วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] GOLDEN FAIRY (โคเอน x อาลีบาบา) Chapter 1




ตั้งแต่จำความได้
.
.

ผมอาศัยอยู่บนหอคอยแห่งนี้...


ที่ๆกำแพงเต็มไปด้วยหนังสือ หลังคาเป็นโดมโปร่งมองเห็นท้องฟ้า ก้อนเมฆขนาดเล็กลอยไปมา และระบบนิเวศน์ขนาดเล็กเหมือนกับสวนในขวด ชั้นล่างสุดมีต้นสมุนไพรและต้นพอลพลักที่ออกผลสีรุ้งวันล่ะ5ผล แต่ละผลมีรสชาติที่แตกต่างหมุนเวียนกันไปหลากหลายแบบ

กิจวัตรประจำวันของผมแล้วนอกจากทำความสะอาดหอสมุด ปีนป่ายและอ่านหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนี้แล้ว ก็มีการนั่งลุ้นว่าวันนี้ผลพอลพลักจะมีรสชาติแบบไหน 
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมถูกขังอยู่ที่นี่นั่นก็เพราะผมเป็นโอเมก้า...



ความจริงแล้วการเป็นโอเมก้ามันไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรเลย ถ้าหากเป็นมนุษย์น่ะ
พวกเขาจะถูกต้อนรับเป็นอย่างดีในอาณาจักรของกุยและเอลฟ์ แต่ถ้าโอเมก้าเกิดขึ้นในเผ่าที่สืบสายเลือดของเทพผู้สร้างแล้วล่ะก็ มันคือความอัปยศดีๆนี่เอง 

ยิ่งเป็นภูติสีทองที่สืบทอดวิญญาณของเทพธิดาลาชิน่าอันเป็นที่รักของทุกสรรพสิ่งบนโลกแล้ว การที่สายเลือดปนเปื้อนกับเผ่าพันธุ์อื่นถือเป็นเรื่องไม่อาจให้อภัยได้ และนั่นเป็นเหตุให้ท่านพ่อหรือพระราชาองค์ก่อนนำผมมาไว้ในที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอย่างลับๆ สร้างหอคอยเวทมนต์เพื่อเก็บรักษาผมให้พ้นจากภัยอันตราย คนที่รู้อยู่ถึงการมีตัวตนของผมนอกจากท่านพ่อแล้วจึงมีแค่ท่านแม่ทัพบัลคาร์กคนสนิทของท่านพ่อเท่านั้น ในทุกๆเดือน บัลคาร์กจะเข้ามาที่นี่เพื่อส่งยาระงับฤดู เรียกง่ายๆมันก็คือยาสำหรับคุมกำเนิดและเลื่อนฤดูผสมพันธุ์ เพื่อที่ผมจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมาณกับอาการที่ร่างกายร้อนจนโอเวอร์ฮีตและสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป ซึ่งตอนนี้ผมก็เริ่มเรียนรู้ที่จะผลิตยาเองได้แล้ว ถ้าอยากได้ต้นไม้ชนิดไหน หรือขาดเหลืออะไร มันก็จะงอกออกมาให้ผมเองจากพื้นหอคอยชั้นล่างสุดที่เป็นพื้นดิน ก็นะเทพธิดาเป็นที่รักของโลกนี่นา.. 

มันก็เลยทำให้ผมมียาจำนวนเหลือเฟือ พอที่จะทำให้บัลคาร์กไม่ต้องมาที่นี่อีก3ปีได้ แต่ผมไม่ได้บอกเขาไปหรอกนะ ก็บัลคาร์กน่ะเป็นคนเดียวที่ผมคุยได้นอกจากต้นไม้ชั้นล่างสุดของหอคอย เขามักจะเล่าถึงเรื่องของโลกภายนอกและการผจญภัยที่ผมได้แต่
เฝ้าฝันถึง..

"ถ้าพวกเรามีปีกเหมือนภูติตนอื่นๆก็ดีสิ"
ผมถอนหายใจขณะนอนกลิ้งอยู่บนก้อนเมฆเล็กๆที่ลอนวนไปวนมา

ใช่แล้วภูติสีทองจัดเป็นภูติขนาดใหญ่ก็จริง แต่ก็อ่อนแอและอายุสั้นที่สุดในบรรดาภูติขนาดใหญ่ทั้งหมด เพราะพวกเรานั้นไม่มีปีก.. ปีกของภูตินั้นยิ่งสว่างไสวมากเท่าไหร่ภูติก็จะยิ่งแข็งแกร่งและอายุยืนมากเท่านั้น แต่ผมเองก็เคยได้ยินมาจากบัลคาร์กว่าเมื่อก่อนพวกเรานั้นมีปีกที่สว่างไสวยิ่งกว่าแสงดาวนับร้อยมารวมกันซะอีก 

.




.




.

เคยมีตำนานของเพลลูมกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งก่อนเทพธิดาในวัยเยาว์ได้ตกหลุมรักกับวิหคเพลิง เมื่อเทพลามุชบิดาของเทพธิดาล่วงรู้เข้า จึงจับเธอขังเอาไว้ในหอคอยห่างไกลอีกฟากหนึ่งของดวงดาวที่ที่วิหคเพลิงจะไม่สามารถตามมาถึง

ภูติสีทองข้ารองบาทอันซื่อสัตย์ของเทพธิดาได้รู้สึกสงสารเทพธิดาผู้โศกเศร้า จึงได้ช่วยเธอหลบหนีออกจากหอคอย พาเทพธิดาบินข้ามผ่านหมู่ดาวและท้องฟ้าสามสี เพื่อให้คู่รักทั้งสองได้พบกันในที่สุด แต่ถึงกระนั้นเทพลามุชก็ยังคงไม่อาจยอมรับให้ลูกสาวคนโปรดตกไปเป็นเจ้าสาวของเทพอสูรวิหคเพลิงได้ ความโกรธเกรี้ยวของลามุชจึงก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ เทพทั้ง5ก่อสงครามอันยาวนาน ก่อนจะจบลงด้วยความปราชัยของวิหคเพลิงที่ถูกช่วงชิงหัวใจแห่งความอมตะ และภูติสีทองที่สูญเสียปีกอันเรืองรองไป 

ครานั้นเทพธิดาลาชิน่าได้กอดร่างของวิหคเพลิงที่สิ้นแสงและร่ำไห้จนน้ำตาได้กลายเป็นมหาสมุทรลาเมช น้ำตาที่หยดลงบนขนปีกของวิหคเพลิงแต่ล่ะหยดนั้นได้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า 'กุย' ก่อนร่างของเทพธิดาแตกกระจายเป็นลำแสงที่หมุนเวียนไปในกระแสลมและกำเนิดเป็น 'ภูติ' ในที่สุด
และก่อนที่ดวงวิญญาณจะแตกดับไป ภูติสีทองผู้ภักดีได้นำดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเทพธิดาลาชิน่ามาเก็บไว้เพื่อรอวันที่จะโชคชะตาจะหมุนเวียนให้เทพธิดากลับมาพบกับรักของนางอีกครั้ง 

ส่วนเทพลามุชที่โศกเศร้าก็ได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความงดงามขึ้นมาต่างหน้าลูกสาวที่ได้จากไป แต่ก็ไม่อาจชดเชยความผิดที่อยู่ในใจของตนได้ จึงได้หลับไหลและหลอมรวมไปกับโลก พร้อมกับเทพองค์อื่นๆ และต่อมาอีกไม่นานสิ่งมีชีวิตนั้นก็ถูกเรียกขนานนามว่า 'เอลฟ์'

มันเป็นนิทานก่อนนอนพร้อมภาพสีประกอบที่เก็บอยู่บนหัวเตียงนอนของผมเอง ความจริงก็มีแบบนิยายที่ผมเขียนเองจากปากกาขนนกกับหมึกที่เคยได้มาจากบัลคาร์ก ช่วงหลังๆใช้สีจากเบอร์รี่ป่าแทนเพราะหมึกหมด 

"เฮ้อ~"
ผมบิดขี้เกียจก่อนจะกระโดดลงมาจากก้อนเมฆชั้นบนสุดที่ลอยไปลอยมา โดยที่ร่างกายค่อยๆร่อนลงอย่างช้าๆเหมือนละอองเกสรดอกไม้ที่ปลิวว่อนในอากาศ ก่อนเท้าจะสัมผัสผิวของหมวกเห็ดยักษ์ที่เรืองแสงสีฟ้าอย่างนุ่มนวล

ต้นพอลพลักค่อยๆโน้มกิ่งลงมา ก่อนที่ใกล้ๆกันนั้นจะมีดอกไม้ดอกใหญ่รูปร่างเหมือนถ้วยขนาดใหญ่ที่ด้านในเต็มไปด้วยน้ำผลิบานขึ้น 

ผมเอาเส้นผมที่ยาวลากพื้นระโยงระยางเกี่ยวกับกิ่งของต้นพอลพลักที่โน้มลงมา ก่อนจะค่อยๆถอดชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีขาวออก ความจริงแล้วมันเหมือนกับผ้าที่เอามาเย็บๆจับกันมั่วๆซะมากกว่า บางทีบัลคาร์กก็เอาเสื้อกระโปรงสวยๆมาให้ผม แต่ผมคิดว่ามันสวยเกินกว่าจะเอามาใส่เล่นทุกวันน่ะสิ เลยคิดว่าจะใส่มันเฉพาะวันที่บัลคาร์กมาดีกว่า


ผมใช้ปลายเท้าแตะลงเบาๆบนผิวน้ำ ก่อนจะค่อยหย่อนตัวลงไปแช่ในอ่างอันอ่อนนุ่มอย่างสบายใจ

"น้ำวันนี้อุ่นดีจัง..พรุ่งนี้ก็ขอแบบนี้อีกได้รึเปล่า"

เกสรที่โชยกลิ่นหอมจู่ๆก็ลอยฟุ้งว่อนในอ่างน้ำอุ่นที่สงบนิ่งราวกับตอบรับคำของภูติสีทองผู้โดดเดี่ยว

"ฮ่ะๆ ขอบใจนะ"

กิ่งของต้นพอลลักในบริเวณที่มีเส้นผมสีทองเกี่ยวระโยงระยางผลิดอกไม้ดอกเล็กๆสีเงินออกมา ก่อนจะค่อยๆสั่นไหวจนเกสรสีทองระยิบติดลงบนเส้นผมสีทองยาวสยาย กิ่งเล็กๆอันอ่อนนุ่มค่อยชอนไชไปตามเส้นผมอย่างอ่อนโยน

"สระผมอีกแล้วหรอ..ข้าคิดว่าสระไปเมื่อสามวันก่อนวันนี้ไม่ต้องสระก็ได้ซะอีก"

พอสิ้นเสียงพูดกิ่งและใบเล็กๆก็เลื้อยเข้ามานวดหนังศีรษะอย่างนิ่มนวล

"ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกัน"

ใบและกิ่งของต้นพอลพลักสั่นไหวเล็กน้อยราวกับกำลังพูดคุย ผลสีรุ้งของมันถูกหยิบยื่นให้จากกิ่งที่เลื้อยลงมาบอกถึงเวลาอาหารมื้อเย็น ก่อนที่มือเรียวสวยจะปลิดมันออกมาแล้วค่อยๆกัดทีละนิดขณะที่กำลังแช่อ่างน่ำอุ่นอย่างสบายอารมณ์


"ข้าเองก็อยากจะเห็นหน้าตาของอาหารจริงๆบ้างจัง" 
ก้อมป่องเคี้ยวเจ้าผลไม้ตุ่ยๆ ขณะอาบน้ำไปพลาง ก่อนที่ใบของต้นพอลพลักจะสั่นไหวอีกครั้ง

"อ่ะ ข้าไม่ได้หมายความว่าผลของเจ้ามันไม่อร่อยหรอกนะ แต่เมื่อวันก่อนข้าเจอหนังสือเกี่ยวกับอาหารของมนุษย์ที่กำแพงฝั่งเหนือล่ะ มันคือการที่เอาวัตถุดิบหลายๆอย่างมาใส่รวมกัน แล้วก็ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ปิ้ง อบ ย่าง ทอด ตุ๋น ต้ม ยังไงล่ะ"

"โลกข้างนอกมีอะไรที่น่าสนใจมากเลยนะ ข้าเองก็อยากออกไปเห็นสิ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือด้วยตาตัวเองบ้างจัง"
แขนเล็กบอบบางยื่นออกไปจนสุดก่อนจะบิดขี้เกียจอย่างสบายตัว 

เหล่ากิ่งอ่อนที่ชอนไชไปตามเส้นผมเองก็ค่อยถอนร่นออกมาอย่างช้าๆ ก่อนขาเรียวสวยที่มีหยดน้ำเกาะพราวจะก้าวออกมาจากอ่างน้ำ มือเปียกชุ่มเอื้อมหยิบเสื้อคลุมสีขาวพริ้วบางที่แขวนเอาไว้ตรงกิ่งไม้ใกล้ๆขึ้นมาสวม 
ผ้าบางๆรัดแนบไปตามสัดส่วนและผิวที่เปียกน้ำ หาได้ปกปิดสิ่งใดบนเรือนร่างอันงดงามไม่ ทั้งยอดอกสีเชอร์รี่น่าขบกัดตัดกับผิวเนียนที่ราวกับกลีบดอกตูมน่าทนุถนอมก็ไม่อาจซ่อนภายใต้ผ้าคลุมบางโปร่งได้ เช่นเดียวกันกับรอยประทับสีคลั่งรูปร่างแปลกตา
กลางแผ่นอกราบเรียบ

ร่างกายเบาหวิวกระโดดไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ราวกับผีเสื้อปีกบางกำลังโบยบิน ก่อนปลายเท้าอันเบาราวขนนกจะแตะถึงยอดไม้กิ่งของต้น ยอดไม้ก็ยืดขึ้นจนแตะถึงระเบียงชั้นบนสุด ซึ่งเป็นระเบียงยื่นออกจากกำแพงหอคอยเป็นวงกลมเหมือนโดนัท เว้นช่วงตรงกลางเป็นรูให้แสงจากด้านบนส่องลงมาถึงชั้นล่างสุด มีเพดานเป็นกระจกใสมองเห็นท้องฟ้าสีส้มในยามเย็น เป็นชั้นโล่งว่างที่พักพิงของภูติไร้ปีก ที่มีเครื่องเรือนเพียงเล็กน้อยอย่าง เตียงไม้แบบมีหลังคา โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า และชั้นเล็กๆที่เก็บถ้วยชามแล้วที่เหลือเป็นบรรดาของกระจุกกระจิกที่บัลคาร์กนำมาให้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นของเล่นเด็ก ตั้งแต่ดาบไม้อันเล็กๆ ไปจนถึงบ้านตุ๊กตาหลังใหญ่

เท้าคู่เล็กเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนอุ่นๆที่รับแสงอาทิตย์ตลอดทั้งวันก่อนจะถอดเสื้อคลุมอาบน้ำเปียกแฉะแขวนเอาไว้บนกิ่งไม้ทู่ๆที่ยื่นออกมาจากกำแพง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยชุดกระโปรงผ้าบางเปิดแผ่นหลัง ชายกระโปรงยาวลากพื้นแหวกต้นขา และชุดนุ่งน้อยห่มน้อย 

ภูตสีทองยืนครุ่นคิดอยู่ซักพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจหยิบชุดที่ปกปิดเนื้อหนังน้อยที่สุดเป็นชุดนอน ชุดผ้าสีเขียวอ่อนบางเบาราวกับปีกของแมลงปอไม่ต่างจากเสื้อคลุมเปียกชุ่มที่ใส่เมื่อครู่นี้ อีกทั้งยังแหวกให้เห็นแผ่นอกราบเรียบ 

ดวงตาสีทองสุกปลั่งมองเงาของตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างพึงพอใจ ก่อนจะนั่งลงแปลงผมที่ยาวเป็นสองเท่าตัวของส่วนสูงตนเองอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่ดวงตะวันค่อยๆลับขอบฟ้า ท้องฟ้าจากสีส้มแปรเปลี่ยนเป็นสีของยามราตรีและดอกมูนโรสที่เลื้อยพันรอบๆโต๊ะเครื่องแป้งและเตียงผลิบานเรืองแสงสีขาวนวลสลัวให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด ภูติสีทองผู้เปล่าเปลี่ยวก็แปลงผมเสร็จพอดี 


เพราะกฎห้ามนำของมีคมทุกชนิดเข้ามาในนี้ กรรไกรก็เลยกลายเป็นของต้องห้ามไปด้วย 
"เฮ้อ~"

มือเรียวๆลูบสัญลักษณ์กลางหน้าอกอย่างอดคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ 

'พันธะชั่วนิรันดร์'

มันคือพันธสัญญาชนิดหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่จะใช้ในการผูกคำสาบานที่ไม่อาจลบล้างได้ เจ้าของตราบนหน้าอกนี้ก็คือผู้ที่ผมได้กล่าวคำสาบานเอาไว้ มันเป็นคำสาบานบางอย่างที่ผมได้สาบานเอาไว้ต่อท่านพ่อก่อนที่จะเข้ามาในหอคอยนี้

คำสาบานที่ตัวผมจำไม่ได้แม้แต่น้อย...
ทั้งคำสาบาน ทั้งชีวิตของผมก่อนที่จะอายุ13ปี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น