็ใช้ได้นิ"
อาลียังคงมองเด็กดื้อตัวโตตรงหน้า ที่อ้างข้ออ้างไร้สาระเพื่อจะหาเรื่องไม่กินข้าว
"ถ้าข้าหยิบถ้วยขึ้นมาก็จะจับช้อนไม่ได้น่ะสิ แล้วแบบนั้นจะกินยังไง เจ้าคิดจะให้ข้ากินอาหารจากพื้นหรอ?"
มือเรียวที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล เสยผมหน้าขึ้นไปอย่างหงุดหงิดก่อนกุมหน้าผากถอนหายใจแรง จะปล่อยให้เจ้านี่มันนั่งมองข้าวแบบนี้ต่อไปดีมั้ยเนี่ย!
อาลีหยิบชามขึ้นมาก่อนจะตักข้าวต้มเละๆจ่อปากคนป่วยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนคนป่วยเจ้าปัญหาจะเมินหน้าใส่ข้าวเช้าที่เขาพึ่งทำอย่างไม่ใยดี
"นี่นาย... ( ー̀д ー́ ╬ ) "
"มันร้อนไป ลวกปากกันพอดี"
อาลีกำช้อนแน่นจนมือสั่นกึกๆ หงุดหงิดอยากจะเขวี้ยงข้าวต้มร้อนๆลวกหน้าใครบางคนแถวนี้แต่ก็ทำไม่ได้ จนรู้สึกอยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆแทน ก่อนจะหุบมือเข้ามาค่อยๆเป่าข้าวต้มในช้อน ในขณะที่โคเอนจ้องมองการกระทำนั้นพลางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
"เชิญเสวยได้แล้วขอรับ องค์ชาย..." อาลีกัดฟันพูดพร้อมกับเค่นยิ้ม
แล้วทำไมเขาจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย! นี่มันน่าอายจะตายไป
แบบนี้มันก็เหมือนกับ...
"เป็นอะไรหน้าแดงๆนะ"
"ไม่!"
"ข้าก็แค่ถามเฉยๆไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลยนี่นา"
โคเอนมองท่าทีที่ดูแปลกๆไปตั้งแต่เมื่อครู่ของคนตรงหน้า
'ดูออกง่ายเกินไปแล้ว'
ร่างบางที่สังเกตเห็นใบหน้าที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็สงบปากสงบคำปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูปรกติที่สุด แล้วทำหน้าที่ของตนเองต่อไปให้เสร็จๆ ก่อนเสียงทุ้มจะดังขึ้นขณะที่กำลังก้มลงเป่าข้าวต้มร้อนๆ
"ทำเจ้าถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย?"
"ห๊ะ!?"
ดวงหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมามองฉงน ไม่เข้าใจในคำพูดที่คนตรงหน้าพยายามจะสื่อ
"รู้ทั้งรู้ว่าเจิดจรัสเป็นภัยคุกคามต่อประเทศของเจ้า แต่เจ้าก็กลับไม่ยอมทิ้งข้าแล้วหนีไป ทั้งที่ถ้าปล่อยให้ข้าตายไปซะ เจ้าก็จะเป็นอิสระแท้ๆ"
"ถามอะไรของนายรีบๆกินให้มันเสร็จๆไปซักทีเหอะน่า"
โคนเอนจับข้อมือผอมๆเอาไว้แน่นก่อนที่ปลายช้อนจะแตะริมฝีปาก ทำให้มือที่ถือช้อนหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
"ข้าไม่กินจนกว่าเจ้าจะตอบ"
ใบหน้าหล่อคมแสดงสีหน้าจริงจังออกมาจนอาลีลำบากใจ
ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายนักหรอก...
แค่ในตอนนั้น ตอนที่ขึ้นไปบนถ้ำโอสถ อยู่ๆก็รู้สึกไม่อยากจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวขึ้นมา
โดยที่ไม่รู้ตัว เขาก็กลับดิ้นรนเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของผู้ชายคนนี้ราวกับคนบ้า ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจแท้ๆว่าคนๆนี้ทำอะไรกับบัลแบดเอาไว้ในคืนนั้น...
"ในตอนที่ตกหน้าผาเจ้าเองก็ยังไม่คิดจะทิ้งข้าเลยไม่ใช่หรอ"
ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางเบา ก่อนจะคลายมือออกจากข้อมือเล็กของคนตรงหน้า แล้วไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้คนตรงหน้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แม้ดวงหน้าหวานนั้นจะยังคงแสดงสีหน้าฉงนปนลำบากใจให้เห็นอยู่เนืองๆก็ตาม
'ไม่อร่อยเลย'
โคเอนคิดไปพลางคิดถึงเหล่าน้องสาวตระกูลเรนของเขา แค่คิดถึงอาหารที่พวกเธอทำก็รู้สึกเหมือนผื่นลมพิษจะขึ้นเต็มตัวแล้ว วันนั้นที่เขากับโคเมย์กินขนมที่โคเกียคุและฮาคุเอย์ทำมาให้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์พอถึงเช้าของอีกวันหนึ่งเขากับโคเมย์ก็นอนซมอยู่ในห้องออกไปไหนไม่ได้เลยทั้งวัน หลังจากนั้นเลยปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่กินอาหารฝีมือพี่น้องตัวเองเด็ดขาด ยกเว้นว่าฮาคุริวจะเป็นคนทำ
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยของที่อาลีทำมันก็ยังกินได้ ถึงแม้หน้าตามันจะอุบาทว์สุดๆไม่แพ้กับรสชาติเลยก็ตาม แต่มันก็กินแล้วไม่ตายล่ะนะ
โคเอนฝืนกินจนเกือบหมด ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงบอกกับอาลีว่าเขากินต่อไปไม่ไหวแล้ว
"เสร็จแล้วกินยาซะ"
อาลียื่นถ้วยยาเย็นชืดที่ต้มไว้ตั้งแต่เมื่อคืนให้กับโคเอน ดวงตาสีทับทิมนิ่งสงบมองมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ก่อนจะรับถ้วยยามาเงียบๆ
"ขอบ..."
"ลีอา!!!"
ยังไม่ทันที่โคเอนจะพูดจบประโยคเสียงตะโกนโวยวายอันไม่คุ้นหูก็ดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆกระทบกับพื้นไม้ดังอึกทึกครึกโครม
"ลีอาเจ้าต้องมาดูนี่! คนมากันเต็มหน้าวัดไปหมดเลย!"
ชายร่างสูงคางปูดโปนที่โคเอนไม่คุ้นหน้าเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาอย่างแรงจนผนังสะเทือน
"อ่ะ..ข้าเข้ามาขัดจังหวะพวกเจ้ารึเปล่า"
ชายคางตูดมองสองที่เหมือนจะเพิ่งกินมื้อเที่ยง(เช้า)เสร็จกันหมาดๆ ก่อนจะเกาหัวเขินๆ
อาลีหันมามองหน้าของโคเอนเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงก่อนจะลุกออกขึ้นเก็บชามกับข้าวของที่เกะกะพื้นให้เข้าที่เข้าทาง
"เดี๋ยวข้ามานะ"
อาลีจัดที่จัดทางให้โคเอนนั่งพักผ่อนได้สะดวกๆ ก่อนจะรีบเดินตามชายคางตูดออกไปหน้าบริเวณวัดที่จู่ๆก็มีเสียงเอะอะจอแจดังขึ้นเหมือนเสียงผึ้งแตกรัง
เหล่าชาวบ้านทั้งคนแก่และเด็กราวๆยี่สิบสามสิบกว่าคนต่างมายืนชะเงื้อคอมอง พูดคุยกันเสียงแซ่ดเป็นตลาดเช้า อาลีได้แต่มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมึนงง ก่อนบางคนจะชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา
"นั่นไง เด็กคนนั้นที่มีลูกประคำวิเศษ!"
"ห๊ะ" (ㆆ_ㆆ)!?
อาลีหันขวับไปมองเจ้าคางตูดทันทีเพื่อหาคำอธิบาย ก่อนเจ้าตัวจะเกาๆแก้มส่งเสียงแหะๆในลำคอเมื่อเจอกับสายตาคาดคั้น
"เจ้าตาเหล่มันเอาเรื่องไปโพนทะนาให้คนในตลาดฟังเมื่อเช้านี้ คนก็เลยแห่มาดูลูกประคำวิเศษที่ไล่เยติได้น่ะ"
"แล้วเจ้าตาเหล่ไปไหนล่ะ ไม่ได้มากับเจ้าหรอ?"
"เหมือนเจ้านั่นจะติดหญิง เลยไม่มาอ่ะ"
ชายร่างสูงกระพริบตาปริบๆ ในขณะที่อาลีได้แต่ถอนหายใจกุมขมับอย่างปวดหัว ทั้งๆที่คิดว่าจะอยู่เงียบๆจนกระทั่งออกจากหมู่บ้านนี้ไปได้แท้ๆ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้คนเกือบทั้งตลาดมายืนออกันอยู่หน้าวัดร้างที่เขากับโคเอนพักอาศัยอยู่ อีกทั้งยังมีท่าทีจะทยอยมาเพิ่มกันอีกเรื่อยๆอีก
"นี่เจ้าขายมั้ย?"
"ใช่ๆ เจ้าขายลูกประคำรึเปล่า"
"ขายให้ข้านะ ขายให้ข้า!"
เสียงเอะอะโวยวายเริ่มดังขึ้นทุกขณะ พร้อมกับฝูงชนที่ขยับเข้ามามะรุมมะตุ้มร่างบาง จนแทบจะถูกฝูงชนกลืนหายไปในความวุ่นวาย ก่อนที่ความคิดอันบรรเจิดจะผุดขึ้นมาในหัวที่ถูกกระแทกไปมาโดยบังเอิญ
"เดี๋ยว! หยุดก่อน!"
เสียงความวุ่นวายรอบๆตัวค่อยๆเงียบลง เมื่อเห็นคนที่อยู่กลางวงมีท่าทีไม่สบอารมณ์นักอีกทั้งยังเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
"ข้าคงขายลูกประคำให้กับพวกท่านไม่ได้หรอก มันเป็นลูกประคำวิเศษที่ยากมาก.."
ใบหน้าสวยตีสีหน้าลำบากใจ ก่อนเสียงของชายคนหนึ่งจะดังแทรกขึ้นมา
"งั้นข้าบริจาคให้วัด10เหรียญทองเลย!"
"ข้า20เหรียญทอง"
ชายอีกคนหนึ่งบอกราคาที่สูงกว่าตัดหน้าก่อนจะหันหน้าไปเขม่นกัน นำพาบรรยากาศอึมครึมเหมือนเมฆฝนที่ปกคลุมแสงแดดยามบ่ายอันสดใส
"ไม่ๆ ข้าบริจาคให้วัด25เหรียญทอง"
"ไม่ข้าสิ! 30เลย"
"อะไรนะ จะหาเรื่องหรอ!"
"เจ้าเสนอราคาแบบนั้น ตั้งใจตัดหน้าข้าชัดๆ"
เหล่ากลุ่มคนบางกลุ่มเริ่มจะส่งเสียงด่าทอ และกระชากคอเสื้อกันจนลานหิมะหน้าวัดแทบจะกลายเป็นสนามมวยงานวัด อาลีเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มเข้าทางจึงกระโกนขึ้นมา
"หยุดก่อน พวกท่านอย่าเพิ่งทะเลาะกัน!"
เสียงตะโกนของคนตัวเล็กเรียกความสงบกลับมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนใบหน้าหวานจะแสดงอาการกระอักกระอ่วนใจออกมา
"ข้าไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไม่มากกว่านี้ พวกท่านกลับไปเสียเถอะ"
"เดี๋ยวสิแม่หนู พวกเราน่ะต้องใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยภัยอันตรายจากเยติ พอได้ยินว่ามีเครื่องรางที่ขับไล่เยติได้ก็เลยแห่กันมา เห็นใจด้วยเถอะอย่างน้อยเปิดเช่าเวียนกันในหมู่บ้านก็ยังดี"
อาลียิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ แม้ว่าตอนนี้จะสีหน้าที่หนักอกหนักใจที่แสดงอยู่นั่นจะตรงกันข้ามกับสิ่งชั่วร้ายที่คิดอยู่ในใจก็ตาม
"ตัวข้าเองก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมาย เพียงแต่.."
อาลีหยุดคำพูดไว้ก่อนจะมองปฏิกิริยาของเหล่าผู้คนอย่างสุขุมรอบคอบ
"วัดนี่มันก็เสื่อมโทรมมาก จะบูรณะใหม่ก็ต้องใช่แรงเงินพอสมควร เอาเป็นว่าข้าจะยกลูกประคำให้กับคนที่บริจาคเงินเข้าวัดมากที่สุดก็แล้วกัน"
"ได้ยินแล้วใช่มั้ย! จะมีการเปิดประมูลลูกประคำวิเศษแล้ว"
เจ้าคางตูดพูดขึ้นเป็นลูกคู่รับเข้ากับอาลีเป็นปี่ขลุ่ย เรียกเสียงเฮจากผู้คนประหนึ่งว่ามีการนับคะแนนเลือกตั้งกรรมการหมู่บ้านหน้าลานวัด
โคเอนที่อดสงสัยกับเสียงเอะอะหน้าวัดไม่ไหวจึงเดินลากสังขารหนักอึ้งออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเห็นภาพของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ส่งเสียงวุ่นวายหน้าลานวัด และอาลีที่ยืนอยู่บนลังไม้เก่าๆถือกิ่งไม้และกระทะโคเรียคิงมือสองส่งเสียงโป๊งเป๊งอยู่หน้าฝูงชน
"เอ้า! มีใครให้มากกว่า..."
ร่างบางหันหลังกลับไปทันทีเมื่อถูกสะกิดจากด้านหลัง ก่อนจะมีสีหน้าตกใจปนกับเป็นห่วงเมื่อเห็นคนป่วยเจ้าปัญหาลุกออกมาเดินเพ่นพ่านทั้งๆที่ยังไม่ฟื้นตัวดี
"นี่นายออกมาทำไม กลับเข้าไปไปเลยนะ"
อาลีบ่นด้วยน้ำเสียงกระซิบเมื่อโคเอนยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านกับอากาศยามบ่ายที่ยังคงหนาวไม่ต่างจากช่วงเช้าเท่าไหร่นัก
"นี่นายกำลังทำอะไรอยู่?"
"เอาเถอะน่า นายกลับเข้าไปพักเถอะ รับรองงานนี้ปังแน่นอน"
โคเอนมองไปยังเหล่าฝูงชนที่ยืนกันเงียบกริบตั้งแต่เมื่อครู่ที่เขาเดินเข้ามาขัดจังหวะของงานอะไรบางอย่าง ที่ดูเหมือนงานประมูลอัญมณีล้ำค่าก็มิปาน
"ปังปิ๊นาศล่ะสิไม่ว่า..."
.
.
.
ดวงตะวันสีแดงเข้มค่อยๆผ่านพ้นขอบฟ้า เช่นเดียวกับความหวังและขวัญกำลังใจของแม่ทัพผู้พิชิตทิศอุดร ฮาคุเอย์ ใบหน้าสวยแสดงความเคร่งเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างกับเหล่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่เพิ่งจะคว้าน้ำเหลวกลับมาจากภารกิจค้นหา
ทหารหนุ่มโดลจิดูจะมีสีหน้าเป็นกังวัลมากกว่าใครเพื่อนหลังจากรู้ความจริงว่าทหารสองคนที่เขาคุยเล่นด้วยเมื่อคืนเป็นองค์ชายลำดับหนึ่งโคเอนว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไปของเจิดจรัส และเลขาธิการผู้ติดตามใกล้ชิด ซ้ำร้ายเขายังนอนหลับสบายใจเฉิบในเต็นท์เดียวกันโดยไม่เอะใจว่าพวกเขาทั้งสองหายไปไหน
"ถ้าหากันขนาดนี้แล้วยังไม่เจอ บางที่องค์ชายโคเอนกับท่านมือขวาอาจจะหลงเข้าไปในอาณาเขตของแคว้นเหมันต์แล้วก็ได้นะขอรับ"
ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ก่อนองค์หญิงฮาคุเอย์จะหันหน้าไปหาพลทหารโดลจิที่ยืนอยู่ออกไปไม่ไกลนัก
"โดลจิเจ้าเอาภาชนะโลหะของข้าไปที่แคว้นอูกิ แล้วบอกว่าข้าต้องการจะขอเข้าพบผู้ครองแคว้น"
"ไม่ได้นะขอรับ!" เซย์ชุนแย้งยขึ้นมาหน้าตาตื่น เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนได้สูญเสียความรอบคอบไปหมดสิ้น
"ทำแบบนั้นมันจะไม่โจ่งแจ้งเกินไปหน่อยหรอครับ เหมือนกับการแสดงตัวว่าพวกเรากำลังสืบราชการลับของทางฝั่งนั้นอยู่เลยนะขอรับ!"
"นั่นสิ อีกอย่างทางเข้าแคว้นอูกิก็โดนหิมะถล่มเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการโกยหิมะออกด้วย หากจะเข้าไปโดยใช้ภูษาเวทย์ก็จะเกิดปัญหาได้นะขอรับ"
เสียงคัดค้านเตือนสติทำให้ฮาคุเอย์ถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปออกคำสั่งใหม่
"ส่งสารไปหาท่านโคเมย์"
.
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น