วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] GOLDEN FAIRY (โคเอน x อาลีบาบา) Chapter 14



คนโกหกจะต้องถูกขังในหอคอยตลอดไป
จงรีบทิ้งรองเท้าแก้วไปโดยไว
ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้าย





"นัยน์ตาของเจ้ามีประกายสีม่วงงดงามมาก"


เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มมองเจ้าตุ๊กตาหน้าตาละม้ายคล้ายเต้าหู้หลอดมีเขาหนึ่งเขา กับใบไม้สองใบแปะอยู่ข้างหลังดูเหมือนปีกเล็กๆก่อนจะกระพริบตาปริบๆ

"นี่มันของเล่นอะไรกัน"
เด็กหนุ่มหยิบเจ้าตัวตุ๊กตาพูดได้ขึ้นมา ก่อนที่มันจะดิ้นหลุดมือตีลังกาสามตลบกลางอากาศแล้วหยุดยืนอยู่บนป้ายหลุมศพตรงหน้าเขา

"เห็นแบบนี้แต่เมื่อก่อนข้าน่ะเป็นถึงเทพหนุ่มรูปงามเชียวนะ"

'เจ้าตุ๊กตาไร้สีหน้านี่น่ะนะ?'
ดวงตาสีแดงทับทิมมองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ แถมมันยังสะกดรอยตามเขามาอีก

"ว่าแต่เด็กน้อยอย่างเจ้าเถอะ ไม่เตรียมตัวเดินทางไปโลกใหม่รึ? ทุกคนเขาเตรียมตัวอพยพกันหมดแล้วนะ เดี๋ยวก็โดนทิ้งหรอก"

"ข้าอยากจะมาไหว้หลุมศพก่อน"
เด็กชายผมแดงที่ดูโตเกินอายุตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบๆ


เจ้าตุ๊กตาเต้าหู้หลอดก้มลงมองชื่อของวีรชนที่สลักอยู่บนป้ายหินป้ายใหญ่ สองวีรบุรุษชนเผ่ากุยผู้ยิ่งใหญ่เมื่อครั้งอดีต ผู้แบกรับประกายแสงสีทองและม่วงพิสุทธิ์

"ข้าอยากจะเป็นเหมือนกับพวกเขา"
เด็กหนุ่มพูดก่อนจะวางดอกไม้กระดาษลงบนหน้าป้ายหินป้ายใหญ่ ถึงแม้สงครามจะจบลงไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวฮีโร่ทั้งสองคนที่อยู่ในบทกวีก็ยังคงเป็นตำนานเล่าขานจนถึงทุกวันนี้

"ไม่หรอก..ข้าว่าเจ้าเหมือนพวกเขามากเลย"
เจ้าตุ๊กตารูปร่างประหลาดพูดขึ้นก่อนจะเนรมิตดอกไม้กระดาษให้กลายเป็นดอกไม้จริงๆขึ้นมา
"คนหนึ่งเป็นเสือผู้หญิง อีกคนหนึ่งก็เป็นพวกหมกมุ่น พูดแล้วก็คิดถึงเมื่อก่อนแฮะ"

เด็กหนุ่มผมแดงทำหน้าตกใจหันไปมองเจ้าหุ่นกระบอกก๊องแก๊งตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเป็นรอบที่สองของวัน
"เมื่อก่อน!? หรือว่าเจ้าคือ..."

"ใช่ ข้าอาลีบาบาไง"

.

.

.

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ด้ายแห่งโชคชะตาที่พันยุ่งเหยิงนี้


"โคเอน นี่คือองค์ชายอาลีบาบา ถึงจะยังเด็กอยู่ก็เถอะแต่ก็เป็นอวตารของภูติสีทองตนนั้น ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลเขาหน่อย ระหว่างที่ยังพักอยู่ที่เจิดจรัส"  องค์จักรพรรดิแห่งเจิดจรัสหนุ่มร่างสูงสง่าพูดแนะนำเด็กชายตัวเล็กที่เพิ่งเดินทางมาถึง
เป็นเด็กชายผมสีทองที่มีแววตาไร้เดียงสาและรอยยิ้มร่าเริงรับเข้ากับแก้มชมพูน่ารัก ดูผิดกับตุ๊กตาเต้าหู้หลอดเมื่อก่อนนี้ลิบลับ


ในตอนที่เราเจอกันที่เพลลูมครั้งแรก ตัวของเจ้าใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย…
ข้าได้แต่สงสัยว่าเจ้าจะจำเรื่องของเราเมื่อก่อนได้รึเปล่า
ในขณะที่ข้าจำได้แม้กระทั่งคำทักทายแรกที่พวกเราพบกันที่สุสานวันนั้น


และคำทักทายแรกของเจ้าในร่างของเด็กชายตัวเล็ก…
"ประกายสีม่วงในดวงตาเจ้างดงามมากจริงๆ"



    ระหว่างที่พวกเราใช้เวลาร่วมกันในเจิดจรัส แลกเปลี่ยนคำพูดเป็นหมื่น เป็นล้านคำ กับช่วงเวลาแสนสงบสุขบนโลกใบใหม่ ก่อนที่เจ้าจะออกเดินทางต่อ...

พอรู้ตัวอีกทีในช่วงเวลาอันยาวนานของข้าที่เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆโดยปราศจากเจ้า มันก็ทำให้ข้าตกหลุมรักช่วงเวลาอันแสนสั้นที่มีเจ้าอยู่ข้างๆเสียไปแล้ว ทว่า...



'ข้าเป็นแค่ขุนศึก เจ้าเป็นภูติสีทอง
ดูยังไงก็ไม่เข้ากันเสียเลย'


ในนาทีที่ได้รู้ว่าตกหลุมรักเจ้านั้น นั่นคือวินาทีถัดมาที่ข้าต้องตัดใจ


...ในทุกวัน...


ข้าได้รับจดหมายทุกฉบับที่ส่งมาจากแดนไกล เจ้าเดินทางไปทุกแห่งทั่วโลก บอกเล่าทุกเรื่องราวที่เจ้าพานพบ

มันทำให้ทุกวันของข้าต้องเหนื่อยกับการรอคอย
รอคอยจดหมายที่ส่งมาในทุกวัน จนเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจมัน…
หลายครั้งนักที่ข้าเลือกจะโยนจดหมายที่เขียนส่งถึงเจ้าทิ้งลงถังขยะ


จนกระทั่งจดหมายที่เขียนถึงการหมั้นระหว่างเจ้ากับชายหนุ่มรูปงามจากอีกฟากโพ้นทะเลส่งมาถึง ชายคู่หมั้นของเจ้านั้นคือราชาแห่งอณาจักรเล็กๆอันมั่งคั่ง ผู้มีตำแหน่งสูงสุดในสภาโลก เจ้าของปราสาทและพระราชวังอันงดงามท่ามกลางท้องทะเลสีคราม


ในขณะที่ข้าไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่ร่ำรวยล้นฟ้า ไม่มีพระราชวัง ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ มันคงจะดีกว่าหากเจ้าอยู่ในที่ที่เหมาะสมสำหรับเจ้า


.


.


.


...ถ้าข้าถอนหมั้นกับซินแบดเจ้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่มั้ย...

หลังจากที่มีเรื่องทะเลาะไปครั้งนั้น พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกจนกระทั่งไม่กี่อาทิตย์ต่อมาก็มีจดหมายส่งมาว่าอาลีบาบาจะถอนหมั้น พร้อมทั้งบอกว่าจะมาพบเขาทันทีที่ธุระที่บัลแบดจบลง ใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเริงร่า

"ทีนี้พวกเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย?"

"ทางซินเดรียไม่ว่าอะไรงั้นหรอ"

     เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มพลางส่ายหัวไปมาก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงเหมือนเช่นทุกที มันเป็นภาพที่ทำให้หัวใจพองโตขึ้นทุกครั้งที่มอง แต่เพื่อที่จะเป็นคนที่คู่ควรกับรอยยิ้มนั้นมากกว่านี้ แค่นี้มันยังไม่พอหรอก…


"ไม่ว่าจะสงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างเจิดจรัสกับซินเดรียทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหรอก แล้วก็ไม่ทำให้พี่ชายเจ้าต้องเดือดร้อนด้วย"

ดวงตาสีทองเป็นประกายที่เหมือนกับความฝันนั่นมองมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้ม
"เจ้า..ไม่ดีใจหรอ"



"ข้า...ยังไงก็ต้องลบคำครหาพวกนั้น จะไม่ทำให้เจิดจรัสหรือภูติสีทองต้องเสื่อมเสียเกียรติ"

"เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยสอบขึ้นเป็นขุนนางหลังจากที่ปฏิเสธมาตลอดน่ะหรอ?"

"ใช่..ข้าอยากที่จะรับตัวเจ้ามาอย่างถูกต้อง สมเกียรติ เพราะงั้นตอนนี้...."
'ทั้งความอบอุ่นจากฝ่ามือนุ่มชวนถวิลหานี้ มันยังไม่ถึงเวลาหรอก'


มือใหญ่ค่อยๆดึงมือออกจากความอบอุ่นที่เกาะกุมอยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะถูกคว้าเอาไว้อีกครา



"ถ้างั้นวันนี้ทั้งวันเจ้าอยู่กับข้าได้มั้ย ขอร้องล่ะ!"
คนตัวเล็กขึ้นเสียงดังพลางบีบมือคู่ใหญ่ตรงหน้าเอาไว้แน่น ท่าทีของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่จู่ๆก็เปลี่ยนไป ก่อนที่มือเล็กจะค่อยๆคลายออก แววตาสีทองสวยหลุบต่ำลงจนดูเศร้าราวกับหากปล่อยมือไปเสียตรงนี้ ทุกอย่างจะอันตรธานหายไปราวกับเวทมนต์ในยามที่เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน


"หลังจากถอนหมั้นไปก็งจะต้องจัดการกับเรื่องยุ่งยากจนไม่มีเวลา ไหนจะเรื่องของบัลแบดอีก แล้วเจ้าเองก็คงจะไม่ว่างแล้วด้วย...เพราะงั้นอย่างน้อยวันนี้ แค่วันเดียว..."


...วันเดียว…


เป็นวันที่อาลีบาบาเอาแต่พูดเรื่องเมื่อก่อน พูดถึงในตอนที่เจอกันครั้งแรก หรือในตอนที่แอบหนีออกไปเที่ยวนอกวังบ่อยครั้ง เป็นวันที่ไม่มีห่วงหรือภาระอะไรให้ต้องคิดจนปวดหัว ไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งพวกเราเอาไว้ได้อีกแล้ว ราวกับได้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีหน้าที่ภาระมาเป็นกระจกกั้นระหว่างสองมือนั้น ไม่ให้มากอบกุมกัน ไม่มีความรู้สึกผิดบาปที่เป็นกำแพงขวางกั้นกายของพวกเขาทั้งสอง  ไม่มีอีกแล้ว...



'วันที่สมบูรณ์แบบที่สุด'


เอวบางบรรเลงบทเพลงรักหฤหรรษ์บนตัวของผู้เป็นที่รัก ในขณะที่ริมฝีปากทั้งสองแลกเปลี่ยนไออุ่นซึ่งกันและกันแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่าครั้งไหน ฝ่ามือสากสัมผัสคลึงเคล้นสะโพกมนและเนื้อผิวนวลเนียนราวกับเครื่องเซรามิกนั้นด้วยแรงปรารถนาอันไร้ซึ่งรู้สึกความผิดบาป


ช่วงเวลาที่กายของพวกเราทั้งสองได้สอดประสานกัน
ได้แต่อฐิษฐานให้เวลาไม่กี่ชั่วยามนี้ แปรเปลี่ยนเป็นนิจนิรันดร์


ให้เราได้นอนอิงแอบกันไปทั้งแบบนี้  ให้ลมหายใจร้อนได้รินรดลงบนผิวหนังชื้นเหงื่อ ให้เสียงหัวใจเต้นสอดประสานกันจนกว่าเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลงไปพร้อมกัน...



"ตัวเจ้าหนักขึ้นรึเปล่า?"


คนตัวเล็กในอ้อมกอดหน้าแดงหลังจากที่ได้ฟังคำถามนั้น
"สะ เสียมารยาท"


"จริงๆนะ ข้ารู้สึกว่ามันหนักขึ้นกว่าเมื่อก่อน..."


อาลีบาบาปัดมือคู่ใหญ่ที่เข้ามาแตะโดนเอวออกไปทันที ก่อนจะยันตัวขึ้นจากอ้อมอกเปลือยเปล่าที่นอนอิงแอบกัน มือเล็กคว้าเสื้อคลุมมาห่มร่างไร้อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยแดงจ้ำแล้วลุกออกจากเตียงไปโดยทันที


"เดี๋ยวสิ! อาลีบาบา"

"อุก..อ่อก…"


"อาลีบาบา?"


คนตัวสูงยืนมองร่างเล็กที่กำลังหน้าซีดเซียวเกาะกระโถนมือสั่น ก่อนจะเข้าไปช่วยลูบหลังอย่างเป็นห่วง พร้อมกับหาแก้วน้ำให้ ทั้งที่ปรกติก็แข็งแรงดีไม่เคยป่วยแท้ๆ
"นี่เจ้าไม่สบายหรอ?"


"อือ.."
มือเล็กๆรับแก้วน้ำมาบ้วนปากแล้วพยักหน้าเบาๆ
"ช่วงนี้มีแต่เรื่องยุ่งๆไม่ได้ค่อยได้พักผ่อน สุขภาพก็เลยไม่ค่อยดีน่ะ"

"งั้นคืนนี้เจ้าก็ควรจะพักผ่อน" มือใหญ่ค่อยๆประคองร่างบางที่ดูอ่อนแรงให้ลุกขึ้นมาก่อนจะช้อนตัวอุ้มไปวางนอนลงบนเตียง

พรุ่งนี้อาลีบาบาก็ต้องกลับบัลแบดแล้ว จะให้เดินทางทั้งๆที่อ่อนเพลียก็เห็นจะไม่ดีนัก ผมคิดก่อนที่จะขยับไปนอนข้างๆกัน ก่อนนที่ร่างบางจะขยับขึ้นมาหนุนบนไหล่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

"เจ้ารับข้าไปตอนนี้ได้เลยรึเปล่า?"

"ข้าจะไปรับเจ้าแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก… ให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ อีกอย่างปลายเดือนนี้ข้าก็จะได้รับตำแหน่งใหม่แล้วด้วยนะ"

"งะ..งั้นหรอ"

น้ำเสียงสั่น ที่พยายามข่มกลั้นบางอย่างเอาไว้ของอาลีบาบา  ข้าไม่อาจเข้าใจมันได้เลยในตอนนั้น คิดถึงเพียงแต่วันที่เราจะได้อยู่ร่วมกันในอีกไม่นาน และในขณะที่ผมคิดว่าการกระทำของคนในอ้อมกอดมันช่างเต็มไปด้วยความดื้อดึง ราวกับเด็กเอาแต่ใจที่ดูเหมือนจะทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างไปได้ทุกเมื่อ



ข้ากลับไม่ได้คิดถึงเหตุผลของมันเลย

.


.


.


"โคเอน? ยังอยู่ที่ห้องทำงานอีกหรอ"
จะให้ข้ากินไปก่อนมันก็จะดูน่าเกลียดไปรึเปล่านะ

โมลเซียน่ากระดิกหูพร้อมทั้งทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

"ข้าว่า ข้าไปแอบดูเขาซักหน่อยดีกว่า"
คนตัวเล็กยันตัวขึ้นจากโต๊ะอาหารก่อนจะลุกเดินไปยังห้องทำงานของโคเอนที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักพลางยิ้มน้อยๆด้วยใบหน้าคาดหวัง


'ตอนนี้คงไม่ใช่ว่ากำลังอ่านจดหมายในกล่องนั่นอยู่หรอกนะ'

มือเล็กๆค่อยๆผลักแง้มบานประตูเบาๆมองลอดช่องเล็กๆของบานประตู กวาดตามองหาใบหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนเร้นความอบอุ่นเอาไว้

"อาลีบาบา"

เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆก็ถูกเรียกชื่อขึ้นด้ยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจนหน้าขนลุก หรือว่านี่เขาจะมาขัดจังหวะเวลางานรึเปล่า? สีหน้าเป็นกังวลปนกับแววตารู้สึกผิดเล็กน้อยมองไปยังคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานและโคเมย์ที่ทำสีหน้าไม่ดีอยู่ข้างกัน ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานกว้าง


"ข้ามากวนรึเปล่า?"

"เจ้ามาได้จังหวะพอดีเลย.."
โคเอนลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่เดินเข้ามาหา ภูติสีทองตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้าบานประตูห้องทำงาน ในขณะที่โคเมย์เริ่มจะสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

"ความทรงจำเจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"

อาลีบาบายิ้มออกมาน้อยๆหลังจากที่โดนถาม
"พูดเรื่องอะไรน่ะโคเอน ข้าก็ยังนึกเรื่องเมื่อก่อนไม่ออกเหมือนเดิมนั่นแหละ..."

"เลิกโกหกซักที!"
น้ำเสียงน่ากลัวตะหวาดกร้าวดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนจะคว้าข้อมือบางขึ้นมาบีบไว้แน่นจนคนตัวเล็กครางออกมาเบาๆอย่างรู้สึกเจ็บ

อาลีบาบาขยับถอยเล็กน้อย ใบหน้าหวานชาไปทั่วทั้งใบหน้า มือเล็กๆนั้นสั่นไม่หยุดเมื่อมองเข้าไปยังดวงตาสีทับทิมที่ลุกโชนด้วยไฟแห่งโทสะ ก่อนใบหน้าน่ารักจะบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บเมื่ออยู่ๆก็ถูกบีบแรงขึ้น ราวกับกระดูกจะถูกบดให้แหลกละเอียด


"ท่านพี่..ข้าว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ ใจเย็นๆก่อนเถอะครับ"



"เจ้าโกหกว่าเจ้าถอนหมั้นกับซินแบดแล้ว  โกหกว่าจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ แล้วยังจะโกหกเรื่อง.." คนตัวสูงกัดฟัดกรอด มือคู่ใหญ่บีบแรงขึ้นอีกเกินกว่าที่ภูติสีทองตัวเล็กจะกลั้นเสียงอันเจ็บปวดเอาไว้ได้

"ขะ ข้าไม่รู้ เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!"
ร่างบางตะโกนกลับไป ก่อนจะถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงออกไปมุมห้อง ดวงตาคู่สวยปิดสนิทพร้อมกับเม้มปากรับความเจ็บปวดที่กำลังจะปะทะกับร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บขนาดนั้นเมื่อรู้สึกได้ว่าไหล่และลำตัวที่ควรจะกระแทกกับพื้น กระทบเข้ากับลำตัวของใครบางคนอย่างแรง


"ท่านพี่ใจเย็นก่อนสิครับ!"
โคเมย์รับตัวของพี่สะใภ้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนจะตวาดกลับไปด้วยแววตาที่ไม่ยอมกัน นี่มันไม่ใช่เรื่องปรกติเลยที่โคเมย์จะเถียงพี่ชายกลับไปแบบนี้ ในขณะที่สายตาของโคเอนดูไม่สนใจการกระทำนั้นแม้แต่น้อย

"ตอบข้ามา ต้นอ่อนของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่นเจ้าสร้างมันขึ้นมาได้ยังไง! ตอบข้ามาสิอาลีบาบา!" คนตัวใหญ่เข้ามากระชากข้อมือที่แดงช้ำนั่นอีกครั้งจนร่างผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงของโคเมย์ถอยผงะออกไป




"ต้นไม้นั่นเจ้าสร้างมันขึ้นมาจากอะไร!"



อาลีบาบากัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บปวดที่เล่นริ้วมาตามข้อกระดูกนั่นทำเอาน้ำในดวงตานั้นแทบจะเดือดพล่านกลั่นรินรดออกมาเป็นสาย น้ำเสียงทรมาณตอบกลับไปด้วยสีหน้ารวดร้าวสุดใจ

"ระ ร่างกายของภูติสีทอง"



...ใช่แล้ว ทั้งๆที่เขาควรจะเป็นคนที่สังเกตเห็นความผิดปรกตินี้ก่อนใครแท้ๆ…


กลิ่นจางๆของกุยที่แผ่ซ่านออกมาบางๆนั่น
ที่แท้แล้วมีดของแม่มดแห่งท้องทะเลก็มีไว้เพื่อขั้นตอนนี้เอง



"แค่นั้นหรอ"
น้ำเสียงเย็นดังขึ้นเรียบๆในขณะที่ค่อยๆบีบข้อมือเล็กๆแน่นขึ้น

กร๊อบ


"อ้ากกกก"
เสียงร้องโหยหวนอย่างทรมาณดังตามมาหลังจากเสียงของกรีดร้องของกระดูกข้อมือที่หักคาเงื้อมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ในขณะที่โคเมย์พยายามเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างสองคน แต่พี่ชายของเขาก็ไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อยข้อมือนั่นแม้แต่น้อย มีแต่จะบีบแรงขึ้นอีก


"ท่านพี่พอได้แล้ว! นี่ท่านบ้าไปแล้วรึไง!!"


"วิญ..อึก วะ...วิญญาณ..ฮึก"
น้ำเสียงสั่นตอบพลางสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด


"พี่เอน!! ขอร้องล่ะ! พอได้แล้ว!"
'ท่านจะทำลายมันไปอีกไม่ได้นะ!'


สีหน้าของโคเอนยิ่งดูน่ากลัวขึ้นอีกในทุกคำตอบที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสวยอย่างยากลำบาก ก่อนน้ำเสียงทุ้มต่ำจะเค้นเสียงถามต่อไปอีก


"วิญญาณของใคร"

อาลีบาบาเม้มปากแน่น ดวงตาคู่สวยที่บัดนี้แดงก่ำเช่นเดียวกับเลือดสีแดงสดที่ไหลซึมออกมาจากกลีบปากแดงช้ำ ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแต่อย่างใด


    โคเอนที่บัดนี้ ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะจนมองไม่เห็นซึ่งน้ำตาที่ไหลเปรอะใบหน้าของผู้เป็นที่รัก ไม่เห็นแม้ข้อมือบางที่เขาบีบจนหักคามือ สะบัดข้อมือบางที่ไร้แรงขยับเขยื้อนออกไป พร้อมกับร่างผอมบางของโคเมย์ที่เซถอยไปเล็กน้อย

"เจ้าทำอะไรลงไปอาลีบาบา.. ไม่ละอายใจบ้างหรอ ที่ใช้ร่างกายนี้ทำเรื่องแบบนั้นกับข้าได้หน้าตาเฉย"
น้ำเสียงสั่นเอ่ยขึ้น ในขณะที่หยดน้ำใสค่อยๆหยดไหลลงมาตามสองข้างแก้มช้าๆ ท่ามกลางสีหน้าตกใจของโคเมย์และอาลีบาบา



"คนอย่างเจ้าถูกจองจำอยู่ในหอคอยไปชั่วชีวิตก็ดีอยู่แล้ว"



คำพูดดั่งมีดพันเล่มกรีดลงบนหัวใจของภูติสีทองอย่างช้าๆและเนิ่นนาน ในขณะที่ร่างกายชาไปทั่วทั้งร่าง หัวสมองมึนตื้อจนแทบจะทำดวงตาสีทองสว่างสุกใสนั้นมืดบอด โคเอนก็ผลักประตูออกไปพร้อมกับสยายปีกทะยานออกไปสู่ฟากฟ้าเป็นเส้นแสงตัดราตรีสีน้ำเงินเข้ม ดูราวกับดาวตกสีฟ้าใสหายออกไปไกลลับตา

.


.


.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น