วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER21




ได้โปรดเถอะ

อยากพรากอะไรไปจากข้าอีกเลย


.
.
.

    ปลายสุดของเชือกคาดเอวผ้าไหมเนื้อลื่นสะบัดพัดไปตามแรงลม ไล้สัมผัสเย็นเยียบลงบนปลายนิ้วมือที่ไร้ซึ่งความมั่นคง ชวนให้ดวงใจของแม่ทัพหนุ่มกระตุกวาบเมื่อเรียวนิ้วมือนั้นไม่อาจเกาะเกี่ยวสิ่งใดเอาไว้ได้เลย ดวงตาสีทับทิมทำได้เพียงมองดูร่างที่จวนเจียนจะแตกสลายตกลงกระทบกับพรมหิมะกลิ้งไถลชโลมถนนขาวโพลนให้เต็มไปสีชาดดั่งกลีบดอกสึบากิที่ปลิดปลิวโรยราตัดกับสีสันของฤดูหนาว


ก้านธนูเก่าที่ปักหลังแน่นหักไปตามแรงกระแทกในขณะที่ปลายศรธนูที่ปักอยู่บนไหล่ทิ่มทะลุเนื้อจนปลายลูกศรคมโผล่ขึ้นมาพร้อมกับเศษเนื้อและลิ่มเลือดก่อนคลื่นของหิมะหนาและลมคลั่งค่อยๆห่มคลุมเรือนร่างอันเย็นเยียบราวตุ๊กตาน้ำแข็งสลัก ส่งเจ้าหญิงในอาภรณ์สีชาดลงสู่ห้วงนิททรา

ที่รุ่งสางมิอาจกล้ำกราย


"อาลี!!!"



.



.



.

"เรื่องนั้นข้ารู้ดีค่ะ!!!"


"ท่านน่ะ!...เป็นคนที่เก่งแล้วก็ยังสง่างามยิ่งกว่าใครๆ! ไม่ว่าท่านจะกล่าวโทษตนเองอีกซักกี่ครั้งหรือแม้ว่าจะมีคนว่าร้ายท่านยังไง ข้าก็จะปฏิเสธคำกล่าวโทษนั้นแล้วก็จะพูดประโยคนี้ออกไปไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็เพราะว่าท่านอาลีบาบาน่ะ!..."


...เสียงนี่มัน…


"อย่างที่รู้กันว่าข้าคงอยู่ได้ไม่นาน...เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากจะฝากอนาคตของบัลแบดไว้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของข้า องค์หญิงลำดับที่1 อาลีบาบา ซารูจา"
...ท่านพ่อ?...



"จากนี้ท่านจะต้องเจอเรื่องที่ต้องลำบากอีกมากมาย ต้องทุกข์ใจ ต้องโศกเศร้า ต้องเจ็บปวดแต่ถึงอย่างนั้น..ก็อย่าได้สาปแช่งโชคชะตาของตนเองเลยนะ"
...ซินงิน?...



"องค์หญิงอาลีบาบาโดนวางยาพิษค่ะ ท่านโคเกียคุ"
...โมลเซียน่า?ทำไมเสียงถึงได้สั่นถึงขนาดนั้นกัน...


"...ตอนนี้ชีวิตนายเป็นของฉัน"
...เสียงของโคเอน ทำไมอยู่ๆถึง…


"ในเวลาที่มืดมิดที่สุดแม้แต่เงาของข้ายังหนีหาย ข้าคิดถึงคำพูดพวกนี้ตลอดเวลาเลยในตอนนั้นน่ะ แต่แล้วก็กลับเป็นเจ้า เป็นเจ้าลีอา... "
...เจ้าตาเหล่นี่ นายยังไม่ตายอย่างนั้นหรอ?...


ฉันหันมองรอบตัวในทันทีในขณะที่เสียงหลายเสียงเริ่มซ้อนทับกันเรื่อยๆก่อนเบื้องหน้าอันมืดสนิทจะค่อยๆปรากฏแสงสลัว
"ไม่ใช่...ลืมไปได้ยังไงนะเรา"



...ตัวของฉันต่างหากที่ตายไปแล้ว…

ฉันเหม่อมองดวงแสงรอบกายมากมายที่สะท้อนภาพของเหล่าผู้คนที่ได้เคยพานพบ ทุกความทรงจำเปล่งประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวน่าหลงใหล ก่อนจะค่อยๆเดินไปตามทางที่ประดับประดาด้วยแสงของความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัย


"นี่ก็ตอนที่ฉันเพิ่งเจอกับโมลเซียน่าครั้งแรก" ฉันมองดวงแสงเล็กตรงหน้าก่อนจะเดินผ่านไปดูดวงไฟที่อยู่ถัดไป "คุณแม่ คาซิม มาเรียม นี่มันตอนที่เราอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านี่นา คิดถึงจังเลยนะ"



"อ่ะ นี่ก็ตอนที่ได้เจอกับท่านพ่อจากนั้นก็ถูกพาตัวเข้าวังไป ตอนนั้นพอไม่มีคาซิมกับมาเรียมอยู่ด้วยแล้วฉันก็ร้องไห้คนเดียวทุกคืนเลย"


...นี่หน้าฉันในตอนนั้นหรอเนี่ย ขี้มูกโป่งตาบวมปูดน่าเกียจชะมัด...


ด้วยความที่ทนรับสภาพความน่าสมเพชของตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ฉันจึงเบนหน้าไปทางอื่นก่อนจะเหลือบไปเห็นดวงไฟดวงเล็กดวงหนึ่งที่กระพริบริบหรี่อยู่ไม่ไกลราวกับหิ่งห้อยตัวใหญ่ เมื่อคิดว่าจะลองเอื้อมมือไปคว้าเจ้าดวงแสงเล็กๆน่ารักนั่น ทันใดนั้นภาพบางอย่างก็สว่างวาบขึ้นมา รอบกายแปรเปลี่ยนเป็นภาพของทะเลทรายร้อนระอุ ท้องฟ้าและแสงแดดที่แผดเผาผืนดินจนแห้งผาก ต้นปาล์มเรียงแถวเด่นสง่า กลิ่มหอมหวานของอินทผาลัมที่ลอยล่องปนกับกลิ่นของทรายโชยมาเตะจมูกชวนให้น่าคิดถึง
"ที่นี่มัน..จีซาน?"
...ที่ๆเราไปพิชิตดันเจี้ยนแล้วก็ได้อาม่อนมานี่นา...


ฉันมองภาพเหตุการณ์ที่เหมือนกับม้วนฟิล์มเก่าๆที่ฉายซ้ำขึ้นมาในหัว โมลเซียน่ากับฉันแอบเข้าไปในฐานของกองโจรช่วยเหลือคนที่ถูกจับไปขายต่อให้กับพ่อค้าทาสในตลาดมืด ก่อนจะสังเกตเห็นเหล่ากลุ่มคนที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่มุมห้อง ทุกคนล้วนแต่มีผมสีเงินปรอท ในขณะที่พวกโจรแห่กันมา เด็กสาวคนหนึ่งเสียสละช่วยให้ทุกคนหนีรอดออกไปก็ถูกจับตัวเอาไว้ได้


เด็กสาวในอาภรณ์ผ้าไหม ผู้มีเส้นผมสีเงินยาว แววตาของเธอไม่หวั่นเกรงต่อความตายเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่ามีดดาบคมวาวนั่นถูกง้างขึ้นจนสุดแขนอยู่เหนือศีรษะของเธอ

ในตอนนั้นเอง…


"จิตวิณญาณแห่งมารยาทและความเคร่งครัดเอ๋ย ข้าขอบัญชา จงมารับมะโก่ยจากข้าและมอบพลังอันยิ่งใหญ่ จงออกมาอาม่อน!"


ฉันยืนมองภาพความทรงจำที่ใช้พลังจากภาชนะโลหะได้เป็นครั้งแรก ก่อนใบหน้าที่ถูกกดลงต่ำจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองตัวฉันที่กำลังเผาซ่องโจรอย่างตกตะลึง ยังไม่ทันที่จะมองเห็นใบหน้าของเธอชัดนัก ภาพความทรงจำตัวของฉันก็อุ้มเธอออกไป


ฉันวิ่งออกตามตัวเองไปอย่างสุดฝีเท้าก่อนจะเห็นแผ่นหลังของตัวเองค่อยๆทรุดลงกับพื้นวางร่างเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนลงอย่างนิ่มนวล
"ทีนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วนะคุณหนู"
"ท่าน..เจ้าแห่งชะตาของข้า ท่านที่ข้าเห็นในนิมิต ได้โปรดบอกนามของท่านให้ข้ารู้ได้หรือไม่" ใบหน้าที่แดงซ่านพูดบางอย่างที่คนตรงหน้าไม่เข้าใจด้วยแววตาเปล่งประกาย ในขณะที่หญิงสาวผมทองตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น


"ข้าอาลีบาบา ซารูจา มาจากบัลแบดน่ะ"

...นั่นมัน ใบหน้านั้นมัน…
ฉันยืนผงะอยู่ต่อหน้าของเด็กสาวที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อตอนนั้น โดยที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นถึงตัวตนของฉันที่กำลังยืนอ้าปากหวอค้างราวกับคอมการ์ดจอต่ำที่เอาไปใช้เล่นเดอะซิมส์4


"ซะ ซินงินน วะ เหวอออ!"
ฉันปิดเปลือกตาแน่นเมื่อจู่ๆรอบกายก็กลายเป็นแสงสีขาวสว่างจ้า พอเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกทีก็ย้อนกลับมาอยู่ที่เดิมเสียแล้ว ในที่ที่เรื่องราวทุกอย่างไหลมาบรรจบกัน ณ. ‘สุสานความแห่งทรงจำ’ รอบตัวพลันเปลี่ยนเป็นความมืดที่ประดับด้วยความทรงจำสีสลัวอีกครั้ง


"เพราะอย่างนั้นถึงไปพูดแบบนั้นออกมาสินะ" ฉันหันกลับไปมองใบหน้าในดวงไฟดวงเล็กนั่นอีกครั้ง"ขอบใจมากนะซินงิน"


ถึงจะเสียดายที่ยังไม่ได้บอกลากับผู้คนที่บัลแบดทั้งคาซิม มาเรียม โมลเซียน่าแล้วก็โคเกียคุด้วย แต่ว่าตอนนี้ถ้าไม่รีบไปรวมกับทุกคนคงจะไม่ได้สินะ ฉันเองก็ไม่ได้เจอกับคุณแม่มานานแล้วด้วย ถ้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะ


พอคิดได้แบบนั้นแล้วฉันก็ก้าวออกไปผ่านแสงสุกสกาวเหล่านั้น ในทุกเหตุการณ์ทุกความทรงจำเพื่อไปยังปลายทาง ณ สถานที่สว่างไสว ที่ที่นกสีขาวกระพือปีกโผบินไปอย่างอิสระโอบล้อมผืนฟ้าและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่


"อ่ะ! ผีเสื้องั้นหรอ?" ฉันหยุดกระทันหันเมื่อเห็นดวงแสงสีทองระยับที่ส่งเสียงเหมือนกับกระดิ่งแก้วอันเล็กปรากฏตรงหน้า
...มันเหมือนกับตอนที่เจอในผาคีตาสิ้นสุดเลย…

เสียงของมันเหมือนกับนกน้อยเสียงใส กระพือปีกรอบๆตัวของฉัน ก่อนจะบินออกนอกเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ย้อนกลับไปในสุสานความทรงจำที่ฉันเดินผ่านมา ทำให้อดที่จะสงสัยไม่ได้
"ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องไปรวมกับทุกคนตรงนั้นหรอกหรอ"


‘ถ้าหลอมรวมไปกับกระแสแห่งโซโลมอนแล้วจะย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้วนะ’


เสียงอันไร้ที่มาเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท เสียงนั้นยิ่งทำให้ฉันสับสน แต่ก็อยากที่จะลองเดินตามเจ้าผีเสื้อที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับเหมือนดวงไฟนั่นไป ถ้าอะไรยังไงค่อยย้อนกลับไปก็ได้นี่นะ แวะนิดหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไร


เจ้าผีเสื้อปีกบางพาฉันเดินกลับเข้ามาในสุสานความทรงจำอีกครั้ง ก่อนจะพามาหยุดอยู่หน้าดวงไฟขนาดใหญ่ ขนาดของมันใหญ่กว่าของดวงอื่นอย่างเห็นได้ชัดแทบจะเท่ากับตัวของฉันได้เลย แถมสีของมันยังสว่างจ้าสดใสเสียยิ่งกว่าทุกๆดวงที่เดินผ่านมาเสียอีก


...มีความทรงจำที่ใหญ่ขนาดนี้ด้วยหรอ ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่เห็นนะ?...


"อยากให้ฉันดูมันหรอ?"


ครั้งนี้มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยที่ตอบกลับมาเท่านั้น ฉันมองเจ้าดวงไฟกลมใหญ่ตรงหน้านั่นอย่างลังเล ก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะเจ้าดวงแสงสว่างไสวที่เหมือนกับดวงดาวดวงใหญ่ เมื่อมือของฉันได้สัมผัสกับแสงสีขาวนั้น ทิวทัศน์สีเข้มก็พลันเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม ทุกอย่างรอบกายของฉันถูกห้อมล้อมด้วยสีขาวและภาพความทรงจำสีสด


ในทุกภาพความทรงจำที่ลอยว่อนอยู่ในถุงเก็บใบใหญ่นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อบัลแบดที่ฉันพยายามกลบฝัง ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น ทำไมถึงได้เด่นชัดและมากมายขนาดนี้กันนะ


"จะพรวนดินทำไม คิดจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่เลยรึยังไงกัน" เสียงเข้มอันคุ้นหูดังขึ้นก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่กำลังใช้จอบเสียมโกยหิมะพรวนดินอย่างขะมักเขม้น


"พวกชาวบ้านบอกว่าหลังจากนี้จะอุ่นขึ้นแล้ว ให้เตรียมปลูกพืชได้น่ะ อีกอย่างไข้ยังไม่หายไม่ใช่หรอ กลับไปนอนไป๊!"

...นี่มัน ฉันกับโคเอนนี่…


ในตอนนั้น
.
.
.
ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่ว่ามันก็สนุกมากจริงๆ


ในช่วงเวลาที่โคเอนไม่ใช่องค์ชายโคเอน และตัวฉันที่เป็นเพียงแค่ ลีอาหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ใช่ทั้งอาลีมือขวา ไม่ใช่ทั้งองค์หญิงรัชทายาทแห่งบัลแบด


"แต่ถ้าพวกเรากลับไปถึงเจิดจรัสเมื่อไหร่ล่ะก็ ชายธรรมดาเดินดินที่ชื่อเอนโคก็จะหายไป ตัวตนของหญิงสาวชาวบ้านที่ชื่อลีอาก็ด้วย" ฉันคลี่ยิ้มจางๆมองภาพคืนวันอันแสนสุขตรงหน้าดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยที่ไม่ทันสังเกตน้ำตาของฉันมันก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม


"ดีจริงๆที่ยังอยู่ตรงนี้"


ฉันเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของคนร่างสูงที่ใบหน้านั้นไม่แม้แต่จะหันมาสบตากัน ราวกับว่าตัวตนของฉันในตอนนี้เป็นเพียงแค่อากาศธาตุ ก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสลงบนใบหน้านั้น "ถ้าเป็นที่นี่ล่ะก็ คงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไรเอาไว้สินะ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไรอีกแล้วด้วย ในที่ๆเวลาถูกหยุดเอาไว้ที่นี่น่ะ..ฉันอยากจะเป็นสาวชาวบ้านที่ชื่อลีอาตลอดไป"


สาวชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถึงจะอดมื้อกินมื้อ ไม่ได้ใส่เสื้อหรูหรา ไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้ แต่ทุกวันที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับชายชาวบ้านธรรมดาๆที่ชื่อเอนโคนั้นมันมีความสุขมากจริงๆ


ฉันค่อยๆปิดเปลือกตาลงก่อนจะประทับจุมพิตลงบนแก้มที่เปรอะคราบเขม่าจากเตาผิงนั่นอย่างแผ่วเบา


"ดูเหมือนจะต้องไปแล้วล่ะ"

ทั้งความทรงจำและความรู้สึกที่มีต่อเจ้าข้าจะเก็บซ่อนเอาไว้ที่นี่ตลอดไป
.
.
.


    ทันทีที่เอ่ยคำลาเสร็จภาพของหิมะและถ้อยคำลาก็พลันสว่างวาบเป็นสีขาวอีกครั้งก่อนจะสีของความมืดจะย้อมภาพที่สะท้อนในแก้วตาสีทองให้เป็นห้วงความทรงจำสีสลัว เสียงเรียกที่สอดประสานทับซ้อนกันไปมาของผู้คนที่เคยพบพานมีแต่จะเพิ่มพูนความเศร้าให้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นก่อนที่น้ำตาจะไหลรินลงมาอีกครา ข้าจะวิ่งออกไปให้สุดฝีเท้า


ปล่อยให้กายเป็นหนึ่งกับผืนดินและลูฟหลอมรวมไปกับทุกสรรพสิ่งบนโลก
ไม่จำเป็นต้องแบกรับความโศกเศร้าอีกต่อไปแล้ว
จากนี้และตลอดไป

ในขณะที่ขาวิ่งออกไปยังหนทางสลัวอย่างไม่หยุดพักเพื่อไปสู่ท้องฟ้าสว่างไสวที่ลุกโชนอยู่เบื้องหน้านั้นเอง ระหว่างทางเดินอันเงียบสงัดกลับแว่วเสียงเสียงกระดิ่งเงินอันไพเราะ ก่อนขนนกที่ส่องประกายระยิบระยับก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาแต่งแต้มห้วงทางเดินอันหดหู่ให้เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับดุจราตรีที่พร่างพราวไปด้วยแสงดาว


"ขนนกนี่มันมาจากที่ไหนกัน?"


‘เร็วเข้าเถิดผู้เป็นนายแห่งอาม่อน’


"เสียงนั้นอีกแล้ว? ใครน่ะ? ทำถึงรู้เรื่องนั้นได้?"


‘ข้าคือฟินิกส์จินแห่งความเมตตาและความประนีประนอม เร็วเข้าเถอะภาชนะแห่งราชาเอ๋ย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป...’

"อาลี!"
"อาลี!"
"อาลี!"

"เสียงของโคเอน!? นี่มันเกิดอะไรขึ้น"

.

.

.


"ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีรึเปล่า"
เสียงเรียบเย็นดังขึ้นใบขณะที่ใบหน้างดงามจดจ้องไปยังเงาสะท้อนบนคมดาบยาวที่วางประดับอยู่บนแท่นวางดาบ มือเรียวลูบไปตามสันดาบไร้คมอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะหยุดมือไว้ตรงด้าม


"ขอรับ"
สิ้นเสียงตอบรับของขุนพลหนุ่ม สันดาบยาวที่ประดับอยู่มุมห้องก็ฟาดลงบนขมับของเขาอย่างเต็มแรง


"โกหก!"


ชินอาทรุดลงไปกับพื้นห้องทันที มือที่ถูกสายธนูดีดตัดผิวหนังจนเป็นแผลเลือดซิบกุมบาดแผลที่โชกเลือดอย่างเจ็บปวด แม้จะเจ็บปวดจนสายตาพร่าเลือนซักเพียงใดแต่ก็กลับไม่มีแม้เสียงใดเล็ดลอดออกมาจากกล่องเสียงที่แหบแห้งนั้นดั่งเช่นทุกครั้ง


"ทั้งที่เจ้าน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้มากที่สุดแท้ๆ โชคชะตาพรากซินงินไปจากข้าแล้ว เจ้ายังจะพรากเศษเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของนางไปอีกหรอ!"
ใบหน้าเกรี้ยวกราดที่มักจะซ่อนอยู่ด้านหลังรอยยิ้มนั้นไม่มีอีกต่อไป มีเพียงพายุแห่งอารมณ์ที่พัดโหมกระหน่ำบ้าคลั่งซ่อนอยู่ใต้อุ้งมือที่จับด้ามดาบอย่างสั่นเทา


"ขออภัยขอรับ"
น้ำเสียงแหบตอบกลับไปอย่างเรียบๆ ก่อนดาบด้ามยาวในมือคู่นั้นจะถูกโยนลงกระทบกับพื้นพรมข้างกายของขุนพลหนุ่มที่ก้มหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน


ก็จริงอยู่ในตอนนั้นเองที่เขาเผลอให้อารมณ์ควบคุมจิตใจ ปรกติแล้วธนูแค่ยิงโดนจุดสำคัญดอกเดียวก็ปลิดชีพชายร่างใหญ่ๆได้แล้ว แต่เพื่อละครฉากใหญ่นี้จำต้องใช้นักธนูที่จะทำให้ตัวละครหลักที่ถูกวางเอาไว้หนีออกไปอย่างปลอดภัย  องค์ราชินีถึงได้มอบบทนี้ให้กับเขา เพราะนางรู้ว่าเขานั้นไม่พลาด ที่จะยิงพลาดเป้า


แต่ความรู้สึกที่เฝ้าถนอมในอกก็กลับทำให้บางอย่างต้องผิดเพี้ยนไป…
ดั่งเช่นเส้นด้ายแห่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานี้

ทันเซย์นิ่งไปครู่หนึ่งราวกับเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ไม่นานนักใบหน้าที่เกรี้ยวกราดก็พลันสลายดั่งคลื่นพายุอันแปรปรวนที่อยู่ๆก็พัด อยู่ๆก็สงบนิ่ง


ดวงตาสีทองแน่วแน่กอดคำตอบที่เฝ้าถามย้ำต่อตัวเองเอาไว้แน่นก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาอย่างราวกับคนกำลังละเมอฝัน


“หากมีอาวุธที่แค่สร้างรอยแผลเพียงเล็กน้อย ก็สามารถคร่าชีวิตของเจ้าได้ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือที่ไหนอยู่ล่ะก็ เจ้าคิดว่ามันคืออะไรรึชินอา?”


ชายหนุ่มร่างเพรียวพยุงตัวขึ้นมาก่อนจะตอบกลับได้ด้วยเสียงแหบแห้ง
“อาวุธที่มีพลานุภาพเช่นนั้น หากมีอยู่จริงล่ะก็ คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักไม่ผิดเพี้ยนแน่ขอรับ..”



.
.
.

"พานางไปที่เต็นท์ของข้า เร็วเข้า!"
ฮาคุเอย์สั่งการทันทีที่ร่างที่บอบช้ำจากการเดินทางไกลถูกประคองออกจากอ้อมแขนโชกเลือดของแม่ทัพใหญ่โคเอน ลงจากหลังม้ามาได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่เธอและโคเอนจะรีบตามเข้าไปในเต็นท์ใหญ่ทันที ในขณะที่เซย์ชุนยังคงวุ่นอยู่กับการเอาเด็กน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยไปฝากไว้กับทหารนายไหนซักนายที่พอจะรับช่วงต่อจากเขาได้

โคเอนที่เดินตามเข้ามาติดๆมองร่างกายเย็นเฉียบจากการเดินทางฝ่าลมหนาวและหิมะค่อยๆถูกวางลงบนแท่นเตียงเล็กๆของแม่ทัพสาวก่อนจะปรี่เข้ามารับช่วงต่อไม่ยอมปล่อยให้ร่างนั้นห่างกาย


นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ฮาคุเอย์รู้สึกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่พุ่งพล่านของชายตรงหน้า แม้จะผ่านศึกสงครามหนักหนามามากมาย สหายร่วมรบล้มตายไปมากเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นจากนัยน์ตาคู่สีทับทิมนั่นมาก่อน


หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งสองกันแน่นะ...

“เตรียมผ้ากับภาชนะใส่น้ำสะอาดมาเร็วเข้า พวกที่เหลือช่วยกันไปยกกระถางไฟเข้ามาในเต็นท์!”
เหล่าทหารผู้ติดตามยังไม่ทันที่จะได้แสดงความยินดีกับการกลับมาขององค์ชายโคเอนก็วิ่งอุตลุดวุ่นวายไปทั่วแคมป์ สวนกับเซย์ชุนที่หอบผ้าสะอาดเดินตามผู้เป็นนายทั้งสองเข้ามาในเต็นท์ใหญ่


    บนเตียงเล็กๆของฮาคุเอย์ อาลีที่อยู่ในการดูแลของแม่ทัพโคเอนมาตลอดทาง แม้แต่ในตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นนายเหนือหัวไม่ห่าง ใบหน้าซีดเซียวซุกลงบนแผ่นอก แขนทั้งสองข้างโอบลำตัวหนาเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บปวดจนเสื้อผ้าด้านหลังของผู้เป็นที่พักพิงเกิดรอยยับยู่


สำหรับผู้มีสถานะเป็นนายและบ่าวแล้วภาพตรงหน้าของเขานั้นไม่ใช่อะไรที่คุ้นชินตาเท่าไหร่นัก ก่อนคำถาม คำถามเดียวกันกับที่ผุดขึ้นในใจของฮาคุเอย์จะลอยขึ้นมาแปะบนใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้ติดตาม

เซย์ชุนวางผ้าสะอาดลงบนโต๊ะเล็กก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆฮาคุเอย์ที่กำลังใช้มีดตัดผ่านอาภรณ์ผ้าที่ย้อมไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำจวนจะแห้งกรังนั่นออก เผยให้เห็นแผ่นหลังเนียนเปรอะคราบเลือดที่ก้านของลูกธนูทั้งสองหักสั้นจนดึงออกมาไม่ได้อันเป็นสาเหตุที่โคเอนไม่อาจใช้ภาชนะโลหะรักษาคนในอ้อมกอดนั้นได้อย่างเต็มที่


“ระวังหน่อยสิ”
“เร็วๆเข้า”
“มันร้อนนะ ยกดีๆสิ”
เสียงสบถของเหล่าทหารที่ช่วยกันยกกระถางไฟเข้ามาดังขึ้น หนึ่งในนั้นคือโดลจิที่หันมามองแผ่นหลังเปลือยเปล่าบนเตียงของแม่ทัพตาปริบๆ หากจะมีสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาไว้ล่ะก็ คงจะเป็นส่วนเว้าโค้งและเอวบางอันไร้อาภรณ์คลุมห่มนั่น

ในขณะที่โคเอนสนใจเพียงแต่จังหวะลมหายใจของผู้ติดตามคนงามที่จวนจะสิ้นสติ ฮาคุเอย์ก็หันไปทำตาเขียวใส่ทหารบางส่วนที่เดินตามเซย์ชุนเข้ามาทีหลังพร้อมทั้งเอาลำตัวบังภาพแผ่นหลังเปลือยเปล่านั้นเอาไว้


"พวกที่เหลือน่ะออกไปให้หมด"

โดลจิและคนอื่นหลบตาของแม่ทัพสาวอย่างอายๆก่อนจะรีบพากันเดินออกไปจากเต็นท์หลังจากที่หมดหน้าที่แล้ว

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ถ้อยคำเรียบๆที่เหมือนดั่งคำอธิษฐานก็ถูกเอื้อยเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่แห้งแตกของโคเอนอย่างแผ่วเบา


"ฟินิกซ์..."
สิ้นเสียงทุ้มของโคเอน นกตัวใหญ่เรืองแรงสีม่วงพิสุทธิ์ก็ปรากฏกายออกมาโอบล้อมแผ่นหลังและคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนที่แผลที่ปิดไม่สนิทนั้นจะค่อยๆถูกเยียวยาอีกครั้ง

"ไม่อยากคิดเลยว่าจะต้องใช้วิธีแบบนี้"
ในขณะที่ร่างกายกำลังถูกเยียวยา เซย์ชุนก็จะผ่าแผลออกอย่างรวดเร็วแล้วเธอก็จะเป็นคนดึงลูกธนูออกก่อนที่เวทของฟินิกส์จะรักษาแผลจนปิดสนิท แต่ทว่า..
"การทำให้ร่างกายได้รับความเจ็บปวดเรื่อยๆในขณะที่แผลกำลังถูกเยียวยา แบบนี้มันทรมาณยิ่งกว่าตายเสียอีก"


ดวงตาสีนิลมองลูกธนูที่ฝังลงบนเนื้อเนียนอย่างกลุ้มใจพลางใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดคราบเลือดบนแผ่นหลังเล็กอย่างเบามือ


"ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน" โคเอนพูดก่อนจะล็อคลำตัวของอาลีให้แน่นขึ้นอีกเพื่อให้เซย์ชุนและฮาคุเอย์ทำงานได้สะดวก พลางนึกถึงธนูดอกแรกที่เขาดึงออก แม้มันจะปักอยู่ที่ไหล่ก็ตามแต่หลังจากที่ดึงออกแล้วอาลีก็แทบจะทนรับไม่ไหว หากตอนนั้นใช้ฟินิกซ์ช้าไปนิดเดียวล่ะก็ เขาไม่อยากจะคิดเลย...

มือเรียวของแม่ทัพพิชิตอุดรวางผ้าลงบนภาชนะใส่น้ำอุ่น ก่อนจะขยับให้เซย์ชุนแทรกตัวเข้ามา ดวงตาสีนิลมองไปยังแผ่นหลังที่สั่นน้อยๆพลางคิดสฉงนสงสัย เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ทนรับธนูถึงสามดอกโดยที่ไม่ปริปากร้องเสียงใดๆออกมาได้ยังไงกัน? และที่น่าสงสัยไปกว่านั้นคือ ธนูทุกลูกยิงผ่านจุดสำคัญไปอย่างเฉียดฉิวราวกับจงใจยังไงยังงั้น

"จะเริ่มแล้วนะขอรับ"
ชายหนุ่มร่างเล็กขยับข้อมืออย่างคล่องแคล่ว กรีดมีดลงบนแผ่นหลังเนียนเพื่อเปิดปากแผลแต่ขณะเดียวกันนั้นเองเวทของฟินิกซ์ก็ค่อยๆปิดปากแผลที่เขาพึ่งกรีดไปจนเขาต้องกดมีดลงไปบนเนื้อสีแดงสดที่กำลังสมานอีกครั้ง

"อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกก"


โคเอนกอดร่างในอ้อมแขนแน่นเมื่ออาลีเริ่มที่จะดิ้นแรงขึ้น ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเล็บของอาลีจิกทึ้งลงมาบนหลังด้วยแรงที่ราวกับจะฉีกกระชากแผ่นหลังของเขาให้เป็นเศษเนื้อแต่ทว่าความเจ็บปวดนั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาคลายอ้อมแขนออกเลยแม้แต่น้อย


“ถ้าไม่กรีดให้แผลเปิดในทีเดียวล่ะก็..”ฮาคุเอย์หันไปพูดกับเซย์ชุนหน้าซีด เมื่อผู้ติดตามของเขากำลังลงมีดกรีดลงบนเนื้อเหวอะที่คอยจะสมานติดกันซ้ำไปซ้ำมา จนเสียงหวีดร้องเจียนคลั่งนั้นแหบแห้ง


เซย์ชุนกัดฟันกดมีดลงไปสุดแรงแล่เนื้อเฉือนหนังรอบก้านธนูออกเพื่อที่แผลจะสมานติดกันช้าลง ก่อนโคเอนจะส่งสายตาไปหาหญิงสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่อีกฝั่งโดยพลัน


"ดึงเร็ว!!!!!"

เสียงกรีดร้องอย่างทรมาณจนเส้นเสียงแหบแห้งนั้นทำให้ฮาคุเอย์รู้สึกสงสารจับใจ ก่อนจะกลั้นใจดึงลูกธนูที่ปักแน่นออกมาสุดแรง ทันทีที่ลูกธนูถูกดึงออกแผลเหวอะบนแผ่นหลังที่สั่นเกร็งนั้นก็ค่อยๆสมานไม่ทิ้งแม้แต่รอยแผลเป็นหรือรอยบาดใดๆ หลงเหลือไว้เพียงคราบเลือดที่เลอะไปทั้งเตียงและแขนเสื้อของเธอที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

โคเอนคลายอ้อมแขนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กหอบหายใจแรงก่อนจะประคองใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อและน้ำตาขึ้นมาให้ได้สูดอากาศหายใจ
"เก่งมากอาลี อดทนได้ดีมาก"


“จะ เจ็บ ฮึก..มะ ไม่ไหว แล้ว”น้ำเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนราวกับจะอ้อนวอนขอให้หยุดการกระทำนั้น


ใบหน้าหวานที่ชุ่มไปด้วยหยดน้ำตาทำได้เพียงผ่อนลมหายใจร้อนลงบนแผงอกกว้าง โคเอนจึงดึงแขนข้างหนึ่งที่เกาะหลังของเขาแน่นมาไว้ข้างหน้าก่อนจะเกาะกุมมือที่สั่นไร้เรี่ยวแรงเอาไว้ ในระหว่างที่ฮาคุเอย์กำลังเช็ดคราบเลือดที่เปียกปอนบนแผ่นหลังนั่นอีกครั้ง


“อีกแค่ดอกเดียวเท่านั้น..” มือใหญ่ค่อยๆจับเส้นผมสีทองชื้นเหงื่อที่ปิดบังใบหน้าด้านข้างขึ้นมาทัดใบหูน่ารักอย่างเบามือ ก่อนจะลูบปลอบประโลมศีรษะที่อิงอ้อมอกของตนให้ร่างกายที่บิดเกร็งผ่อนคลายลงบ้างแม้เพียงเล็กน้อย รอเวลาให้เซย์ชุนเตรียมการผ่าแผลครั้งต่อไปเสร็จ


“ไม่..ไม่เอาแล้ว...คะโคเอน...ได้โปรด..” น้ำเสียงขาดห้วงเว้าวอนทั้งน้ำตาอย่างน่าสงสาร สำหรับความเจ็บปวดที่ถูกยัดเยียดลงบนแผ่นหลังนั้นแล้ว ความตายก็กลับกลายเป็นเรื่องหอมหวาน


“ท่านโคเอน ครั้งนี้หยุดใช้ฟินิกส์ก่อนไม่ได้จริงๆหรือขอรับ” หนุ่มน้อยหันไปถามด้วยสีหน้าจริงจังปนสงสาร เมื่อเห็นลูกธนูดอกสุดท้ายที่ปักหลังอยู่ มันหักจนแทบจะไม่เหลือก้านให้จับดึง


คนที่ถูกถามก้มมองใบหน้าที่หายใจหอบสะอื้นน้ำตาอย่างทรมาณ ใช่ว่าเขาไม่อยากทำหรอกนะ แต่ทำไม่ได้ต่างหาก


โคเอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกอดรัดร่างบางที่สะอื้นอยู่ในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นจนร่างกายร้อนที่แบ่งปันไออุ่นซึ่งกันและกันนั้นแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว


“ต่อเลย”


สิ้นเสียง ชายหนุ่มผู้ติดตามตัวเล็กก็กดมีดลงบนผิวหนังนั้นให้ลึกกว่าปรกติอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เพื่อที่จะเปิดแผลให้ใหญ่ขึ้นในทีเดียวก่อนที่ฟินิกซ์จะเยียวยาบาดแผลที่เขากรีดจนปิดสนิท ท่ามกลางเสียงร้องครวญแทบจะสิ้นสติ


อาลีกุมมือใหญ่ของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น จนโคเอนต้องนิ่วหน้าด้วยแรงนั้นที่เหมือนจะบดกระดูกและข้อนิ้วของเขาให้แตกละเอียด
“อดทนไว้นะ! อีกแค่นิดเดียว…”

เมื่อหนังและเนื้อรอบๆบาดแผลถูกเปิดกว้างขึ้น ฮาคุเอย์ก็ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในบาดแผลที่ถูกสมานปิดทีละนิด จนคนที่เจ็บเจียนคลั่งผวาฝังเขี้ยวจมลงบนไหล่อันเป็นที่พิงกายจนเลือดไหลซึม


“อั่ก..”


ดวงตาสีนิลคู่งามหันมองใบหน้าที่พยายามทำเป็นไม่แยแสต่อความเจ็บปวดนั้นของโคเอนอย่างตกใจ ก่อนรวบรวมแรงฮึดดึงลูกธนูออกมาสุดกำลังแขน!


“ฮ่ะ..ฮึก…”


มือเรียวสวยวางลูกศรที่ติดเศษเนื้อลงก่อนจะใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า เช่นเดียวกับผู้ติดตามตัวเล็กที่กดดันเสียจนมือเกร็งสั่นท่ามกลางบรรยากาศที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


โคเอนกระชับร่างในอ้อมอกเข้ามาอีกครั้งกอดร่างที่เปียกปอนไปด้วยเหงื่อและน้ำตาก่อนฝังใบหน้าคมลงบนบ่าเล็กๆอย่างเหนื่อยล้ากับการใช้มะโก่ยจนใกล้ถึงขีดจำกัด


“ไม่เป็นไรแล้ว..”
เสียงทุ้มเอ่ยบางๆก่อนเวทมนต์ของฟินิกซ์จะพลันหายลับไป ทิ้งให้เซย์ชุนและฮาคุเอย์นั่งหอบเหนื่อย แม้การรักษาจะไม่ได้กินเวลานานก็ตาม


“สะ สำเร็จแล้วขอรับ!”


หญิงสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบผ้าอีกผืนขึ้นมาเพื่อจะช่วยทำความสะอาด
“ท่านโคเอนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”


“ไม่เป็นไร..ขอบใจมากนะฮาคุเอย์ ที่เหลือข้าจัดการเอง”


ฮาคุเอย์กระพริบตาปริบๆ เช่นเดียวกับเซย์ชุนที่ทำสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง


‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายโคเอนกัน!?’


“งั้นข้าจะไปเปลี่ยนผ้ากับน้ำเช็ดตัว เซย์ชุนเจ้าก็เก็บของกับผ้าที่เปื้อนตามข้ามาด้วยล่ะ”
ฮาคุเอย์กระพริบตาส่งสัญญาณบอกผู้ผิดตามที่ทำสีหน้าอึ้ง ก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ องค์ชายโคเอนและมือขวาที่กำลังกอดกันกลมอยู่กันตามลำพัง

.

.

.


“เจ้าโง่อาลี..รู้มั้ยว่างบหลวงมันเบิกยาก ถ้าแกตายฉันจะแบกหน้าไปของบจากโคเมย์ยังไง”


คนในอ้อมแขนแอบทำแก้มป่องกับคำพูดที่ดูไม่แยแสตัวเขาของโคเอน ทั้งๆที่กอดเขาเอาไว้แน่นขนาดนี้แท้ๆ…


“องค์ชายลำดับหนึ่ง ไม่มีเงินทำศพลูกน้องตัวเองมันไม่ดูทุเรศไปหน่อยหรอ…”

“หึ..แกนี่มันจริงๆเลย” ใบหน้าหล่อคมคลี่ยิ้มออกมาหลังจากที่เสียงแหบแห้งดังขึ้นอู้อี้ๆในอ้อมแขน ก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาบางลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

“กลับบ้านกันเถอะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น