หากหุบเหวนี้จะนำเราทั้งสองไปสู่ความตายล่ะก็
มันก็คงจะเป็นเพราะทิฐิของตัวข้าเอง...
มันก็คงจะเป็นเพราะทิฐิของตัวข้าเอง...
"อะไรนะ! พี่เอนไม่อยู่หรอ! ไปไหน? ไปกับใคร? เมื่อไหร่? กลับตอนไหน?"
เสียงของเด็กชายที่ดูท่าทางยังไม่แตกหนุ่มเต็มที่นั้นมีท่าทางยั๊วะเอาเรื่อง ดวงตาสีทับทิมน่ารักที่แฝงไปด้วยพลังอำนาจวาวโรจน์สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับงูน้อยกลอยใจแห่งตำหนักประจิม
รีเซชูผู้ติดตามใกล้ชิดขององค์ชายโคเอนยืนไหล่สั่น พยายามหันไปมององค์ชายโคเมย์ที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลเพื่อขอความช่วยเหลือ เผื่อว่าจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้…
เมื่อตอนรุ่งสางนี้เองที่องค์ชายโคเอนได้มาบอกเขาว่าจะออกลาดตระเวนทางไกลแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหนสร้างความวุ่นวายให้ผู้ติดตามและคนในตำหนักตั้งแต่เช้ายันเย็นของวันนี้
ถ้าจะบอกว่าแม้แต่ผู้ติดตามใกล้ชิดที่สุดอย่างเขาไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนก็ว่าได้
ใช่สิตอนนี้มีคนโปรดคนใหม่แล้วหนิ T^T ฮึ! นายน้อยบ๊ากะ!(Baka!)
ถ้าจะบอกว่าแม้แต่ผู้ติดตามใกล้ชิดที่สุดอย่างเขาไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนก็ว่าได้
ใช่สิตอนนี้มีคนโปรดคนใหม่แล้วหนิ T^T ฮึ! นายน้อยบ๊ากะ!(Baka!)
"องค์ชายโคฮาคือว่า...ท่านโคเอนบอกแค่ว่าจะไปลาดตระเวนทางไกล แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไปที่ไหนกลับเมื่อไหร่น่ะขอรับ" เซชูตอบคำถามด้วยท่าทีกะอักกระอ่วนต่อหน้าขององค์ชายลำดับสามแห่งเจิดจรัสที่เริ่งแผ่รังสีหนาวเย็นออกมา จนครึ่งสัตว์เลื้อยคลานอย่างเขาแทบอยากจะเลื้อยหนี
โคฮายืนเท้าสะเอวอ้อนแอ้นราวกับสาวน้อยเอาแต่ใจที่โดนคนรักเบี้ยวนัดเดต หลังที่เขากลับมาจากการเดินทางและจะมาเข้าเฝ้าโคเอนเพื่อรายงานภารกิจ แต่พี่ชายสุดรักสุดโปรดก็ดันหายออกไปจากวังซะแบบนี้แถมยังไม่มีคนรู้เรื่องอีกแม้แต่เหล่าภาชนะบริวาณ
"ผู้ติดตามก็อยู่ที่วังกันครบทุกคนแบบนี้ หมายความว่าพวกนายปล่อยให้พี่เอนออกไปข้างนอกคนเดียวหรอ? แถมยังไม่รู้ไปที่ไหนกลับเมื่อไหร่อีก"
องค์ชายร่างเล็กมองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ
"ใจเย็นก่อนสิโคฮา คนอย่างท่านพี่น่ะไม่ได้จะเป็นอะไรไปง่ายๆหรอกนะแถมเขายังมีภาชนะโลหะตั้งสามชิ้น"
โคเมย์วางมือเรียบลื่นที่แทบจะไม่มีแม้แต่เส้นลายมือลงบนไหล่บางดูน่าทะนุถนอมของเด็กชายตัวเล็กตรงหน้าอย่างเบามือ ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกหรอกนะ แต่อย่างโคเอนมีอะไรให้
น่าเป็นห่วงตรงไหน อีกอย่างท่านพี่ของเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว น่าจะมีเหตุผลในการอธิบายเรื่องนี้อย่างแน่นอน
น่าเป็นห่วงตรงไหน อีกอย่างท่านพี่ของเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว น่าจะมีเหตุผลในการอธิบายเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เอ..แต่จะว่าไป ลองมาคิดๆดูอีกทีแล้ว
โคเมย์คิดถึงความจำวัยเยาว์ระหว่างเขากับโคเอน ตั้งแต่จำความได้พี่ชายของเขาไม่เคยที่จะเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปเลยซักครั้ง ทั้งการวางตัวที่ดูสง่าสมเป็นเชื้อพระวงศ์ มันทำให้เขารู้สึกชื่นชม แต่บางครั้งเขาก็คิดว่าพี่ชายของเขามักจะปิดกั้นความรู้สึกที่อยากเล่นสนุกเป็นเด็กๆเอาไว้ แล้วเอาไประบายกับอย่างอื่นแทน แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิดหรอกนะ…
"เอ่อ...ท่านโคเอนเอาภาชนะโลหะติดไปแค่ชิ้นเดียวขอรับ..."
"ห๊า!?"
คิ้วเรียวบางของโคฮาแทบจะขมวดติดกัน เมื่อได้ยินสิ่งที่รีเซชูพูด แม้แต่โคเมย์ที่ยืนนิ่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดสังเกตขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนจะเบรกโคฮาที่ทำท่าทางจะอ้าปากสวดรีเซชูยับให้ยืนสงบสติอารมณ์ไปเงียบๆ
"เจ้ารู้มั้ยว่าท่านพี่เอาภาชนะโลหะชิ้นไหนติดตัวไป"
หัวน้อยๆของรีเซชูพยายามคิดถึงสิ่งที่นายน้อยของเขาเหลือเอาไว้ จะว่าไปเกราะไหล่กับดาบก็ยังอยู่ ที่หายไปก็เห็นจะมีแค่เพียงแผ่นป้ายสำริดที่ห้อยติดกับดาบเท่านั้น
"เหมือนจะเอาแค่ป้ายสำริดติดตัวไปขอรับ"
เมื่อได้ฟังดังนั้นโคเมย์ก็ยกพัดขนนกสีหมึกขึ้นมาโบกสะบัดเบาๆก่อนจมลงไปในภวังค์แห่งความคิดที่แม้แต่เสียงของคนรอบข้างก็ไม่อาจปลุกเขาขึ้นมาได้...
พกไปแค่เพียงป้ายสำริด แต่ทำไมถึงต้องเป็นป้ายสำริด? แทนที่จะเป็นดาบ?
ป้ายสำริดขนาดเล็ก ดูเป็นของไม่มีค่ามากนักพกพาได้สะดวกไม่สะดุดสายตาคน ไม่สะดุดตาคนหรอ?
แม้แต่ภาชนะบริวาณก็ยังไม่รู้ คนในตำหนักเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อะไรที่ทำให้ท่าพี่ไม่ยอมบอกอะไรกับผู้ติดตามเลยนะ หมายความว่าคนยิ่งรู้น้อยยิ่งดีงั้นหรอ?
ไม่สิ! แต่อย่างน้อยก็มักจะมาปรึกษากับเขาก่อนสิถ้าจะทำเรื่องอะไรที่ต้องทำเป็นการส่วนตัว
ก็หน้าจะหาคนมาแก้ต่างให้ตัวเอง อย่างเขาเป็นต้น ปรกติมันก็เป็นอย่างนั้นนี่นา...
ก็หน้าจะหาคนมาแก้ต่างให้ตัวเอง อย่างเขาเป็นต้น ปรกติมันก็เป็นอย่างนั้นนี่นา...
อะไรกันที่ทำให้ท่านพี่ออกนอกวังไปคนเดียวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้?
ออกนอกวังไปอย่างเงียบๆ พกของที่ดูไม่สะดุดตา...ไม่สะดุดตางั้นหรอ? จะว่าไปภาชนะบริวาณที่อยู่ในสภาวะดูซึมทั้งสี่คนแต่ละคนก็สะดุดตาสุดๆไปเลยนี่นา พอมาคิดๆดูแล้วผู้ติดตามของท่านพี่ที่ดูปรกติเป็นมนุษย์มนาที่สุดก็...
ออกนอกวังไปอย่างเงียบๆ พกของที่ดูไม่สะดุดตา...ไม่สะดุดตางั้นหรอ? จะว่าไปภาชนะบริวาณที่อยู่ในสภาวะดูซึมทั้งสี่คนแต่ละคนก็สะดุดตาสุดๆไปเลยนี่นา พอมาคิดๆดูแล้วผู้ติดตามของท่านพี่ที่ดูปรกติเป็นมนุษย์มนาที่สุดก็...
"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านพี่โคเอนไม่ได้เอาผู้ติดตามคนไหนไปเลย?"
รีเซชูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่โคเมย์ที่ยืนเงียบไปพักใหญ่ก็พูดขึ้นมา ก่อนครึ่งคนครึ่งงูจะรวบรวมสมองเท่าเม็ดถั่วคิดถึงเหตุการตอนฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในตอนที่เขายังไม่ตื่นนอนดีนั้น
"เหมือนจะออกไปพร้อมกับเจ้าอาลีขอรับ"
.
.
.
"ฮัดเช้ยยยยยยย!!!"
ฉันสูดน้ำมูกให้ลึกสุดขั้วปอดเท่าที่จะลึกได้ ก่อนจะต้องไอออกมาทั้งอากาศทั้งน้ำมูกเพราะอากาศที่หนาวเย็นบาดขั้วปอดจนเหมือนว่าปอดกำลังจะถูกอากาศที่สูดเข้าไปแช่แข็ง
"แหยะ..."
ฉันเอามือเช็ดน้ำมูกที่แตกกระจายเป็นสามสายเปื้อนเหนียวเหนอะเมือกๆไปทั้งหน้าและตามซอกนิ้ว ก่อนจะเอามันไปเช็ดกับเสื้อคลุมขนาดใหญ่กว่าของตัวเองที่วางเอาไว้ข้างๆ จะว่าไปแล้วก็เอามาเช็ดหน้าด้วยเลยแล้วกัน.. ( ̄^ ̄)ゞ เดี๋ยวมันจะแห้งกรังเป็นคราบติดหน้าซะก่อน
หลังจากที่ควบม้าออกมาจากวังราคุโชวขึ้นเหนือมา ข้ามทุ่งหญ้าโล่งจนมาถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพสีขาวโพลน ฉันก็ยังคงไม่อาจเข้าใจคำว่า 'หนีตามกัน' ของโคเอนได้เลย
เด็กสาวในร่างชายหนุ่มมองไปยังทหารร่วมๆยี่สิบพลกำลังปักหลักกางเต้นต์กันแข็งขันกันรอบๆ เมื่อลองมองดูแล้วมันเหมือนกับการไปออกศึกมากเสียกว่าเรียกว่าหนีตามกัน
เอาเถอะยังไงตัวเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้วกับลมปากของคนเมา...
เมื่อลองคิดดูถึงเหตุการณ์เมื่อคืน การที่หญิงสาวซักคนได้รับอ้อมกอดจากเจ้าชายรูปงามใต้ละอองจันทร์มันคงจะเป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษตราตรึงไปชั่วชีวิต
แต่ทำไมกัน?
ฉันกับรู้สึกเหมือนเป็นแค่เครื่องเรือนที่ถูกเก็บขึ้นมาเช็ดทำความสะอาด หลังจากที่ถูกใช้งานอย่างหนักและถูกทิ้งเอาไว้นอกชายคา แม้ว่าในอกจะฉาบย้อมด้วยความยินดีที่แผ่ซ่านเมื่อยามเจ้าของหันมาใส่ใจ แต่อกข้างซ้ายกับบีบจนชาราวกับยืนอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนอึมครึม
แม้ว่าในตอนที่ถูกสัมผัสคราแรกนั้นจะวาดหวังถึงความอ่อนโยนดั่งบทกวีของนกกระจาบที่เอ่อล้นไปด้วยความปิติของฤดูคิมหันต์
แม้ว่าผู้เป็นเจ้าของอ้อมแขนนั้นจะร้อนแรงดั่งเพลิงกัลป์แผดเผาทองคำพิสุทธิ์เหลือเพียงธุลีปลิดพริ้วว่อนดั่งดอกท้อปลายเหมันต์
แต่ทว่าไออุ่นที่ข้าสัมผัสได้นั้น มีเพียงความเยือกเย็นดั่งอ้อมกอดของไอฝนหนาวโอบล้อมม่านไม้ไผ่ใต้สีแห่งวสันต์
มือเรียวทาบลงบนแผ่นอกข้างซ้ายที่เต้นเร่าด้วยความสุขอย่างรวดร้าว ความรู้สึกทั้งสองอย่างที่ตีพันกันอยู่ในอกแทบจะฉีกตัวเขาออกเป็นสองซีกไม่ต่างจากกระดาษบาง ทุกครั้งที่พยายามคิดถึงความสัมพันธ์เลือนรางระหว่างตัวของเขากับโคเอน
"เฮ้ น้องชายเจ้าได้ยินที่ข้าพูดมั้ย เปลี่ยนกะเฝ้าได้แล้ว!"
ไหล่บางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงห้าวของพลทหารนายหนึ่งตะโกนข้างๆหู จนต้องหันไปเกาแก้มแล้วยิ้มด้วยใบหน้าเจื่อนๆเป็นการขอโทษ
"อากาศของหุบเขาทางเหนือนี่มันเบาบางจริงๆเลยนะครับ"
"อย่ามัวแต่นั่งเหม่อเดี๋ยวเจ้าก็แข็งตายหรอก ไปช่วยคนอื่นเตรียมที่พักนู่น" เสียงแกมดุนิดๆของเพื่อนร่วมทางพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ทหารคนอื่นๆที่กำลังช่วยงานกันแข็งขัน ก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนเวรเฝ้ายามกับทหารที่มาใหม่
อาลีนำผ้าคลุมผืนใหญ่ของโคเอนที่เปรอะคราบน้ำมูกแห้งกรังวางกลับไปยังที่เดิมอย่างไร้ความรู้สึกผิด ก่อนจะลุกเปลี่ยนเวรกับทหารที่พึ่งเดินเข้ามา ไปช่วยคนอื่นๆเตรียมที่พักต่อ
...ตอนนี้เขาเองอยู่ในสถานะต้องปกปิดตัวตนนี่นะ ถ้าไม่ทำตัวกลมกลืนเห็นทีจะไม่ได้...
ดวงตาสีทองสุกใสมองไปยังเต็นท์ใหญ่สะดุดตากลางทุ่งหิมะที่ตั้งเสร็จอย่างรวดเร็วเป็นเต็นท์แรกขององค์หญิงฮาคุเอย์ โคเอนเดินหายเข้าไปในนั้นได้ซักพักแล้ว จนเขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ
"คุยเรื่องอะไรของเขากันนะ?"
.
.
.
"ข้าขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนกระทันหันแบบนี้ ทั้งที่เป็นคนบอกว่าจะให้คนอื่นจัดการแทนแท้ๆ" น้ำเสียงทรงอำนาจตามปรกติดูโอนอ่อนลงมากก่อนจะทอดถอนหายใจ
โคเอนในชุดเสื้อผ้าของทหารยศต่ำนั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้เป็นจอมทัพพิชิตแผ่นดินอุดร ในขณะที่ผู้คุมหน่วยทหารและผู้ติดตามใกล้ชิดต้องไปยืนอีกฝากหนึ่งของโต๊ะ หากใครมาพบเห็นภาพนี้ก็คงรู้สึกตะขิดตะขวงใจยิ่งนัก
"ความจริงการมาสอดแนมก็ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมกองทหารอะไรมากมายอยู่แล้ว แต่การที่เด็กคนนั้นมาอยู่ที่นี่ รึว่าท่านเองก็ยังไม่หายแคลงใจเรื่องที่ทูตแคว้นอูกิพูดอย่างนั้นหรอ? "
ฮาคุเอย์รินน้ำชาร้อนใส่ในแก้วหยกใบเล็กก่อนจะส่งให้กับโคเอนที่มีใบหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจมาตั้งแต่เมื่อครู่ ความจริงแล้วโคเอนก็มีสีหน้าแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ว่าได้...
เมื่อคืนนี้เองที่โคเอนมาขอเข้าพบกับเธอด้วยตนเองถึงที่ตำหนักโดยไม่มีผู้ติดตามซักคน ขอให้จัดกองทหารเคลื่อนพลเร็วเพื่อไปยังชายแดนของแคว้นเหมันต์ทันทีที่ฟ้าสาง ถึงแม้การลอบดูท่าทีของฝ่ายนั้นจะเป็นเรื่องที่เจิดจรัสต้องทำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะปุบปับขนาดนี้
"จะว่าไปการปรากฎตัวของเด็กคนนั้น กับการที่จู่ๆแคว้นเหมันต์ก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมันก็ออกจะเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะเกินไปเหมือนกันนะขอรับ"
เซย์ชุน ผู้ติดตามร่างเล็กที่ยืนเงียบครุ่นคิดอยู่ข้างกายของฮาคุเอย์ออกความเห็น หากเมื่อลองคิดตามคำพูดที่ทูตแคว้นเหมันต์เคยทิ้งท้ายเอาไว้เมื่อวันที่มีการประชุมแล้ว ถึงแม้มันจะดูเป็นเรื่องไร้สาระแต่ถ้าหากมีความเกี่ยวข้องกับเจิดจรัสแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเพิกเฉยได้
"ท่านโคเอนไม่คิดว่าอาลีจะเกี่ยวข้องกับ'คำทำนาย'นั่นหรือขอรับ?"
"เพราะงั้นข้าถึงมาอยู่ที่นี่ไง"
โคเอนค่อยๆยันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าคิดวิตกจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบจะโปนขึ้นมา มือหยาบกร้านถูไปมาใต้คางอย่างเคยชินก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อแตะโดนคางมนที่ว่างเปล่าไร้เส้นขนหนวดใดๆ
ในใจของเขารู้ดีว่าอาลีที่เป็นราชวงศ์ซารูจาไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในของแคว้นเหมันต์แน่ แต่สิ่งที่ชักนำเขามาที่นี่นั้น ก็เพื่อหาคำตอบว่าทำไมทูตเจ้าเล่ห์จากแคว้นเหมันต์ถึงได้คิด เช่นนั้นหรือทั้งหมดนี่เป็นแค่กลลวงกันแน่?
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นแค่ความหยิ่งยโสของเขาเอง...
"ท่านโคเอน ยังไงตัวข้าเองก็มีความเห็นว่าศาสตร์การทำนายเป็นเรื่องไร้สาระ มีความเป็นไปได้ว่าทางนั้นเองอาจจะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อปั่นหัวพวกเรา สิ่งที่เราควรตีโจทย์ให้แตกก็คือ สัตว์ร้ายต้องมนต์ต่างหาก" ฮาคุเอย์เอ่ยขึ้น เรียกความสนใจให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของขุนศึกแห่งเจิดจรัสหันไปมองตาม
"นั่นสินะ"
"สัตว์ร้ายต้องมนต์หรอ!?"
โคเมย์เหลือบมองใบหน้าที่ดูสนอกสนใจเป็นเด็กน้อยของโคฮาแวปหนึ่ง ก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษเก่าๆม้วนหนึ่งจนสุดความยาวของโต๊ะในห้องหนังสือของโคเอนอย่างถือวิสาสะ เอาเป็นว่าตอนนี้รองจากท่านพ่อแล้วเขานี่แหละใหญ่สุดในวัง อีกอย่างโคเอนเองก็คงจะไม่ว่าอะไรถ้าเขาอยากจะมาค้นห้องหนังสือซักหน่อย
"ใช่แล้ว บ้างก็ว่าเป็นตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นแค่สุภาษิตหรือภาษาที่ใช้เปรียบเปรยสภาพแวดล้อมของแคว้นเหมันต์ล่ะนะ"
โคเมย์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้องชายตัวเล็กขยับเบียดเข้ามาใกล้เขาเกินเหตุ ชะเง้อชะแง้มองม้วนกระดาษเก่าที่หมึกเลอะเลือนไปบ้างด้วยด้วยท่าทีสนใจทั้งที่เจ้าม้วนกระดาษนี่มันก็วางอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองทนโท่แท้ๆ
"แต่ว่าทำไมถึงมีแต่รูปภาพแปลกๆกับตัวหนังสือแค่นิดเดียวเองล่ะ ดูแล้วข้าว่าเหมือนปฎิทินภาพซะมากกว่า" โคฮามุ่ยหน้าเล็กน้อยอย่างน่ารัก
"การที่แคว้นอูกิปิดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและชนเผ่าอื่นๆเป็นเวลานานร้อยกว่าปีมันทำให้พวกเรามีข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้น้อยมาก มีให้อ่านเท่านี้ก็บุญแล้ว" ชายร่างผอมสูงหาววอดพลางเอียงคอใช้มือทุบไหล่แข็งปั้กของตนเองไปมาอย่างเมื่อยล้า
"เหมือนว่าเมื่อเช้านี้พลรบเคลื่อนที่เร็วขององค์หญิงฮาคุเอย์จะมุ่งไปทางหุบเขาทางเหนือ ท่านพี่เองก็คงจะติดไปด้วย แต่ตราบใดที่มีองค์หญิงฮาคุเอย์ไปด้วยคงไม่น่าห่วงหรอก เจ้าวางใจเถอะ"
ดวงตาที่ขอบคล้ำเขียวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มองเห็นเส้นขอบฟ้าสีส้มเข้มกำลังถูกกลืนด้วยความมืดของราตรีใบไม้ผลิ ก่อนจะม้วนกระดาษเก่าๆที่ขอบกระดาษเริ่มเป็นรอยเหลืองเปื่อยยุ่ยกลับเข้าไปตามเดิมอย่างระมัดระวัง
"น่าแปลกจังนะ ทำไมพี่เอนถึงได้สนิทกับผู้หญิงนั่นขนาดนั้น ทั้งๆที่เป็นแค่องค์หญิงตกกระป๋องแท้ๆ หรือว่าสองคนนั้นมีอะไรที่พิเศษต่อกันงั้นหรอ พี่เอนกับฮาคุเอย์น่ะ?"
"ไม่มั้ง ตอนนี้ข้าว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้"
.
.
.
"พึ่งจะไม่เท่าไหร่เอง ท้องฟ้าก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้วหรอเนี่ย"
ร่างบางบิดเอวไปมาพร้อมกับรำพึงรำพัน ถึงแม้งานที่ทำจะเหนื่อยหนักแค่ไหนก็ไม่มีวี่แววของเหงื่อไหลออกมาจากรูขุมขนซักหยด เขาเองก็ชักติดใจกับอากาศหนาวๆแบบนี้แล้วสิ ถ้าเหงื่อไม่ออกถึงไม่อาบน้ำก็คงจะไม่เป็นไรสินะ
อาลีเซเล็กน้อยเมื่อโดนเหล่าเพื่อนทหารที่พึ่งรู้จักกันเมื่อกี้กระโดดเข้ามาโอบไหล่อย่างสนิทสนม
"ยืนชมวิวอยู่นั่นแหละ เอ้านี่! ข้าแบ่งให้พิเศษสำหรับเจ้าเลยนา" ชายหนุ่มร่างสูงกำยำยื่นกระติกน้ำหนังสลักที่บรรจุสุรารสร้อนไว้ ถึงแม้มันจะดูพร่องไปหน่อยเพราะเจ้าตัวแอบจิบซดไปบ้างแล้ว
"เดี๋ยวสิโดลจิ เจ้าแบ่งข้ามั่งเด้!"
"แบ่งให้เจ้าหัวทองคนเดียวเลยรึไง ไม่ยุติธรรม!"
เสียงโวยวายครื้นเครงดังขึ้นล้อมรอบตัวของเด็กหนุ่มร่างเล็ก ก่อนชายหนุ่มร่างกำยำผู้มีนามว่า 'โดลจิ'นั้นจะผลักไสหน้าของพวกที่มาเกาะแข้งขาขอเหล้าออกไป
"เดี๋ยวก่อนสิพวกเจ้า ต้องให้น้องใหม่ดื่มก่อนเซ่ เป็นการต้อนรับ..." โดลจิหยุดคำพูดก่อนหันมามองหน้าของเด็กหนุ่มที่เขาโอบไหล่อยู่ด้วยรอยยิ้มสดใส "ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ"
"เอ่อ.." อาลีที่หัวเราะร่าไปกับเขาด้วยต้องนิ่งค้างก่อนจะพยายามคิดชื่อใหม่ให้ตัวเองขึ้นมาในหัวอีกรอบเพราะถูกโคเอนกำชับเอาไว้ว่าห้ามเปิดเผยตัวตนกับคนอื่นๆเด็ดขาด!
"ลีอา"
"วันนี้พวกเรามาดื่มต้อนรับให้ลีอากัน!!!" โดลจิชูกระติกเหล้าขึ้นสูง ก่อนคนอื่นจะส่งเสียงเฮตามๆกันไปอย่างครึกครื้น แล้วพากันเดินกอดคอกลมเกลียวไปนั่งล้อมรอบผิงกองไฟอุ่น
"เอ้า! เจ้าดื่มก่อนเลยเด็กใหม่!"
"อุ่ก!"
โดลจิเอาเหล้าในกระติกน้ำหนังกระแทกเข้าปากเด็กหนุ่มเพื่อนใหม่ที่นั่งกอดคอกันอยู่อย่างไม่ถามความสมัครใจ อาลีหลับตาปี๋เมื่อสัมผัสรสร้อนของเหล้าไหลทะลักผ่านลำคอจนแทบจะสำลักเหล้าออกจมูก ก่อนโดลจิจะถอนปากกระบอกถุงหนังออกแล้วยกไปดื่มเองอย่างไม่นึกรังเกียจ
เด็กหนุ่มร่างเล็กพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เป็นไอขาวละลายหายไปในอากาศเย็น ก่อนพยายามจะสูดหายใจเฮือกใหญ่ โดยมีโดลจิตบหลังปั่กๆไปพลาง
"เป็นไรไป ฮ่ะๆ ดื่มอีกมั้ยดูสีหน้าไม่ดีเลยนะ" ชายหนุ่มหัวเราะร่าก่อนจะยื่นถุงหนังมาจ่อหน้าอาลีอีกครั้งแล้วยัดมันเข้าไปทันทีที่อาลีเปิดปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไร
"มะ..อึก!"
"เป็นไงได้น้ำชุบชีวิตแล้วดูหน้าเจ้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้นทันทีเลยนะ" โดลจิตบบ่าของเด็กหนุ่มที่นั่งติดกันอย่างแรงจนไหล่บางๆแทบเคล็ดก่อนจะหัวเราะร่าไม่หยุด
"เปล่งปลั่งบ้านแกสิ! ถ้าข้าเป็นอะไรตายขึ้นมา เจ้านี่แหละคนร้าย!" อาลีโวยวายก่อนจะปัดแขนที่เท้าไหล่ตัวเองอยู่ออกแล้วลุกพรวดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงรอบกองไฟ ทำเอาทหารหนุ่มอารมณ์ร้อนขมวดคิ้วยุ่งด้วยความไม่พอใจ
"อะไร เจ้าจะบอกว่าเหล้าข้าไม่ได้เรื่องหรอ!"
ทุกคนหันหน้ามามองโดลจิกับเจ้าเด็กใหม่ที่ทำท่าจะต่อยกันซักยกสองยก ก่อนจะคิดในใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
'มันไม่ได้หมายความว่าเหล้าห่วยจนดื่มแล้วจะตายซะหน่อย แต่เป็นเพราะเจ้าหางตาชี้โดลจิมันเล่นอะไรไม่ออมแรงต่างหาก'
อาลีทำเสียงหึในลำคอ ก่อนจะกอดอกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางหาเรื่อง"รสนิยมเจ้านี่มันห่วยบรมเลยโดลจิ"
'เดี๋ยวนะ เจ้านั่นมันเคืองเรื่องเหล้าจริงดิ!'
"ไหนเจ้าบอกมาซิว่ารสนิยมข้ามันไม่ดีตรงไหน" โดลจิเค่นยิ้มเย็น ก่อนจะถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาเตรียมบรรเลงเพลงหมัด
"เหล้าน่ะ มันจะกินโดยไม่มีกับแกล้มไม่ด้ายยยย"
"เดี๋ยวนะ นั่นมันใช่ประเด็นหรอฟะ!" เหล่าพลทหารที่รายล้อมรอบกองไฟอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ก่อนเสียงรอบทุ่งหิมะกว้างจะเงียบสงัดมีเสพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนที่กำลังมอดไฟส่งเสียงแตกเปรี๊ยะไปมา ทั้งสองคนยังคงยืนจ้องหน้ากันเขม็งไม่มีใครยอมใครราวกับบรรยากาศที่นักรบจะเริ่มดวลดาบกัน เป็นที่ลุ้นระทึกของเหล่าผู้คนที่นั่งมองนิ่งเงียบอยู่โดยรอบ
โดลจิและอาลีจ้องตากันราวกับจะล้วงให้ถึงความคิดของอีกฝ่าย ก่อนทั้งสองจะค่อยๆส่งเสียงหึหึออกมาจากลำคอ
"หึหึ"
"หึหึหึ"
"ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ"
'อะไรของพวกมันกันล่ะนั่น'
เหล่าคนที่อยู่รอบๆมองไปสองหนุ่มที่จู่ๆก็พ่นเสียงหัวเราะประสานกันออกมาซะราวกับฟ้าทลายแผ่นดินแยกอย่างงุนงง บ้างก็นั่งมองหน้ากันไปมาเกาหัวไปตามๆกัน
"ถูกของเจ้า ข้าลืมเรื่องกับแกล้มไปเลย!"
โดลจิและอาลีถลาเข้ามากอดคอกันกลมอย่างกับเป็นพี่น้องท้องเดียว ที่คลานออกจากท้องแม่ตามๆกันมา ก่อนจะนั่งลงเปิดถุงเนื้อแห้งจกกันอย่างไม่แคร์สายตาใคร
ดวงตาสีทองที่สะท้อนประกายไฟ ชักงักไปครู่หนึ่งเมื่อปลายหางตาสะดุดเข้ากับเงาใหญ่ทะมึนที่เดินออกมาจากเต็นท์ใหญ่ ก่อนโดลจิจะหันไปทักทายผู้มาร่วมโต๊ะอาหารบนพื้นหิมะคนใหม่
"ไง เฮ้~~~ พี่ชายที่หัวคิ้วติดกับตาตรงนั้นน่ะ มานั่งด้วยกันสิ" ชายหนุ่มหางตาชี้ยิ้มร่าก่อนจะตีพื้นแปะๆ ให้ผู้มาเยือนคนใหม่เข้ามานั่งข้างๆตน ทันทีที่อาลีหันมามองตาม ใบหน้าที่แดงกึ่มด้วยฤทธิ์เหล้าก็พลันซีดเผือดในทันที...
โดลจิ! นั่นมันไม่ใช่พี่เอ็งโว้ยยยย!!!
โคเอนมองมือขวาของตัวเองที่ทำตัวได้กลมกลืนดีเหลือเกิน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันก็มานั่งกอดคอกินข้าวกับทหารที่ไหนก็ไม่รู้อย่างกับสนิทกันมาสิบปีสิบชาติ ก่อนจะเดินเขาไปนั่งข้างทหารหนุ่มท่าทางร่าเริงด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่ทิ้งมาดองค์ชาย
"เหล้ามั้ยพี่ชาย ดื่มกรึ๊บเดียวอุ่น" โดลจิยื่นกระติกหนังที่ผ่านปากคนมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามคนให้แขกคนใหม่ที่นั่งไม่ยอมพูดยอมจา ในขณะที่อาลีนั่งตูดเกร็งลืมไปสนิทว่าในตอนนี้โคเอนเองก็แต่งชุดพลทหารและอยู่ในระหว่างปลอมตัวเหมือนกับตน และคิดถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองโดนฟาดซะเละตอนประลองดาบกับโคเอนครั้งแรก
ใบหน้าหล่อคมของโคเอนกระตุกยิ้มที่ดูน่าเสียวสันหลัง จนอาลีต้องหันหน้าไปทางอื่นเพราะกลัวจะทนดูสิ่งที่โดลจิจะโดนต่อจากนี้ไม่ได้ แต่ทว่า....
"ซักหน่อยก็ดี" มือใหญ่รับถุงหนังสัตว์มาอย่างง่ายดายผิดคาด ก่อนจะกระดกเหล้าอึกใหญ่ไปสี่ห้าอึกจนโดลจิที่นั่งข้างๆส่งเสียงชื่นชม
"พี่ชายดูท่าทางจะคอแข็งไม่เบา..."
"จะว่าไปท่านเป็นทหารจากทัพหลวงใช่มั้ย ชื่ออะไรหรอ? ข้าโดลจิจากเผ่าเขี้ยวทองคำเป็นภาชนะบริวาณขององค์หญิงฮาคุเอย์น่ะ" ชายหนุ่มผมตั้งยิ้มร่าทักทายถามไถ่ชื่อคนข้างๆอย่างเป็นกันเอง โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าซีดๆของเพื่อนใหม่ที่กำลังเคี้ยวเอื้องอยู่ข้างๆ
"ข้าเอนโค เคยรบในทัพหน้าสมัยองค์จักรพรรดิ์ที่1น่ะ"
อาลีหันควับทันทีที่ได้ยินชื่อเปล่งๆออกจากปากโคเอน ก่อนจะทำหน้าเป็นเชิงจะบอกว่า'นี่มันชื่อบ้าอะไรเนี่ย? การเอาชื่อเดิมมาสลับคำหน้าหลัง มันเป็นการปิดบังตัวเองตรงไหน?'
"งั้นหรอ! ดูสุดยอดไปเลยเนอะว่างั้นมั้ยลีอา!"
โคเอนมองกลับไปยังคนที่เบ้หน้าใส่ชื่อที่เขาเพิ่งด้นสดเมื่อกี้ราวกับอยากจะบ่นกลับไปว่า'การเอาพยัญชนะในชื่อเดิมมาสลับกัน มันสร้างสรรค์ตายแหละ!'
"จะว่าไปทัพหลวงนี่สวัสดิการดีมั้ย เว้นภาษีสามปีให้ครอบครัวทุกครั้งที่ไปออกรบรึเปล่า"โดลจิเอ่ยถามคนที่ดูอายุมาก(แก่)กว่าตัวเองอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะตีเนียนทำตัวสนิทเอาแขนไปเกยไหล่ชาวบ้านชาวช่องอย่างกับทำเป็นเรื่องปรกติ
"ไม่นะก็ปรกติ" โคเอนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะใช้มือเปิบเนื้อแห้งตามอาลีที่กำลังนั่งเคี้ยวเอื้องอยู่ข้างๆโดลจิ ชายหนุ่มผู้จ้อสารพัดเรื่องราวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่โคเอนเคี้ยวไปพลางก็แอบนึกว่าเมื่อไหร่เจ้านี่มันจะหยุดพูดซักที
"จะว่าไปหลังจากจบงานครั้งนี้เจ้าจะไปเที่ยวกับข้ามั้ยลีอา มีสาวๆสวยๆแนะนำเยอะเลยนา" โดลจิเข้ามากอดคอกระเซ้าเย้าแหย่คนที่กำลังกินไม่สนใจโลกด้วยใบหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเพื่อนใหม่ไม่มีท่าทีจะตอบโต้เล่นกับเขาด้วยแม้แต่น้อย
"เป็นอะไรไป หรือเจ้ามีคนในใจแล้ว?"
"เปล่านี่"
อาลียัดเนื้อแห้งเหนียวๆที่นั่งดูดกัดจนเหลือชิ้นน้อยเข้าปากอย่างไม่แยแสคำถามของโดลจิซักเท่าไหร่นัก เสร็จแล้วก็แอบเอามือเปื้อนไปเช็ดๆที่ชายเสื้อของคนข้างๆ
"บอกมาเถอะน่า ลูกผู้ชายไม่ต้องอายหรอก" โดลจิเอาศอกกระทุ้งเบาๆเขาที่แขนของอาลี จนใบหน้าสวยหวานเกินชายหนุ่มจะทำหน้าอับจนปัญญา ก่อนคิดหาอะไรซักอย่างมาตอบให้จบๆ
ยังไงซะการพูดถึงหญิงสาวในวงเหล้าเองก็เป็นวิธีสานสัมพันธ์กันในหมู่ผู้ชายด้วยนี่เนอะ
ยังไงซะการพูดถึงหญิงสาวในวงเหล้าเองก็เป็นวิธีสานสัมพันธ์กันในหมู่ผู้ชายด้วยนี่เนอะ
ถึงแม้ความจริงแล้วเขาจะไม่เคยมีแฟนเลยซักคนก็ตาม...
ทันใดนั้นเองที่ความทรงจำหวานอมเปรี้ยวในวัยเยาว์แล่นเข้ามาในหัว จะว่าไปแล้วเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กห่ามๆไม่สนใจเพศตรงข้ามหรอกนะ ความจริงเมื่อตอนยังเด็กก็เคยแอบปลื้มผู้ชายอยู่บ้างเหมือนกัน
"ก็เคยชอบเพื่อนเล่นที่เคยเล่นด้วยกันสมัยเด็กน่ะ"
"โฮ่ ตะมุตะมิจังเลยนะ" โคเอนหันมามองหน้าเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ในขณะที่แววตาสีเพลิงยิ้มเยาะคนที่นั่งอยู่ถัดไปอย่างบ้าคลั่งราวกับต้องการกวนประสาทเด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่ในดินแดนอ้างว้างหนาวเหน็บหัวใจที่เรียกว่า 'เฟรนโซน'
อาลีหันไปมองค้อนโดยที่ไม่โต้ตอบใดๆ เพราะโดลจิตั้งท่าจะรัวคำถามใส่หน้าเขาไม่หยุด"นางชื่ออะไรหรอ สวยมากล่ะสิ แล้วเจ้ากับผู้หญิงนางนั้นคบกันอยู่รึเปล่า"
เมื่อนึกย้อนกลับไป สีหน้าหวานก็เศร้าลงโดยพลัน ราวกับความรู้สึกล่องลอยไปตามบรรยากาศอ้างว้างกลางหุบเขาหิมะและกองไฟอันโดดเดี่ยว หรือเพราะด้วยฤทธิ์สุราที่ทำให้คนบางคนเผลอพูดถึงความรักสดใสในวัยเยาว์อย่างไม่กระดากปาก
"ข้ากับคาซิมตอนเด็กๆพวกเรามักจะออกไปเล่นกันบ่อยๆ นอนห้องเดียวกัน อาบน้ำด้วยกัน กินข้าวชามเดียวกัน สมัยนั้นสนิทกันมากๆเลย" อาลีบ่นไปพลางด้วยด้วยเสียงเลื่อนลอย ว่าแล้วเขาก็คว้าเหล้าจากมือโดลจิขึ้นมากระดกอีกอึก
โดลจิรับกระติกเหล้าจากอาลีคืนมา ก่อนมองของเพื่อนใหม่ที่นั่งหลังหงอดูหดหู่ลงไปถนัดตา ไม่คิดจะถามต่อว่าหลังจากนั้นเรื่องมันเป็นยังไง ดูจากสภาพที่ซีดๆเป็นเต้าตู้ยี้ก็พอจะเดาออก ก่อนทหารหนุ่มร่าเริงเปลี่ยนเป้าหลายเป็นคนที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ราวกับว่าปากคันยิบๆตลอดเวลาหยุดพูดไม่ได้
"จะว่าไปแล้วพี่ชายเนี่ย แต่งงานมีภรรยากี่คนแล้วล่ะ ถ้าให้ข้าเดานี่3คนแล้วใช่ม้า"
"ไม่ ข้ายังไม่ได้แต่ง"
โคเอนหันมาพูดเรียบๆไม่ต่างจากอาลีที่นั่งหงอยทำเอ็มวีเพลงกลางทุ่งหิมะไปแล้ว ก่อนจะคว้าเหล้าในมือของโดลจิมากระดกจนหมด
"อ่ะ เอ่อ ถ้างั้นคงมีแฟนสาวสวยๆอยู่ซักคนแล้วสินะ หน้าตาอย่างพี่ชายเนี่ยสาวคงติดตรึมล่ะสิ"โดลจิเกิดอาการเสียศูนย์เล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของชายชาติทหารท่าทีองอาจที่เมื่อมองคร่าวๆเหมือนคนที่แต่งงานมีลูกมีเมียเต็มบ้านแล้ว แต่ที่ไหนได้...
"สาวๆก็ตรึมอยู่"
"นั่นไงข้าว่าแล้ว! ที่แท้ท่านก็เสือผู้หญิงสินะเนี่ย" ทหารหนุ่มไฟแรงตบพลั๊วเข้าที่ไหล่แข็งปั่กของโคเอนอย่างเต็มแรง ก่อนจะรับกระติกเหล้าของตนกลับคืนมาซด แต่ก็พบว่ามันว่างเปล่าไปเสียแล้ว
"แต่ผู้หญิงที่ข้าชอบน่ะ.." เปลือกตาบางของโคเอนค่อยๆปิดแน่น ก่อนโดลจิจะรู้สึกแป้วขึ้นมาอีกรอบ สงสัยว่าเขาจะเผลอมานั่งกลางศาลาคนเศร้าซะแล้วสิ
เมื่อมองใบหน้าของทั้งสองคนแล้ว บางทีเขาควรไปหาเหล้ามาเพิ่ม
เมื่อมองใบหน้าของทั้งสองคนแล้ว บางทีเขาควรไปหาเหล้ามาเพิ่ม
"ไม่เอาน่า พวกเจ้าอย่าทำหน้าหดหู่แบบนี้สิ ถึงข้าจะมีแฟนแล้วไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกพวกเจ้าก็เถอะ เดี๋ยวข้าไปหาเหล้าให้พวกเจ้าดื่มย้อมใจเพิ่มก็แล้วกัน" ชายหนุ่มร่าเริงพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้ซะจนคนแถวนั้นอยากจะลุกขึ้นมาตบหัวคว่ำซักป้าบหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นตบบ่าปลอบใจคนโสดทั้งสองแล้วเดินหายเงียบไปในวงเหล้าวงอื่นต่อ
ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่กันสองต่อสองซักที...
อาลีมองสีหน้าด้านข้างที่สะท้อนเงาจากเปลวไฟไม่สนใจคนรอบตัว ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่เขายังคาใจมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงมานั่งตากน้ำค้างห่างไกลวังราคุโชวขนาดนี้
"นี่..โคเอน" อาลีเรียกชื่อนายตัวเองห้วนๆด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
"สรุปคือนี่นายพาฉันออกจากวังมานั่งทำอะไรที่นี่เนี่ย เปลี่ยนที่กินข้าวหรอ?"
"หุบปากน่าลีอา เจ้าจะทำเรื่องให้มันยุ่งยาก"
โคเอนดุเสียงเบาและยังคงนั่งมองกองไฟนิ่งไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวใดๆ
โคเอนดุเสียงเบาและยังคงนั่งมองกองไฟนิ่งไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวใดๆ
อาลีทำหน้าถึงบางอ้อเมื่อโคเอนไม่ยอมหันมาพูดกับเขาตรงๆ ถึงแม้จะนั่งกันอยู่แค่สองคนแต่การที่คนพลุกพล่านเดินไปมาเช่นนี้ใครอาจจะเดินเข้ามาได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันก็ได้สินะ
"เอ่อ...เอนโค..นายไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอ" อาลีพยายามหาทางพูดอ้อมๆด้วยน้ำเสียงประดักประเดิดไม่ชินปาก ก่อนจะถูกบางอย่างกระแทกเข้าที่หลังอย่างแรงจนแผ่นหลังหงอๆสะดุ้งโหยง
"โดลจิ!!!" อาลีเค่นเสียงดุด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
เขากำลังจะถามโคเอนอยู่แล้วเชียว!
"นี่ข้ามีข่าวมาบอก เมื่อกี้เขาจับไม้สั้นไม้ยาวกันจัดเวรเฝ้ายาม พวกเราได้ไปนอนก่อนแล้วตื่นมาเปลี่ยนเวรเฝ้าตอนใกล้ๆเช้าอีกทีหนึ่ง เป็นไงดวงข้าดีมั้ย" โดลจิเท้าสะเอวสองมือก่อนจะหัวเราะจมูกยื่น
"พวกเรา?" โคเอนที่นั่งนิ่งมาซักพักหนึ่งหันไปมองหน้าโดลจิ
"ใช่แล้ว ข้าจับแทนพวกเจ้าด้วย" ชายหนุ่มหัวเราะร่าพลางตบบ่าของทั้งสองคนที่นั่งผิงไฟอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้โคเอนจะเริ่มมีสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจออกมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับการกระทำไร้มารยาทของโดลจิ
"ไปเถอะลีอาเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงนา" โดลจิล็อคคอคนที่ตัวเล็กลากไปไหนมาไหนง่ายก่อนหิ้วคอหายเข้าไปในเต็นท์มืดๆขนาดกลางที่ให้ผู้ชายสามสี่คนนอนแผ่ หรือทำกิจกรรมกันได้สบายกันได้สบายๆ
อาลีส่งสายตามามองโคเอนที่ยังคงนั่งไม่สนใจอะไรอยู่ตรงที่เดิมไปมา จนสุดท้ายก็โดนโดลจิถีบเข้าเต็นท์ไปโดยได้แต่เก็บความคับข้องไว้ในใจ...
มือขนาดใหญ่ผิดกับก้านกิ่งสนแห้งผอมในมือขว้างเจ้ากิ่งไม้เล็กๆนั่นเข้าไปในกองเพลิงที่เริ่มอ่อนไฟ ก่อนจะถอนหายใจอย่างรู้สึกหงุดหงิด เขาเองก็ยังไม่ได้แก่จนถึงวัย(ทอง)ที่หงุดหงิดหัวร้อนง่ายเป็นมนุษย์ลุงซักหน่อย แต่ทำไมช่วงนี้ถึงได้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขนาดนี้กัน
การมาลาดตะเวนครั้งนี้ นอกจากเหตุผลมากมายสรรพัดที่เขาพูดบอกกับคนอื่นแล้วนั้น ในใจลึกของเขาเองก็รู้ดีแต่ไม่อาจพูดออกได้ ถ้าหากเขาพูดเรื่องที่ได้คุยกันเมื่อคืนกับผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าให้อาลีฟัง เขานึกไม่ออกเลยว่าเจ้าหัวหงอนนั่นจะทำหน้าโง่ๆออกมายังไง
หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ทิฐิของตัวเขา ที่นำพาตัวเองและอาลีออกมาไกลวังราคุโชวขนาดนี้
ในที่ที่พ่อของเขาไม่อาจเอื้อมมาถึงหมากเบี้ยในมือของเขาได้
ในที่ที่พ่อของเขาไม่อาจเอื้อมมาถึงหมากเบี้ยในมือของเขาได้
.
.
.
"คืนนี้ดูเหมือนพายุจะเข้านะ"
"ก็อย่างนี้แหละอากาศบนภูเขาเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้หรอก"
เสียงของทหารที่ยังอยู่ในเวรเฝ้ายามดังผ่านหัวนอนไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำไปรอบๆค่าย อากาศที่หนาวเย็นจนไม่รู้สึกถึงปลายประสาทยังคงกัดกินเนื้อและกระดูกของอาลี ที่ไม่อาจข่มตาให้นอนหลับได้ ดวงตาคู่สวยเหม่อมองผืนผ้าเต็นท์ใจลอย ในขณะที่โดลจิหลับลึกกรนคร่อกๆสนั่นเต็นท์ไปแล้ว
"ลีอา..เจ้ายังไม่หลับใช่มั้ย"
เสียงทุ้มมีเสน่ห์เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนกระซิบข้างหูเล็กๆน่ารักใกล้ ใกล้เสียจนขนทุกเส้นตั้งชันขึ้นอย่างเสียววาบ อาลีรู้สึกได้ถึงระยะห่างอันน้อยนิดของปลายจมูกโด่งที่สะกิดเรือนผมนุ่มชวนจั๊กจี้ ก่อนกล้ามเนื้อตามลำตัวจะเกร็งแข็งขึ้นอีกครั้งไม่กล้าขยับแม้แต่ใบหน้า
ถ้าหันหน้าแล้วไปชนกันพอดีจะทำยังไงเล่า (≖_≖;) ปั๊ดโถ่!!!
"อืม"
"ไปฉี่เป็นเพื่อนหน่อย"
"ห๊ะ! นี่นายเป็นเด็กรึ..." ร่างบางพลิกตัวหันหน้าไปหาคนที่นอนข้างๆอย่างลืมตัวก่อนดวงตาหวานจะสบเข้ากับตาสีทับทิมที่สะท้อนเด่นอยู่ในความมืด "ไง..."
ลมหายใจอุ่นที่รินรดใบหน้ากันไปมาพลันทำให้ใบหน้าสวยพลันแดงร้อนขึ้นมาอย่างน่ารักแต่ช่างน่าเสียดายที่ถูกแสงสลัวของรัตติกาลบดบังซ่อนเร้นเอาไว้
"ลุกได้รึยัง" โคเอนยังคงพูดเรียบๆไม่มีท่าทีว่าจะขยับใบหน้าออกห่าง
"ก็ลุกออกไปก่อนสิ นายนอนอยู่ริมสุดไม่ใช่รึไง!"
โคเอนลุกขึ้นแทบจะทันทีที่อาลีพูดจบประโยค ก่อนคนที่นอนข้างๆจะลุกตามมามึนๆด้วยน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปเมื่อหัวค่ำ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บราวกับจะแข็งแล้วแตกเปราะเป็นส่วนๆ มือเรียวยันผืนผ้าใบที่ยังคงแผ่อุ่นไอของคนที่เคยนอนทับมันไว้เมื้อครู่ ก่อนจะลุกตามคนตัวสูงออกไปอย่างเมื่อยล้า
โคเอนเดินออกมาจากค่ายเรื่อยๆเสียจน มองเห็นแค่คบไฟเล็กๆเลือนรางเมื่อมองจากจุดที่เขากำลังยืนอยู่ หรืออาจเป็นเพราะลมที่พัดแรงขึ้นที่ทำให้ทัศนวิสัยพร่าเลือนก็เป็นได้
"นี่โคเอน ไกลพอแล้วมั้ง แล้วอีกอย่างนายยังไม่ได้บอกฉันเลย"
"บอกเรื่องอะไร?"
"ทุกเรื่อง!"
คนที่ถูกย้อนถามโวยเล็กน้อยอย่างเหลืออด โดยไม่ได้สังเกตว่าตนเองเดินกันออกมาไกลขนาดไหน หรือเท้าจมหิมะไปลึกเพียงใด
"เมื่อเช้านี้นายสร่างเมารึยังเนี่ย ไม่พูดไม่จาลากชาวบ้านเขาออกมาตั้งแต่ฟ้าไม่สว่าง แล้วไอ้ที่แบบนี้มันก็ไม่ใช่ที่ที่ผู้ชายคนไหนจะพาใครหนีตามมาด้วยหรอกนะ" อาลีเดินตามอย่างยากลำบากเพราะหิมะที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ปากก็บ่นไปพลางไม่หยุดหย่อน
โคเอนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้เมื่ออาลีบ่นถึง ความจริงแล้วตัวเขามีสติทุกอย่าง แต่ไม่รู้ทำไมในตอนนั้นถึงได้เห็นใบหน้าหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาอย่างไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ รู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นประกายสีทองเลือนๆใต้เงาจมูกของตัวเองเสียแล้ว
"แล้วตกลงพาข้ามานี่เพื่อ!?" อาลียังคงยืนยันคำถามเดิมเซ้าซี้ไปมาอย่างไม่ลดล่ะความมุ่งมั่น
"ถึงจะไม่สร่าง แต่ก็ขี่ม้าดีกว่าใครบางคนแถวนี้"
จอมทัพแดงผู้ปิดบังกายพูดแหย่เย้าคนที่เดินตาม ด้วยคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับที่ที่กำลังคิดอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังตอบไม่ตรงประเด็นอีกต่างหาก
จอมทัพแดงผู้ปิดบังกายพูดแหย่เย้าคนที่เดินตาม ด้วยคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับที่ที่กำลังคิดอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังตอบไม่ตรงประเด็นอีกต่างหาก
"ห๊ะ ว่าไงนะ" เส้นเลือดตรงขมับของอาลีเต้นตุบๆ นอกจากเขาจะไม่ได้คำตอบแล้วยังโดนกวนประสาทกลับมาอีก
"หยุดพูดเถอะ ยิ่งเจ้าพูดข้ายิ่งปวดฉี่" (눈_눈)
"..."
อาลีหันหน้าไปทางอื่นเมื่อเห็นโคเอนหยุดยืนหามุมดีบริเวณตีนผาอับลมแล้วทำท่าทีจะปลดกางเกง ดวงตาสีอำพันสวยสังเกตเห็นกองหิมะหนารูปร่างประหลาดและหินวางเรียงราย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะแถวๆนี้มันก็ดูขาวโพลนคล้ายๆกันไปหมด ก่อนจะพึ่งคิดถึงเหตุผลที่โคเอนต้องเดินมาทำธุระไกลขนาดนี้
'ฉันล่ะนึกภาพตอนตัวเองยืนฉี่ท่ามกลางลมภูเขาแรงๆแบบนี้ไม่ออกจริงๆ'
ถ้าเกิดลมมันเปลี่ยนทิศกระทันหันพัดน้ำที่พ่นออกมาจากช้างน้อยเข้าหน้าตัวเองคงเป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายไปตลอดชีวิต...
"นี่..."
อาลีเอ่ยขึ้นคลอไปกับเสียงน้ำสายเล็กที่ไหลเป็นเส้นโค้งพาลาโบล่าทำมุมตกกระทบลงบนพื้นหิมะหนาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"ทำไม...ถึงกอดหรอ"
"ข้าทำก็เพราะว่าข้าอยากจะทำเท่านั้นแหละ ทำไมหวั่นไหวหรอ?" โคเอนที่กำลังถูกขัดจังหวะตอนทำธุระส่วนตัวหันหน้ามาตอบพลางยียวนกวนใจคนที่กำลังยืนกอดอกหันหลังให้กับเขาอยู่
"แค่ขนลุกเฟ้ย! นึกว่านายจะเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน มิน่าล่ะปูนนี้แล้วยังไม่ได้แต่งงานซักที แถวบ้านข้าน่ะเข้า20ก็ออกเรือนกันแล้ว แต่ก็นะ...คนอย่างนายคงหาแฟนไม่ได้หรอก"
โคเอนยืนฟังเสียงบ่นแทงใจดำไปพลาง จัดการธุรส่วนตัวไปพลางก่อนจะมัดเชือกกางเกงให้กระชับเข้าที่เหมือนเดิม
"หนุ่มนักรักอย่างเจ้าคงจะผ่านผู้หญิงมาโชกโชนเลยสินะ" เสียงหึที่เหมือนจะเยาะเย้ยในลำคอของโคเอน เรียกให้อาลีหมุนตัวควับมาประจันหน้ากับเขาทันที
"เรื่องนั้นมันก็..." ดวงตาคู่สวยมองล่อกแล่ก จนโคเอนได้แต่ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ
"ยังเวอร์จิ้นอยู่ล่ะสิ"
"จะบ้าหรอ! จะ..จะให้นอนกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ได้ยังไง มันต้องเก็บความบริสุทธิ์ไว้จนกว่าจะถึงคืนวันแต่งงานสิ!" อาลีพยายามตอบโต้ความอัปยศครั้งนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้ดูน่าสมเพชยิ่งกว่าเดิมจนโคเอนหัวเราะออกมา
'เจ้านี่มันจะรู้มั้ยเนี่ยว่าพูดออกมาได้โง่ขนาดไหน'
"เจ้านั่นแหละท่าจะบ้า ผู้ชายน่ะเข้าเลข16ก็ไม่ซิงกันแล้ว" โคเอนยิ้มเย้ยหยันใบหน้าโง่ๆที่ถึงกับพูดไม่ออกไปไม่เป็นอย่างผู้คุมเกมเหนือกว่า
"แต่อย่างน้อยข้าก็มีคนที่ชอบอยู่แหละน่า! อย่างนายมัวแต่มัวเมากับพวกผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เลยไม่รู้จักคำว่ารักกับเขาสินะ เจ้าคนจิตใจหยาบช้า!" อาลีชี้หน้าอย่างหงุดหงิดราวกับว่าเส้นบางๆของความอดทนของเขามันได้ขาดผึงไปแล้วก่อนโวยวาย เข้าตำหรับคนที่เถียงแพ้แล้วพาลไม่มีผิดเพี้ยน
"ข้าก็มีของข้าเหมือนกัน อย่ามาทำพูดเป็นรู้ดีเรื่องความรักหน่อยเลย"
"ถ้ามีแล้วทำไมไม่แต่งอ่ะ องค์ชายใหญ่อย่างนายจะแต่งกับหญิงที่ไหนก็ได้ไม่ใช่หรอ"
"ก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง!!!"
โคเอนตวาดเสียงดังสะท้อนไปตามหุบเขาและช่องลม ก่อนจะค่อยๆถูกสายลมหนาวกลืนหายไปในคืนข้างแรม อาลีที่มีท่าทีจะเถียงไม่ลดละก็ต้องเงียบไป เมื่อเห็นแววตาสีแดงทับทิมคู่นั้นที่ฉายความรวดร้าวออกมา แววตาที่ไม่ได้สะท้อนเงาของเขาแม้แต่น้อย...
'ทำไมดวงตาคู่นั้น มันถึงได้ทำให้ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน'
"กลับเถอะ พายุจะมาแล้ว"
โคเอนเบนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะหมุนตัวเดินย่ำตามรอยเท้าเดิมกลับค่ายทหาร เสียงลมที่พัดโกรกอย่างรุนแรงทำเอาใบหูอื้ออึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสวบสาบของฝีเท้าตนเอง เขาที่รู้สึกว่าตัวเองคงใช้อารมณ์มากเกินไป เมื่อไม่ได้ยินพูดบ่นหรือถามอะไรของอาลี เห็นทีว่าคงจะต้องพูดเรื่องงานเปลี่ยนบรรยากาศซะบ้างแล้ว...
"เจ้าจำวันที่ทูตจากแคว้นอูกินั่นมาได้มั้ย? เจ้าไม่สงสัยหน่อยหรอว่าทำไมอยู่ๆดีพวกนั้นก็ลุกขึ้นมาหาเรื่องเจ้า?"
"..."
"พวกเขามาเพื่อแจ้งข่าวการเปิดประเทศใหม่อีกครั้ง แล้วก็ยังมีเรื่องของคำทำนายด้วยเพื่อแลกกับการบอกข้อมูลลับ ถ้าหากเจ้าเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสงครามกลางเมืองภายในแคว้นเหมันต์ ข้ารับปากไว้ว่าจะส่งตัวเจ้าให้กับแคว้น..."
"อาลี?"
ความเงียบผิดปรกติทำให้โคเอนต้องหันหลังกลับไปมอง แต่ก็ไร้ซึ่งเงาของผู้ติดตาม ไม่มีแม้แต่รอยเท้าเสียด้วยซ้ำ ท่ามกลางลมหิมะที่พัดหนักขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกถึงพายุที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ไม่อาจทำให้เขามองเห็นอะไรได้เลยแม้แต่แสงไฟลิบๆจากค่ายทหาร
"เจ้าโง่"
ใบหน้าหล่อคมที่เกาะพราวไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งกัดริมฝีปากแห้งแตกของตนเองเบาๆอย่างขัดใจก่อนจะเดินย้อนกลับไปตามรอยเท้าตัวเองอีกครั้ง
.
.
.
หลังจากเสียงตวาดกร้าวของโคเอนเงียบลง ตัวฉันเองก็เงียบตามไปด้วย
ไม่อาจรู้ได้เลย ถึงเหตุผลของลมหนาวที่พัดกระทบกับใบหน้าหนนี้ ทำไมถึงได้เจ็บแสบนัก?
ไม่อาจรู้ได้เลย ถึงเหตุผลของลมหนาวที่พัดกระทบกับใบหน้าหนนี้ ทำไมถึงได้เจ็บแสบนัก?
'แม้แต่โคเอนเองก็ยังมีสิ่งที่ไขว่คว้ามาไม่ได้งั้นหรอ?'
แล้วผู้หญิงคนนั้น นางจะทำตาเศร้าๆเหมือนกับที่ฉันเห็นโคเอนจากในตอนนี้มั้ยนะ?
ถ้าหากความรักนั้นไม่อาจจะสมหวังได้จริง แผ่นหลังของนางจะเงียบเหงาแบบนี้มั้ยนะ?
หากเป็นถึงผู้ที่พิชิตใต้หล้าได้ แต่ไม่อาจพิชิตโชคชะตาที่พาให้รักห่างไกล
ชัยชนะนั้นจะมีความสุขใดรออยู่กัน?
ชัยชนะนั้นจะมีความสุขใดรออยู่กัน?
"เสียง?"
ฉันหยุดมองไปรอบๆ หวังว่าคงจะหูแว่วไปเองนะ เหมือนกับได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกันเลย
เห้อ จะบ้าหรอใครจะมายืนคุยกันในที่แบบนี้
เห้อ จะบ้าหรอใครจะมายืนคุยกันในที่แบบนี้
ฉันสะบัดความคิดไร้สาระในหัวออก สงสัยว่าอากาศจะหนาวจนเพี้ยนไปแล้วล่ะมั้งเนี่ย
"อ่ะ!? ผะ..ผีเสื้อ?"
ฉันขยี้ตาอีกครั้งหนึ่ง แต่ผีเสื้อสีขาวก็กลับเพิ่มขึ้นอีก ปีกของมันส่องสว่างเหมือนกับแสงอาทิตย์ดวงเล็กๆ อีกทั้งยังส่งเสียงขับขานไพเราะราวนกขมิ้นสีรวงทอง
"โคเอนนายมาดูนี่สิ!"
พอหันไปอีกก็ไม่อาจมองแผ่นหลังที่เคลื่อนออกไปไกลเนื่องด้วยสภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ฉันได้แต่มองเหล่าผีเสื้อที่กระพือปีกรอบๆตัวด้วยความหลงไหลราวกับต้องมนต์ เรียวขาขยับก้าวตามเหล่าผีเสื้อปีกบางที่ทอแสงระยับราวกับกลุ่มดาว เดินเลาะไปตามทางเดินแคบๆของตีนผา เมื่อลองมองลงไปด้านล่างก็พบเพียงความมืดเคว้งและลมที่มาพร้อมกับเสียงหวนไห้หวีดร้องก้องหุบเขา ราวกับเรื่องเล่าที่เคยอ่านเจอในห้องหนังสือ...
'ผีเสื้อนั้นคือวิญญาณคนตาย เดินข้ามเส้นทางคนเป็น อยู่กลางระหว่างสองภพ'
คำกล่าวในหนังสือภาพเก่าๆม้วนหนึ่งได้กล่าวเอาไว้เช่นนั้น แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่แบบนี้นั้นจะมีอยู่จริง ถ้าหากคิดไม่ผิดละก็นะ...
"โคเอนเลือกที่ฉี่ได้ดีจริงๆ ฉี่ตรงไหนไม่ฉี่ มาฉี่ตรง'ผาคีตาสิ้นสุด' ไอ้หนอนชาเขียวได้บวมแน่"
ฉันค่อยๆคลำภูเขาหินที่เป็นเหมือนกำแพงพยุงร่างไม่ให้ตกลงไปข้างล่างท่ามกลางลมพายุที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เส้นทางเองก็ค่อยๆเล็กลงจนต้องเดินไข้วเท้าตัวแนบชิดกำแพงเหว
"ทำไมถึงได้ใช้ที่แบบนี้เป็นสุสานกันนะ" ฉันมองลงไปยังปากเหวกว้างด้านล่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองทางด้านหน้าอีกครั้งก็พบว่าผีเสื้อปีกบางที่บินนำทางได้หายไปเสียแล้ว
"อาลี!!!"
เสียงตวาดอันคุ้นหู ที่มักได้ยินทุกเช้าค่ำดังขึ้น ฉันหันกลับไปมองตามเสียงนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้ตกลงไปด้านล่าง ก่อนจะพบกับโคเอนที่เดินไล่ตามมาอยู่ลิบๆ จากขนาดตัวแล้วโคเอนคงจะเดินเข้ามาถึงตรงนี้ไม่ได้แน่
ฉันมองโคเอนที่เดินเลียบตามทางเล็กๆมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองความว่างเปล่าของทางเล็กๆแคบๆด้านหน้า
'เดินไปตกเหวตาย' กับ 'เดินไปโดนด่า' ขอเลือกโดนด่าแล้วกัน...
ขาคู่เรียวที่สั่นเทาด้วยความหนาวและคราบน้ำแข็งที่เกาะตามกางเกง ก้าวย้อนกลับไปยังทางเดิมอย่างสั่นเทิ้ม ก่อนจะอยู่ในระยะที่สามารถเห็นใบหน้าของจอมทัพแดงได้ถนัดตา เสียงของลมที่พัดโกรกแรงไม่อาจทำให้ได้ยินเสียงของภัยพาลที่วิ่งมาทางตน
"เจ้าหงอนโง่เดินมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย! รีบกลับไปที่ค่ายได้แล้ว" ใบหน้าของโคเอนดูหงุดหงิดกับการต้องมาทำในสิ่งที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ของตน แต่ก็ต้องทำอย่างช่วยไม่ได้ เขายังต้องใช้ประโยชน์จากเจ้าหมอนี่อยู่ คงจะยอมให้มาตกเขาตายแบบนี้ไม่ได้ ไหนจะมีเรื่องวุ่นๆตามมาอีก ดีหน่อยถ้าหาศพไม่เจอก็ไม่ต้องเสียตังค์ค่าฌาปนกิจ
มีอย่างเดียวที่ดูออกง่ายมากจากหน้าโคเอน คงเป็นหน้าโหดๆตอนดุเขาที่ทำอะไรไม่เข้าท่านี่แหละ คำก็ด่าว่าเจ้าโง่ คำก็ด่าว่าหัวหงอน แต่รอบนี้แอดวานซ์หน่อย เอาทั้งสองคำมารวมกัน หงอนนี่น่ะเป็นเอกลักษณ์อันภาคภูมิใจประจำราชวงศ์ข้าเลยนะจะบอกให้!!!
"เดี๋ยวก่อน หยุดเดินก่อน"
"อะไรอีก"
ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับความเจ้ากี้เจ้าการของคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับความเจ้ากี้เจ้าการของคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
"นายได้ยินเสียงอะไรมั้ย?" โคเอนยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกให้คนด้านหลังหยุดเดินก่อนขมวดคิ้วมุ่นจนเห็นเส้นเลือดที่บูดขึ้นมาบนหน้าผากอย่างชัดเจน
"ตรงนี้มันไม่ใช่ผา" โคเอนหันมามองผู้ติดตามด้านหลังด้วยใบหน้าซีดราวถั่วงอก
"พูดอะไรของนาย ถ้าไม่ใช่ผาแล้วจะเป็นอะไร ต้นถั่วยักษ์หรอ?"
"ข้าหมายถึงตรงที่พวกเรายืนอยู่ต่างหากเล่าเจ้าโง่!"
ยังไม่ทันที่ใครบางคนแถวนี้จะได้ตั้งคำถามสงสัย เสียงแตกเปรี๊ยะๆก็ดังขึ้นจนได้ยินชัดแจ้ง แม้ว่าเสียงของลมพายุจะพักดังหวีดหวิวแค่ไหนก็ตาม
"นะ..น้ำแข็งหรอ"
โคเอนส่ายหัวเบาๆ ให้กับฉันที่ทำสีหน้าวิตกจวนบ้า กับสงครามประสาทระหว่างพื้นที่เดินอยู่และมนุษย์เป็นๆที่ยังอยากมีลมหายใจสองคน
"ใกล้เคียง"
ดวงตาเรียวคมมองรอยร้าวที่แล่นตรงมาหยุดบริเวณใต้เท้าตัวเอง ก่อนใบหน้าที่ฉายอาการตรึงเครียดจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นมันหยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนพร้อมกับเสียงปริแตกที่เงียบลงไปด้วยเช่นกัน
"ยะ หยุดแล้ว?"
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองโคเอน ที่มีสีหน้าโล่งใจไม่ต่างกัน ก่อนจะค่อยๆขยับตัว แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกถึงสัมผัสของพื้นหินที่รับรู้ได้จากปลายเท้านั้น...
"ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
.
.
.
ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ หนุ่มสาวได้มาพบ กันในคืนร้าวราน
คนเหงาย่อมเข้าใจคนเหงา เมื่อสายตาเศร้าๆ ส่งไปทักทายกัน ♫♪
คนเหงาย่อมเข้าใจคนเหงา เมื่อสายตาเศร้าๆ ส่งไปทักทายกัน ♫♪
(ไม่อ่ะ ไม่เอา เอาเพลงนี้ดีกว่า (┛◉Д◉)┛彡┻━┻ )
เกิดฉันเหงา และไม่ทันคิด
ไปเผลอนึกว่ามีสิทธิ์ ทำผิดโดยไม่ตั้งใจ♫♪
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น