วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER26


รสชาติเผ็ดร้อนนั้นคือความรัก
บัวลอยน้ำขิงแห่งความคิดถึง♥




"โฮ่...ละครหลังข่าวมาพอดีเลย"


"โคฮา"
ผู้เป็นพี่เดินออกมาตามน้องชายจอมเยอะด้วยตัวเองหลังจากที่เลยเวลานัดมาพอสมควรแล้ว เมื่อเดินออกมาดูก็พบว่าน้องชายตัวเล็กของเขากำลังยืนเกาะระเบียงชั้นสองไม่ขยับตัวไปไหน

"พี่เอน!"
ดวงตากลมโตน่ารัก หันมามองพี่ชายอย่างตกใจ ก่อนจะเบือนหน้าจากเรื่องสนุกเมื่อครู่หันมาทำความเคารพต่อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่

"ทำอะไรอยู่น่ะ?"
"ข้ากำลังจะเข้าไปหาแล้ว แต่พอดีเห็นเรื่องพวกนั้นซะก่อนน่ะสิ อีกอย่างมันก็ดูน่าสนุกดีด้วยเลยหยุดดูพักหนึ่ง"

คนตัวใหญ่ในชุดออกศึกมอง'เรื่องพวกนั้น'ที่น้องชายตัวเองพูดถึงก่อนจะหรี่ตา
"ด้วงขวิดกันเนี่ยนะ?"

"ไม่ใช่! ข้าหมายถึงข้างล่างนั่นต่างหาก" คนตัวเล็กชี้ลงไปด้านล่างก่อนจะลดน้ำเสียงลง ชี้มือไปยังเด็กสาวที่เขาพึ่งพบเมื่อครู่กำลังนั่งเก็บกวาดพื้นท่านกลางเสียงหัวเราะคิกคักของคนที่เดินผ่านไปมา

"เหมือนคนจากตำหนักเล็กจะทะเลาะกับขุนพลของท่านพี่น่ะ ถึงทางนั้นจะโดนเล่นอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะนะ..."

ดวงตากลมโตมาใบหน้าซีกหนึ่งที่โดนลวกจนเป็นรอยแดงเหมือนกับปานก่อนจะมุ่ยหน้าเล็กน้อย
"โดนแบบนั้นคงเสียโฉมไปพักหนึ่งเลยล่ะ"

"อาลี!"

"อ่ะ! ดะ..เดี๋ยวก่อนพีี่เอน"
แม่ทัพใหญ่มองคนที่กำลังก้มเก็บเศษชามกระเบื้องกับเศษอาหารด้วยใบหน้าแดงปลั่งและเสื้อผ้าที่เปรอะไปทั้งชุด ขายาวๆก้าวเท้าออกจากระเบียงไปเร็วเสียยิ่งกว่าความคิดก่อนที่จะโดนมือเล็กๆที่เรี่ยวแรงเยอะเกินขนาดตัวรั้งเอาไว้

"ดะ เดี๋ยวก่อนสิ ท่านพี่ ดูนี่ก่อน"

คนที่ถูกรั้งไว้หันไปมองตามเสียงของน้องชายอย่างรู้สึกขัดใจ มันมีอะไรที่เขาจะต้องยืนดูอยู่เฉยๆไปมากว่านี้อีกหรอ?

ดวงตาสีทับทิมเข้มสะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มผมสีหมึกผู้มีรอยแผลเป็นบนหน้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาราวกับกำลังตามหาใครบางคนอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาหาคนที่ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดพื้น

โคเอนมองใบหน้าสวยที่ซุกลงบนบ่ากว้างของเด็กหนุ่มผู้เป็นน้องชายต่างสายเลือด ภาพมือคู่ใหญ่ลูบปลอบประโลมคนในอ้อมแขนที่ตัวเปื้อนไปทั้งตัวอย่างไม่นึกรังเกียจนั้นเป็นภาพที่เขาได้แต่มองอยู่ไกลๆ ท่าทางที่อ่อนปวกเปียกไปจากทุกทีที่เคยเห็นในอ้อมแขนของตนเองนั้น ตอนนี้กลับอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มผมสีเข้มอย่างแนบชิด

"คุณชายน้อยนั่นมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกกันเลยนะ"
คนตัวเล็กเท้าคางมองคนที่เดินซบกันออกไปจนลับตา


'ร้องไห้?'


"มันจะไปใช่ได้ยังไงกัน..มีเรื่องงานให้ต้องจัดการอีกมาก อย่ามัวมาสนใจเรื่องไร้สาระเลย"เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบๆ ในขณะที่แก้วตาสีทับทิมเองก็ยังคงมองออกไปยังทางที่ทั้งสองคนเดินออกไปไม่ละสายตา

"ท่านพี่?"
โคฮาเอียงคอเล็กน้อยกับท่าทางแปลกๆเมื่อครู่นี้ ก่อนจะเดินตามคนตัวใหญ่เข้าไปในห้องโดยที่ไม่คิดจะถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครู่อีก เก็บไว้เป็นความบันเทิงเล็กๆในวังหลวงอันน่าเบื่อแห่งนี้ก่อนที่เขาจะโดนพี่ชายสวดยับที่มัวแต่เอ้อระเหยลอบชายอยู่ข้างนอก ดูวันนี้พี่ชายของเขาอารมณ์ไม่ดีสุดๆเอาซะเลยถึงได้พูดไฟแล่บขนาดนั้น

คนตัวเล็กได้แต่นั่งอยู่เงียบๆฟังพี่ชายคุยเรื่องงาน โดยที่โคเอนเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียวอยู่ซักพักหนึ่งก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น

"เข้ามา"

ผู้ติดตามที่เคยรับใช้โคเอนอยู่ประจำ คน คนเดียวกับที่โคฮาเห็นในเหตุการณ์ละครหลังข่าวเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสำรับกับข้าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่พี่ชายและเขาพึ่งจะกินข้าวที่ตำหนักของโคเมย์มาแหม่บๆ เรื่องแค่นี้ก็น่าจะรู้แท้ๆ
"สงครามการได้หน้าของพวกคนรับใช้ก็อย่างนี้" คนตัวเล็กบนพึมพำเบาๆ ก่อนจะแสดงสีหน้าสะอิดสะเอียนอย่างไม่ปิดบัง

"นายน้อย ข้าเอาสำรับกับข้าวมาถวายขอรับ"
เซย์ชูเดินถือถาดกับข้าวเข้ามา ตามด้วยของอีกสองสามอย่างที่มีนางกำนัลผู้ติดตามหน้าตาจิ้มลิ้มสามคนเดินถือตามเข้ามาวางบนโต๊ะแล้วโปรยยิ้มหวานใส่เขา จนโคเอนต้องขมวดคิ้วมุ่น

"ทำไมอยู่ๆถึงได้ยกมาล่ะ?"

คนตัวเล็กที่นั่งไกวขาอยู่บนเก้าอี้กรอกตาก่อนจะอมยิ้ม เมื่อคิดถึงความบันเทิงฉากต่อไปก่อนจะแกล้งพูดสิ่งที่ตัวเองเห็นก่อนหน้านี้ขึ้นมา "จะว่าไปก่อนหน้านี้ ข้าเห็นคนจากตำหนักถือถาดกัับข้าวเล็กๆเข้ามา แล้วทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นเจ้าได้ล่ะเนี่ย"

คนตัวเล็กลุกขึ้นเดินวนไปมามองเหล่าเครื่องเสวยที่ถูกยกเข้ามาก่อนจะทำแก้มป่องตีหน้าซื่อไร้เดียงสา "ระหว่างที่เจ้าเดินมาเนี่ย ถาดกับข้าวมันโตออกลูกออกหลานเพิ่มขึ้นมาเยอะเลยนะ"

"อ่ะ เอ่อ.."
คนตัวใหญ่หันไปมองสายตาของผู้เป็นนายที่นั่งอยู่บนโต๊ะ สายตาคู่นั้นราวกับคาดคั้นคำตอบอะไรบางอย่างจากเขาแถมยังแผ่รังสีที่เป็นภัยต่อสัตว์เลื้อยคลานออกมาตลอดเวลา
"คือ..."


ก็อกๆ
เสียงสวรรค์ของใครบางคนดังขึ้นด้านหลังประตูช่วยชีวิตของงูน้อยให้รอดตัวไปได้อีกหน ก่อนน้ำเสียงหวานดั่งแม่พระมาโปรดจะดังขึ้นตามมา


"ขออนุญาตค่ะท่านโคเอน"
เสียงของท่านหญิงฮาคุเอย์แม่ทัพพิชิตอุดรมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไกล่เกลี่ยได้ทุกปัญหาค่อยๆเดินเข้ามาเปิดโอกาสให้ใครบางคนได้ถอยร่นเขยิบไปทางประตูทีละเล็กละน้อย

  หญิงสาวท่าทางงดงามเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้าสวย ดวงตาสีนิลวาวเหลือบมองอาหารมากมายที่ตั้งบนโต๊ะอย่างประทับใจ ก่อนจะหันมาถามคนที่อยู่ข้างๆ

"ท่านเซย์ชู? ข้าเข้ามาขัดจังหวะอะไรท่านรึเปล่าคะ?"

"มะ ไม่เลยขอรับ"

"มีเรื่องอะไรหรอฮาคุเอย์ จู่ๆก็มากระทันหันแบบนี้" โคเอนกุมหน้าผากกับบรรยากาศอันตรึงเครียดที่เริ่มจะยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ไม่ดีมาซักพัก


"พอดีก่อนออกเดินทางครั้งนี้ข้าอยากจะให้ท่านเห็นความคืบหน้าซักอย่างในการฝึกของอาลีที่ท่านไหว้วานมาเสียหน่อย เลยสั่งให้อาลีทำสำรับอาหารมาถวายองค์ชายโคเอนก่อนออกเดินทาง" ฮาคุเอย์ยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่มีอาหารเลิศรสทั้งคาวหวานวางเต็มไปหมด

"นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนั้นจะตั้งใจทำมามากขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จับตะหลิวยังไม่เป็นเลยแท้ๆ ดูแต่ล่ะอย่างสิน่ากินทั้งนั้น ฝีมือพัฒนาไปมากจริงๆ"

"อ่อ"
โคเอนหรี่ตามองคนตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งแสร้งมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ด้วยสีหน้าซีดเซียวไม่ได้มีความเนียนแม้แต่น้อย ในขณะที่โคฮาเองก็แกล้งทำเป็นหันไปมองแล้วทำสายตาคาดโทษใส่ จนฮาคุเอย์ต้องหันไปมองตามอย่างไม่เข้าใจ

"จริงสิ! ท่านโคเอนลองชิมดูรึยังคะ?"

"ยังน่ะ.."

"เด็กคนนั้นอุตส่าห์ตั้งใจทำมาขนาดนี้จะไม่ลองชิมดูซักหน่อยหรอคะ"
ฮาคุเอย์คะยั้นคะยอให้โคเอนลองชิมอาหารตรงหน้าสุดฤทธิ์ ก่อนที่คนที่นั่งอยู่ค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่ จนแม่ทัพหญิงถึงกับฉงน

"ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อน..."
หลังจากพูดจบประโยค โคเอนก็ยันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะเดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรท่ามกลางสายตาฉงนงุนงนของคนที่ยืนอยู่ในห้อง

"หรือรสชาติมันจะแย่กันนะ?"
ฮาคุเอย์พูดเสียงอ่อยๆ มองกับข้าวบนโต๊ะที่เหลือทิ้งไว้อย่างเสียดาย


"ไม่นิ ก็อร่อยดี"
พยานผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั่งปิดปากเงียบ หยิบของหวานที่วางบนโต๊ะเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่จะโดนเจ้าของดวงตาคู่สวยหันไปทำสายตาเป็นเชิงไม่พอใจ

"ยังไงซะก็คงไม่มีใครกินอยู่แล้วนี่นา.."


.

.

.



"ในที่สุดก็เสร็จซักทีนะครับ"
ฮาคุริวดับไฟในเตามองดูบัวลอยไส้งาเป็นสิบๆลูกที่ทำเสียไปก่อนจะหันกลับมามองห้าลูกที่ใช้ได้ที่เหลือในหม้อ ยังไงซะนี่ก็ถือว่าเป็นผลแห่งความพยายามที่ประสบความสำเร็จล่ะนะ

ไอน้ำร้อนสีขาวจากหม้อต้มน้ำขิงลอยคลุ้งไปทั่วครัวเล็กๆ ต้องกับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างราวกับกลุ่มเมฆเล็กๆในวันที่อากาศดี กรุ่นกลิ่นไอของความเผ็ดร้อนคลุ้งไปทั่วบริเวณ จนเด็กสาวในร่างจำแลงที่กำลังคนหม้อต้องเอาแขนเสื้อขึ้นมาป้องใบหน้าที่แดงแสบ ก่อนจะสำลักไอที่ลอยขึ้นมาเล็กน้อย


"รีบยกไปกันดีกว่าครับ"
ใบหน้าอ่อนละมุนยิ้มออกมาบางๆ มองลูกศิษย์ที่กำลังคนหม้อบัวลอยกลับมามีกำลังใจเต็มเปี่ยมได้อีกครั้ง ถึงแม้เนื้อตัวจะเต็มไปด้วยแผลแค่ไหน แต่พอเมฆฝนผ่านไปซักพักก็กลับมายืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง ถึงแม้อยากจะบอกให้ไปทำแผลก่อนแต่พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ไม่อยากไปขัดให้เสียกำลังใจ


"อื้อ!"
มือที่พันผ้าพันแผลยกถ้วยบัวลอยวางลงบนถาดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ยังไงซะถ้าฝั่งนั้นยกของคาวไปแล้ว ฮาคุริวก็เลยเสนอให้ทำบัวลอยน้ำขิงจากขิงที่เหลือดู ถึงจะออกมาได้ไม่สวยงามนักแต่รสชาติก็คงจะ…

"จริงด้วย! ยังไม่ได้ชิมเลยนี่นา"
อาลีหยิบถ้วยแบ่งชิมน้ำขิงที่ปรุงเองตักให้ตัวเองและฮาคุริวที่ทำสีหน้าเป็นกังวลสุดๆ(เพราะครั้งนี้ปล่อยให้อาลีปรุงคนเดียว)ก่อนจะค่อยๆเป่าแล้วจิบชิม ขณะที่ฮาคุริวยกซดเข้าไปรวดเดียว

"นะ..นี่มันไม่ไหวจริงๆด้วย ผะ เผ็ดดดดด"
อาลีพ่นลมฟูฟ่าราวกับกำลังจะพ่นไฟได้ นอกจากรสเผ็ดชาปากแล้วก็แทบจะไม่มีรสหวานเลย อีกอย่างขิงที่เอามาใช้ทำก็เป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อนสุดๆ


"มะ มันก็รสชาติออริจินัลดีออกครับ!" ฮาคุริวพูดน้ำตาซึม ก่อนจะสำลักความเผ็ดวิ่งไปหาหาน้ำกินวุ่นทั่วครัว
"แค่กๆๆๆ"

อาลีสะดุ้งสุดตัวหลังจากที่ได้ยินเสียงกลองรบตีดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ววังราคุโช ก่อนจะ วิ่งยกถาดออกไปโดยที่ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
"ไม่ทันแล้ว!!"

"ดะ เดี๋ยว แค่กๆ รอก่อน!"
ฮาคุริวร้องห้ามอาลีที่วิ่งออกไปคนเดียว ก่อนจะสะดุดฝาหม้อล้มอย่างหมดเรี่ยวแรง หลังจากที่สำลักจนหอบเหนื่อย
"ถ้าปล่อยให้ไปที่ตำหนักประจิมคนเดียวล่ะก็..."


"เดี๋ยวจะกลับมาเก็บกวาดนะ!!"
คนที่วิ่งออกไปเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฟังสิ่งที่ฮาคุริวพูดแม้แต่น้อย

อาลีประคองถาดที่ถือไว้ในมือกึ่งเดินกิ่งวิ่งเร่งฝีเท้าออกจากตำหนักเล็ก กำลังทหารในวังที่เห็นพลุกพล่านก่อนหน้านี้ ตอนนี้เบาบางเสียจนรู้สึกได้ ยิ่งทำให้อาลียิ่งเริ่งฝีเท้าขึ้นไปอีกจนน้ำขิงในชามที่ปิดฝาเอาไว้กระฉอกออกมาเล็กน้อย

"เวลาแบบนี้จะไปอยู่ที่ไหนกันนะ?"
ร่างบางหันซ้ายขวาไปทั่ว ราวกับเด็กหลงทาง ขาคู่นั้นวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางเสียด้วยซ้ำ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวจนเหนื่อยอ่อนส่งเสียงภาวนาอย่างเงียบๆ

'โคเอน'

ฝีเท้าเล็กวิ่งวนไปทั่วตำหนักใหญ่ และห้องหนังสือจนเหนื่อยอ่อน ไม่ว่าที่ไหนก็แทบจะไม่มีคนอยู่เลย

"อ่ะ นี่เดี๋ยวก่อนพี่ชาย!"
คนตัวเล็กเรียกทหารยามรักษาการที่กำลังเข้าไปเปลี่ยนเวรที่ตำหนักทิศประจิมเอาไว้ ก่อนทหารหนุ่มหน้าใหม่จะหยุดมองดูเด็กสาวในชุดเปรอะเปื้อนเหมือนสาวก้นครัวอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
"กองทัพเคลื่อนออกจากราคุโชไปแล้วหรอ แล้วท่านแม่ทัพล่ะ?"

"ท่านแม่ทัพล่วงหน้าออกไปก่อนซักพักหนึ่งแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรรึ?"
ทหารหน้าใหม่ขมวดคิ้วให้กับคำถามแปลกๆ


"ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ขอบคุณท่านมาก"
อาลีโค้งขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกมาด้วยท่าทีงกงั่นเหมือนตะเกียงไฟที่ต้านลมแรงวูบไหวราวกับจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ

ร่างบางเดินออกมาเรื่อยๆราวกับไม่ได้คิดถึงจุดหมายที่จะเดินไปต่อข้างหน้า ไม่รู้ว่าจะเดินกลับไปดีหรือเปล่า หรือจะเดินไปที่ไหนดี ได้แต่ปล่อยให้ลมอุ่นของยามบ่ายไล้ไปตามเส้นผมที่เกาะไปด้วยฝุ่นแป้งและพวงแก้มที่เป็นแผลลวกแดง ก่อนจะหยุดพักขาที่อ่อนแรงใต้ต้นหลิวต้นหนึ่งใกล้ๆกับทางไปตำหนักเล็ก ใต้ม่านหลิวที่ยาวเกือบแตะพื้นดินมีเก้าอี้และโต๊ะหินทรงกลมเล็กถูกตั้งเอาไว้ เหมาะอย่างยิ่งแก่คนที่อยากจะอยู่คนเดียวซักพัก

   มือที่สั่นด้วยอาการเจ็บแปลบๆจากฝ่ามือวางถาดไม้ลงบนโต๊ะหินเล็ก ก่อนจะนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากที่ความพยายามครั้งที่สองพังครืนลงมาราวกับปราสาททรายที่ก่อร่างสร้างมาหลายชั่วยาม แต่กลับถูกน้ำทะเลกลืนหายไปเพียงเสี้ยววินาที

"ทั้งๆที่ทำบัวลอยแท้ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแห้วไปได้นะ"
คนที่นั่งพักหัวเราะเสียงสั่น ก่อนจะค่อยๆฟุบตัวลงกับโต๊ะหินเย็นๆหลังจากวิ่งตากแดดร้อนจนเพลีย

ภาพของภาชนะกระเบื้องตรงหน้าค่อยๆบิดเบี้ยวไปพร้อมกับแสงที่ส่งผ่านแมกไม้สลัว ขณะที่แก้วตาสีสวยร้อนผ่าว ก่อนร่างบางจะค่อยๆปิดเปลือกตาลงเบาๆ

ทั้งที่อยู่แบบนี้มันก็ดีแล้วแท้ๆ ทั้งที่คิดตัดใจทิ้งเรื่องนั้นไปแล้วแท้ๆ แต่ความรู้สึกไม่พอใจนี่มันคืออะไรกัน? คำถามมากมายในใจนี่มันคืออะไรกัน? ทำไมอยู่ๆก็ทิ้งฉันเอาไว้ ไม่พูดบอกซักคำ ไม่เรียกหา ไม่แวะมาเยี่ยม พอมาครั้งนี้ก็จะย้อนกลับไปที่อูกิอีก แล้วนายจะไปนานเท่าไหร่กัน 1เดือน 2เดือน 3เดือน หรือเป็นปี ครั้งนี้จะล้มป่วยไปอีกรึเปล่า หรือจะหาเรื่องเจ็บตัวอีกรึเปล่า ทำไมถึึงไม่ยอมบอกอะไรเลยซักอย่าง?

ให้ฉันมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร?
แล้วทำไมหัวใจของฉันถึงได้แต่เรียกชื่อของนายกัน?

ลมเย็นพัดผ่านแหวกม่านหลิวให้ขยับไหวปลิวไสว ดูราวกับผ้าคลุมหน้าสีหยกของภูติไม้ที่ปกปิดความรู้สึกอันบอบช้ำมากมายของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนร่างบางจะค่อยๆขยับแขนปาดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนแพขนตาช้าๆ เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทั้งที่ยังคงปิดเปลือกตาเอาไว้ปล่อยให้ลมอ่อนๆพัดไล้ไปตามใบหน้าแดงก่ำ สัมผัสกับปลายจมูกเชิดรั้นที่แดงเรื่ออย่างอ้อยอิ่ง หากสายลมนั้นจะพัดความรู้สึกที่เปียกปอนอยู่ในใจให้เบาบางลงได้บ้าง

.
.
.

"มาอยู่ที่นี่เองหรอ"

คนที่หลับตาอยู่สะดุ้ง ลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงทนงตนตรงหน้าผู้ทำลายความสงบเงียบของระบำสายลมและกิ่งหลิว
"โคเอน.."

"ก็ข้าน่ะสิ"
คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่น มองใบหน้าที่ดูเหมือนกับกำลังมองความฝัน
"แล้วทำไมเจ้าถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว?"

อาลีมองไปรอบๆอย่างลุกลี้ลุกลน พยายามใช้แขนเสื้อปิดใบหน้าแล้วปลายจมูกที่แดงก่ำเป็นผลบ๊วยสุกหลังจากร้องไห้ "คะ คือข้า มะ มาชมวิว"

โคเอนมองไปรอบๆม่านหลิวทืบๆที่แทบจะมองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆเลย ก่อนจะชี้ไปที่ถ้วยบัวลอยที่รอบๆมีรอยหยดน้ำหกออกมาเล็กน้อย
"แล้วนี่ล่ะ"

"ข้า..ทำมากินเอง"
อาลีพูดเสียงแผ่วเมื่อโดนดวงตาคมเรียวหรี่ตาลงอย่างจับผิด

"หรอ"
คิ้วเรียวเลิกขึ้นพลางกระตุกมุมปาก

"มะ..มาชมวิวจะขาดของกินได้ยังไงเล่า!" คนตัวเล็กตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำขิงขึ้นมาซดโชว์ โดยที่ลืมไปว่า..
"เผ็ดดดดดดดดดดดด"


อาลีเอามือกุมริมฝีปากน้ำตาซึม ในขณะที่คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามส่งเสียงหัวเราะทุ้มกังวานเบาๆกับท่าทางของคนตรงหน้า ก่อนมือใหญ่จะหยิบช้อนขึ้นมาตักลูกบัวลอยในชาม

"มะ..ไม่ได้นะ!"
ร่างบางตะโกนห้ามคนที่กำลังจะตักบัวลอยเข้าปาก เพราะนอกจากจะไม่ได้ใส่น้ำตาลแล้วมันยังเผ็ดนรกแตกสุดๆ

โคเอนหยุดมือไว้ก่อนจะหันมามองสีหน้าแตกตื่นที่นิ่งค้างไปของอาลีที่ดูเหมือนกำลังคิดหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อห้ามเขา ก่อนจะอาศัยจังหวะนี้ตักบัวลอยในช้อนเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"นี่นาย!"

"อร่อย.."

"เอ๊ะ?"
อาลีขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่ว หรือโคเอนพูดออกมาจริงๆกันแน่ ดวงตาคู่สวยมองโคเอนที่ยกถ้วยบัวลอยขึ้นมาซดไม่สนใจเขาที่นั่งอยู่แม้แต่น้อย ก่อนความรู้สึกเผ็ดร้อนเมื่อครู่จะย้อนขึ้นมาติดอยู่ที่ปลายลิ้นอีกครั้งเมื่อเห็นโคเอนยกชามขึ้นมาซดจนไม่เหลือแม้แต่น้ำขิงซักหยด

"ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืนกินไปจนหมดก็ได้นะ อีกอย่างนั่นน่ะข้าไม่ได้ใส่น้ำน้ำตาลซักช้อน แถมขิงก็แก่สุดๆ"

"อร่อยมาก"

"เห็นมั้ยเล่าก็บอกแล้วว่ามันไม่อร่อยน่ะ อะ.. เมื่อกี้นี้...นายพูดว่าอะไรนะ?"

"สมองมีปัญหาหรอ ข้าบอกว่า บัวลอยมันอร่อยมาก"
โคเอนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองใบหน้าที่นิ่งค้างไปราวกับรูปปั้นหิน ก่อนที่จะยิ้มออกมาบางๆ "กลัวข้าเป็นหวัดขนาดนั้นเลยหรอ?"

คนที่ถูกถามหน้าแดงแปร๊ด ก่อนจะจะส่ายหัวเป็นพัลวัน
"กะ ก็บอกแล้วไง ว่าทำมากินเองงงง"

"ทำบัวลอยน้ำขิงมากินเองทั้งที่อากาศร้อนแบบนี้เนี่ยนะ?"
โคเอนยิ้ม ก่อนคนปากแข็งจะเม้มปากพยักหน้าเบาๆ

"ทั้งตอนที่อูกิ ตอนที่ข้าล้มป่วยไม่ได้สติตอนนั้นมีเจ้าคอยดูแลอยู่ข้างๆตลอด แล้วตอนนี้ก็ยังมาเป็นห่วงข้าว่าจะป่วยไข้ไปอีก เจ้านี่มันยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ"
หลังจากพูดจบโคเอนก็ลุกขึ้นจากม้านั่งหิน เดินผ่านคนที่นั่งก้มหน้าเหมือนเด็กน้อยที่โดนดุก่อนจะหยุดฝีเท้าไว้ครู่หนึ่ง

"แต่ก็ขอบคุณนะ.."

อาลีเงยหน้าขึ้นมาทันที ครั้งนี้เขาไม่ได้ฟังผิดไปเองแน่นอน! ก่อนที่มือเรียวจะคว้าแขนเสื้อของคนตรงหน้าเอาไว้ขณะที่กำลังจะเดินออกไปพ้นอาณาเขตของกิ่งหลิวที่ลู่ลงเป็นม่านหยกสวยงาม
"เดี๋ยวก่อน!"

ใบหน้าหล่อคมหันกลับมามองสีหน้าแดงก่ำที่ถูกซ่อนใต้เงาไม้ ก่อนจะถูกดวงตาสีบุษราคัมน้ำงามตรึงเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหน

"ถะ ถ้ากลับมาแล้ว อยากจะกินอะไรหรอ?"


ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ ร่างใหญ่ทะมึนของคนตรงหน้าก็กลับพุ่งเข้ามากอดคนตัวบางที่ดูราวจะถูกกลืนโดยเงาของคนตัวใหญ่เสียสิ้น ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้คนในอ้อมแขนเซถอยหลังไปชนกับขอบโต๊ะจนแอบส่งเสียงท้วงเบาๆ ใต้เงาของม่านหลิวที่โอนไหวตามลมไปมา

"คะ..โคเอน"

"ฟินิกส์"
หลังจากที่เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบา ลำแสงสีม่วงสว่างที่ดูราวกับนกหงส์ในเทพนิยายปรัทปราก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มลำตัวของคนที่กำลังกอดกันสองคนแล้วสลายหายไปราวกับฟองอากาศเช่นเดียวกับบาดแผลที่มือและใบหน้าของอาลี

"ดะ เดี๋ยวสิ ใช้มะโก่ยพร่ำเพรื่อแบบนี้เดี๋ยวก็.. อีกอย่างตัวข้ามีแต่กลิ่นกับข้าวนะ"

"อาลี..ข้าจะไม่อยู่กับเจ้าอีก3เดือน เพราะงั้นอยู่กับฮาคุเอย์ เชื่อฟังนาง เวลาออกไปไหนอย่าออกไปคนเดียวเข้าใจรึเปล่า?"เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ในขณะที่คนในอ้อมแขนพยายามจะขัดขืน

"นายก็ไม่ได้ไปนานขนาดนั้นซักหน่อย แค่3เดือนเองไม่ใช่หรอ.."
คนในอ้อมแขนพูดเสียงแผ่ว เมื่อสิ่งที่พูดออกมามันช่างขัดกับข้อความที่ดังก้องอยู่ในใจอย่างไม่อาจให้อภัยได้

แค่3เดือนอะไรกัน…


"รับปากกับข้าก่อนสิ ถ้าข้ายังไม่กลับมาล่ะก็เจ้าจะไม่กลับเข้าไปที่ตำหนักของข้าเด็ดขาด จะอยู่ห่างจากคนในตำหนักประจิมเท่าที่จะทำได้.."

"ทำไมหรอ?"

คนตัวใหญ่เงียบนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น เหมือนดั่งวันนั้น หลังจากเอาลูกธนูออกจากแผ่นหลังเล็กๆได้แล้ว เขาก็กอดคนที่เนื้อตัวซกไปด้วยเหงื่อและเลือดเอาไว้แน่น
"เพราะเจ้ามันดื้อยังไงล่ะ"

"ฮะ?"
คนตัวเล็กขมวดคิ้วแน่นด้วยใบหน้าที่พร้อมจะโวยวายมีเรื่องทันที

"รับปากข้าสิ"
โคเอนยังคงพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หาได้มีอารมณ์ล้อเล่นแม้แต่น้อย จนคนอ้อมแขนจะเม้มปากอดที่จะไม่พอใจไม่ได้ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ต้องพ่ายแพ้คำพูดที่แสนเอาแต่ใจของคนตรงหน้าทุกครั้งไป

"อือ..ข้ารับปาก"

หลังจากที่น้ำเสียงที่ฟังดูอ้อยอิ่งนั้นเงียบลงโคเอนก็ค่อยๆคลายอ้อมแขนออกอย่างช้าๆ มองคนตรงหน้าที่สภาพโทรมจนแทบดูไม่ได้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง


"ทำบัวลอยน้ำขิงแบบถ้วยเมื่อกี้รอข้ากลับมาด้วยล่ะ"

1 ความคิดเห็น: