"อาลีบาบาจัง อาลีบาบาจัง!"
เสียงแรกที่ดังกระทบโสตประสาท เป็นเสียงใสกังวาลอันคุ้นหู เสียงที่เขารู้จักเป็นอย่างดี...
คิ้วได้รูปสวยขมวดยุ่งหลังจากที่ได้ยินชื่อของตัวเอง ก่อนเปลือกตาบางจะขยับยุกยิกเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะหลุดจากห้วงนิททรา เช่นเดียวกันกับความเจ็บปวดที่หลับไหลเองก็กำลังตื่นและวิ่งเล่นไปตามกล้ามเนื้อและลำตัว ดวงตาสีทองคำสุกปลั่งมองภาพตรงหน้าด้วยทัศนะที่พร่าเลือนก่อนจะกระพริบตาปรับสายตาให้มองได้ชัดขึ้น
"โคเกียคุ?"
"อาลีบา...เอ้ย อาลีดื่มน้ำก่อนสิ"
โคเกียคุรินน้ำในเหยือกใบสวยก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้คนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างระมัดระวัง
ควาเจ็บแปล๊บๆบริเวณลำตัวนั้นทำให้ชายหนุ่มหน้าหวานไม่อยากที่จะลุกหรือขยับตัวไปไหน อยากจะนอนเป็นง่อยอยู่แบบนี้ไปอีกซักสองวัน แต่พอเห็นแก้วน้ำในมือของโคเกียคุก็ต้องจำยอมต่อความกระหายที่ลุกเป็นไฟแผดเผาคอจนแห้งผาก แขนอันอ่อนล้ายันตัวลุกขึ้นจากเบาะแข็งๆอย่างลำบาก ความจุกแล่นริ้วมารวมกันที่ชายโครงจนใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนจะรับแก้วน้ำจากมือของโคเกียคุแล้วกระดกหมดในรวดเดียวอย่างกระหาย
"นี่ฉันยังไม่ตาย?"
"อื้ม
ตอนแรกฉันเองก็ตกใจมากเลยที่ท่านพี่ฟันเข้าไปที่อาลีจังอย่างเต็มแรงขนาดนั้นน่ะ
แต่โชคดีนะที่เป็นสันดาบ"
โคเกียคุพูดพลางรู้สึกโล่งใจที่เห็นเพื่อนสนิทของเธอไม่ได้เป็นอะไรมากก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง
"แต่ว่าหลังจากการประลองท่านพี่โคเอนก็เหมือนจะช็อคมากเลยน่ะ
ตอนนี้ยังไม่ยอมออกจากห้องหนังสือเลย"
ห๊ะ! ช็อค? คนอย่างโคเอนน่ะนะ? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองทุกครั้งที่ต้องถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง
แต่ดูหน้าโคเกียคุแล้วก็เหมือนจะเป็นกังวลมากซะด้วยสิ
หรือว่าคนอย่างโคเอนจะมุมที่อ่อนไหวเหมือนมนุษย์เขาบ้างเหมือนกัน?
"จะโมลเซียน่าล่ะปลอดภัยดีมั้ย"
อาลีที่พึ่งนึกขึ้นได้หลังจากที่โมลเซียน่าออกจากห้องไม่เมื่อตอนบ่ายเขาก็ไม่ได้เห็นเธออีกเลยจนถึงตอนนี้
"อ่ะ เรื่องนั้น..."
"องค์หญิงโคเกียคุเพคะท่านโคเอนให้ข้ามารายงานท่านว่า หากองค์ชายอาลี ซารูจาฟื้นแล้วให้เข้ามาหาที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ" หลังจากสิ้นเสียงของสาวใช้ โคเกียคุก็พยักหน้ารับก่อนประตูจะปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆห่างออกไป เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มหันกลับมามองหน้าเพื่อนสาวอีกครั้งก่อนจะส่งรอยยิ้มที่มองแล้วสบายใจราวกับคลื่นน้ำอุ่น
"ไม่ต้องห่วงหรอกนะทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร"
.
.
.
. . . ท้องฟ้ายามสนทยาสีส้มตัดกับสีน้ำเงินที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ประดับระยิบระยับราวกับเพชรที่ส่องแสงวูบวาบเหนือท้องฟ้าของบัลแบด ภายใต้เงาของซากปรักหักพังในพระราชวังบัลแบดที่ฉาบย้อมไปด้วยแสงสีส้มแดง ปรากฎเงาที่หน้าสงสัยของคนทั้งสาม...
"ซิน ทำแบบนี้มันจะดีหรอครับ"
ชายหนุ่มผมสีขาวซีดกลืนไปกับสีผิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซุบซิบ ก่อนหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมชะตากรรม มัสรูล หนุ่มเฟอนาริสร่างใหญ่ที่ยังคงไม่ทักท้วงอะไรจนถึงตอนนี้
"ถ้าอยากจะรู้ความจริงก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้น..."ราชาแห่งซินเดรียนั่งยองๆคุ้ยซากเศษไม้และ
กองขี้เถ้าราวกับอาแปะขี่ซาเล้งที่รับซื้อของเก่า
"เขาขนย้ายศพออกไปหมดแล้ว พวกเรามาหากันตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วนะครับ" จาฟาลที่นั่งเอาไม้เขี่ยๆตามกองขี้เถ้าหันกลับมาพูดกับซินแบดที่กำลังขมักเขม่นกับการตามหาอะไรซักอย่าง มัสรูลเองก็เดินเตะกองไม้และสิ่งก่อสร้างที่ไหม้เป็นตอตะโกไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน
"แต่ทุกศพที่เจอมันไม่มีไอ้นั่นนี่นา"ซินแบดละจากกองเศษไม้ตรงหน้าก่อนจะหันไปหาจาฟาลที่แสดงสีหน้าคัดค้านตลอดเวลาด้วยดวงตาเป็นประกาย
"ไอ้นั่น?"
"ภาชนะโลหะยังล่ะ" ซินแบดยิ้มอย่างมีความหวัง "อีกอย่างมันยังเป็นข้อพิสูจน์ได้อีกว่าในจำนวนศพทั้งหมดไม่มีอาลีบาบา นั่นหมายความว่าเราจะสามารถถ่วงเวลาเลื่อนการครองบัลลังก์ของเจ้าอัปหมัดได้ยังไงล่ะ!"
มัสรูลที่กำลังเพลิดเพลิน(?)หันกลับมามองซินแบดที่พูดแผนการของตัวเองออกมาอย่างภาคภูมิใจก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง"แทนที่เราจะมาหาภาชนะโลหะขององค์หญิงที่นี่ ทำไมเราไม่ไปนับจากจำนวนศพว่าอยู่ครบรึเปล่าล่ะ"
"..."
"..."
จาฟาลถอนหายใจก่อนจะโยนกิ่งไม้แห้งๆในมือทิ้ง เอาเป็นว่าตัวเขานั้นเห็นด้วยกับความคิด
ของมัสรูลแล้วกัน
ของมัสรูลแล้วกัน
"จะว่าไปศพที่ขนย้ายออกไปนี่เหมือนจะเอาไปไว้ด้านนอกวังเตรียมจะฝังวันพรุ่งนี้แล้วด้วย
พวกเรารีบไปดูกันเถอะครับ ผมว่าคนอย่างองค์ชายอัปหมัดคงจะไม่รอบคอบขนาดนั้น" ชายร่างเล็กใช้มือจับปลายคางครุ่นคิดประเมินสถานการณ์ โดยที่ราชาแห่งซินเดรียนั้นได้จะนั่งยองๆเก็บเศษหน้าที่แตกเพล้งอยู่บนพื้น
พวกเรารีบไปดูกันเถอะครับ ผมว่าคนอย่างองค์ชายอัปหมัดคงจะไม่รอบคอบขนาดนั้น" ชายร่างเล็กใช้มือจับปลายคางครุ่นคิดประเมินสถานการณ์ โดยที่ราชาแห่งซินเดรียนั้นได้จะนั่งยองๆเก็บเศษหน้าที่แตกเพล้งอยู่บนพื้น
"เอ่อ..นั่นสินะ กำลังจะพูดแบบนี้อยู่พอดีเลย" ซิดแบดลุกขึ้นพรวดจะปัดฝุ่นขี้เถ้าตามตัว ก่อนจะแกล้งทำเป็นเฉไฉเดินนำออกไป ตามหลังด้วยมัสรูลที่เดินตามออกไปอย่างเงียบๆไม่ได้พูดอะไร
ขายาวๆก้าวฉับๆโดยไม่หันไปมองหน้าเลขาคนสนิทที่กำลังส่งสายตาเขม่นมาทางเขา
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงทางออกหลังวัง ทันใดนั้นเองที่สายตาอันกว้างไกลของ
มัสรูลมองเห็นกลุ่มควันไฟสีดำที่ลอยกรุ่นอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับจาฟาลที่ได้กลิ่นของเนื้อไหม้ๆและน้ำมันลอยฉุนกึกจนต้องย่นจมูก
มัสรูลมองเห็นกลุ่มควันไฟสีดำที่ลอยกรุ่นอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับจาฟาลที่ได้กลิ่นของเนื้อไหม้ๆและน้ำมันลอยฉุนกึกจนต้องย่นจมูก
"รีบไปดูเถอะ!"
ซินแบดรีบวิ่งไปยังสถานที่เก็บศพที่อยู่ห่างไม่ไกลนักพร้อมกับจาฟาลและมัสรูลที่วิ่งตามมาติดๆ ไม่นานนักขายาวๆที่วิ่งอย่างสุดฝีเท้าของซินแบดก็มาหยุดอยู่ตรงที่ราบแห่งหนึ่ง ที่มีเพียงสิ่งก่อสร้างอิฐเล็กๆกับหลุมมากมายขุดเรียงรายไว้ และกองไฟที่กำลังลุกโหมกระหน่ำ
"นี่มัน..."จาฟาลถึงกับเอามืออุดจมูกก่อนจะเบนเสายตาออกจากภาพที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า
ถึงแม้เขาจะไม่เคยมีพี่น้อง แต่นี่น่ะหรอคือสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของอัปหมัดและอาลีบาบามันช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน
ซินแบดจ้องมองภาพของศพมากมายที่กองรวมกันเป็นภูเขาซากศพถูกราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาทิ้งอีกทีอย่างสังเวช ถึงแม้การฆ่ากันในหมู่พี่น้องเพื่อยิ่งชิงบัลลังก์กันนั้นจะเป็นเหตุการณ์ปรกติที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ศพของน้องสาวก็ยังเผาราวกับขยะ
ไร้ค่า ดวงตาสีอำพันสะท้อนเปลวไฟที่ลุกโหมกระหน่ำ ภาพของรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กสาวผมสีทองคำสุกสว่างคนเมื่อวานนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวของเขา มันทำให้เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจนั้นเธอต้องทุกข์ทรมาณแค่ไหนกัน
ไร้ค่า ดวงตาสีอำพันสะท้อนเปลวไฟที่ลุกโหมกระหน่ำ ภาพของรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กสาวผมสีทองคำสุกสว่างคนเมื่อวานนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวของเขา มันทำให้เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจนั้นเธอต้องทุกข์ทรมาณแค่ไหนกัน
ไม่ไกลนัก หางตาของมัสรูลมองเห็นเงาของบางอย่างที่ไหวอยู่ใต้ร่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะหันหน้าไปหาซินแบดที่นิ่งสงบจนหน้าแปลกใจ
"มีคนกำลังมองพวกเราอยู่ จะเอายังไงดีครับ"
"ไปลากมันออกมาก" ราชาแห่งซินเดรียพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่
หลงเหลือความขี้เล่นเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
มัสรูลตั้งท่าจะพุ่งตัวจากที่ที่ยืนอยู่ไปยังต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ร่างใหญ่บึกบึนที่ไม่หน้าเชื่อว่าจะพุ่งตัวได้อย่างรวดเร็วจนเกิดลมประทะ พัดเอาชายเสื้อของชายร่างเล็กผมสีเงินซีดที่ยืนอยู่ข้างๆกันให้ปลิวสะบัดราวกับเกิดพายุเช่นเดียวกันกับเศษดินและหินที่ปลิวว่อนในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเสียงร้องของชายปริศนาที่อยู่ด้านหลังต้นไม้ต้นใหญ่ก็ดังขึ้น ก่อนร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินลุ่มลึกราวกับมหาสมุทรจะเดินเข้าไปดูผลงานของมัสรูลขุนพลคนสนิทอย่างเงียบๆพร้อมกับ
จาฟาลที่คอยสังเกตสีหน้าของซินแบบอย่างเป็นกังวล
จาฟาลที่คอยสังเกตสีหน้าของซินแบบอย่างเป็นกังวล
แววตาของซินแบดฉาบย้อมด้วยความโกรธที่แผดเผาอยู่ในดวงตาสีเอาพันสวยคู่นั้นอย่างสงบนิ่ง
สีหน้านั้นที่เขานั้นไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน...
สีหน้านั้นที่เขานั้นไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน...
"ซิน..."
ชายปริศนาในชุดผ้าคลุมหัวสีขุ่นเปอะเปื้อนดินและทรายโวยวายอยู่ใต้เบื้องล่างเท้าของมัสรูล และพยายามออกแรงดิ้นอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะมีเพียงแค่ส่วนนิ้วมือและนิ้วเท้าที่ขยับได้ก็ตาม
"แกคงจะถูกเจ้าอัปหมัดนั่นสั่งมาเผาศพซ้ำอีกรอบเพื่อทำลายหลักฐานสินะ"
เสียงอันเยือกเย็นผิดกับนิสัยของซินแบดเอ่ยขึ้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง มือใหญ่ที่ประดับด้วยแหวนโลหะมากมายเอื้อมมือออกไปกระชากผ้าคลุมสีฝุ่นออก
เสียงอันเยือกเย็นผิดกับนิสัยของซินแบดเอ่ยขึ้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง มือใหญ่ที่ประดับด้วยแหวนโลหะมากมายเอื้อมมือออกไปกระชากผ้าคลุมสีฝุ่นออก
"พวกแกนั่นแหละคิดจะทำอะไรกันแน่ ปล่อยนะโว้ย!" ชายหนุ่มตัวสูงในชุดสีขาวเปื้อนทรายโวยวายอย่างไม่ลดล่ะ ดวงตาสีน้ำตาอ่อนมองผู้ที่อยู่เหนือกว่าด้วยแววตามาดร้ายราวกับแววตาของสัตว์ร้ายที่ถูกล่ามตรวนไม่มีผิด
"นายเป็นใคร" ดวงตาสีอำพันสวยแผ่รังสีกดดันอันหนักอึ้งมหาศาลสะกดเจ้าสัตว์ร้ายตรงหน้าให้นิ่งอยู่ในกำมือ สีหน้าของเขาที่ทับซ้อนกับเงายามสนทยาช่างงดงามอย่างหน้ากลัว จนคนที่อยู่ในสภาพเสียเปรียบกว่าต้องชะงัก ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มกั้นความสั่นกลัว
"ฉะ ฉันเป็นใคร ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับพวกแกซักหน่อย! อั่ก..."
จาฟาลกระชากผมของชายหนุ่มขึ้นมาให้ต้องกับแสงอาทิตย์ยามเย็นเพื่อจะได้เห็นใบหน้าที่หลบอยู่ใต้เงาสลัวได้อย่าชัดเจน จนชายหนุ่มที่ดูท่าทางเหมือนกุ๊ยกักขฬะต้องทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเบนสายตามามองชายร่างเล็กที่กระชากหัวตนเองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ร่างสูงของซินแบดค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้า ก่อนจะมองลงมายังชายที่อยู่แทบเท้าด้วยแววตาที่สูงส่ง ราวกับเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อจากด้านบน พร้อมที่จะกระชากชีวิตของเหยื่อตัวไหนไปก็ได้ ตราบที่มันพอใจ
"หน้าฉันอยู่ในอารมณ์ชวนหัวอย่างนั้นหรอ?"
สิ้นเสียงของซินแบด จาฟาลก็จ่อใบมีดเข้าที่คอของเจ้าโจรหลุมศพนี่อย่างรู้งานก่อนจะค่อยๆ
กดใบมีดลงบนลำคอทีละนิดอย่างช้าๆจนคนที่อยู่เบื้องล่างร้องเสียงหลง
กดใบมีดลงบนลำคอทีละนิดอย่างช้าๆจนคนที่อยู่เบื้องล่างร้องเสียงหลง
"ดะ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว หยุดก่อน!"
ราชาแห่งซินเดรียยกฝ่ามือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เลขาผู้ภักดีหยุดมีดเอาไว้ ทำเอาชายหนุ่ม
ผู้โชคร้ายถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อเย็นไหลตามใบหน้าเป็นก็อกแตก ก่อนราชาแห่งเจ็ดคาบสมุทรจะมองโจรกระจอกที่อยู่แทบเท้าเขาด้วยดวงตาเย็นยะเยือกราวกับกำลังมีพายุหิมะพัดโหมอยู่รอบตัวจนแม้แต่ผู้ติดตามทั้งสองเองก็ยังขนลุกซู่
ผู้โชคร้ายถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อเย็นไหลตามใบหน้าเป็นก็อกแตก ก่อนราชาแห่งเจ็ดคาบสมุทรจะมองโจรกระจอกที่อยู่แทบเท้าเขาด้วยดวงตาเย็นยะเยือกราวกับกำลังมีพายุหิมะพัดโหมอยู่รอบตัวจนแม้แต่ผู้ติดตามทั้งสองเองก็ยังขนลุกซู่
"นายชื่ออะไร"
"คะ..คาซิม"
.
.
.
แสงสลัวๆของเปลวเทียนที่วูบไหวไปมาในห้องหนังสือมืดๆที่เต็มไปด้วยม้วนกระดาษและบันทึกมากมายวางเรียงรายอัดแน่นตามชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ หน้าต่างทุกบานปิดสนิทกั้นเสียงรบกวนจากด้านนอกไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาซักหน่วยเดซิเบลเดียว เงียบสงัดซะจนแค่เสียงพลิกกระดาษยังดังก้องไปทั่วห้อง ด้านในสุดนั้นมีโต๊ะหนังสือที่ถูกตั้งเอาไว้ในมุมอันโปรดปรานขององค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ์เจิดจริส
"อาลี ซารูจา..."
น้ำเสียงทุ้มกังวานดังออกมาอย่างเลื่อยลอยจากริมฝีปากที่ผู้หญิงทุกคนในวังราคุโชวต่างอยากจะครอบครองเป็นเจ้าของ
โคเอนละสายตาจากม้วนกระดาษก่อนจะพ่นลมหายใจยาว เขาไม่อาจลบเลือนภาพความทรงจำเมื่อตอนบ่ายออกไปจากหัวได้เลย ไม่มีสมาธิแม้แต่จะอ่านหลังสือซักหน้า ในหัวของเขากลับมีเพียงภาพเพลงดาบที่งดงามของชายหนุ่มต่างชาติผู้มีใบหน้าหวานเกินบุรุษ ดวงตาคู่สวย สีบุษราคัมเนื้อดีที่ได้พบพานเมื่อตอนบ่ายโลดแล่นวนเวียนอยู่ในหัวที่ไม่ว่าจะพยายามสลัดมันออกไปยังไงก็สลัดออกไปไม่หลุด และภาพเจ้าเส้นสีแดงเข้มที่ร่วงกราวอยู่บนพื้น...
คงเหลือแต่กระจุกหรอมแหลมปลายคางที่ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งตะลึงงัน
ใช่แล้วในตอนที่จบการประลองตัวของเขานั้นไม่ได้รับบาดเจ็ดแม้แต่รอยขีดข่วนเดียว
เป็นผู้ได้ชนะอย่างสมบูรณ์แบบ ชัยชนะที่แลกมาด้วยเคราแพะที่สุดแสนจะอินเทรนทันสมัย
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่คุ้นชินกับความรู้สึกนี้เอาซะเลย ความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงอย่างหนักหน่วงแต่ก็กลับว่างเปล่าราวกับกระดาษบางไร้ซึ่งสีหมึกที่แต่งแต้มลอยละลิ่วท่ามกลางสายลมคิมหันต์อย่างไร้จุดหมาย และในทุกครั้งที่เขาหลับตามันช่างว่างเปล่าซะเหลือเกิน...
โคเอนปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่สอง ดวงตาเรียวคมมองตัวหนังสือด้วย สายตาอันว่างเปล่า ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นไม่ใส่ใจมันก็ตาม แต่ก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกตัวเองที่เป็นแบบนี้ได้ ช่างไม่สมกับเป็นตัวเองเอาซะเลย
เจ้าของเรือนผมสีแดงชาดยาวประบ่าละจากตัวหนังสือที่เขาไม่ได้อ่านมันแม้แต่น้อย หลังจากที่เคราแพะสุดแสนภาคภูมิใจของเขาถูกดาบเฉือนแหว่งไม่เป็นทรง จนต้องโกนออกเกลี้ยงเหลือเพียงปลายคางมนที่ราบเรียบ เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรจนถึงตอนนี้ ได้แต่หวังว่าผู้เป็นสาเหตุของอาการว้าวุ่นใจครั้งนี้จะช่วยหาคำตอบให้เขาได้
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของคนที่เขาเฝ้ารอคอยก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงบานประตูปิด ชายหนุ่มผมยาวสลวยสีทองสุกปลั่งรับกับใบหน้าหวานเดินเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะหนังสือด้วยแววตาระแวดระวังตัวตลอดเวลา หากไม่บอกให้รู้ว่าเป็นผู้ชายแล้วล่ะก็คนทั่วไปเองก็คงจะเข้าใจผิดเป็นแน่ และหนึ่งในบุคคลที่เข้าใจผิดก็คือตัวของเขาเองนี่แหละ
"นายมาช้า"
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองมาทางเขาด้วยสายตาไม่พอใจกับท่าทางที่ต้องการจะพูดว่า
'ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะแกนั่นแหละ' ติดบนใบหน้าสวยอยู่เต็มไปหมด
"โคเอนฉันน่ะไม่รู้ว่านายมีความแค้นอะไรกับพี่สาวฉัน แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับฉันแล้วก็
โมลเซียน่าเลยซักนิดเดียว..."
ยังไม่ทันที่อาลีจะพูดจบโคเอนก็พูดแทรกขึ้นมา จนทำให้อาลีต้องหยุดถ้อยคำพรรณนาทั้งหลายเอาไว้แล้วกลืนมันกลับลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้
"ฉันว่านายคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ"
"เข้าใจผิด?" คิ้วได้รูปสวยเลิกขึ้นพร้อมกับแววตาที่มองมายังคนตรงหน้าอย่างฉงน
ก่อนจะปล่อยให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะหนังสืออธิบายต่อ
"ฉันอยากจะให้นายเข้าใจไว้ก่อนว่าเจิดจรัสไม่ได้ต้องการจะทำสงครามกับบัลแบด แล้วก็ไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตคนจากราชวงศ์ซารูจาด้วย" โคเอนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุมกังวานเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม แต่ก็ไม่อาจดับไฟความโกรธที่กำลังครุ่กครุ่นอย่างเงียบเชียบในใจของ
องค์ชายผู้งดงามราวกับอิสตรีได้ เรื่องที่เขากำลังพูดมาทั้งหมดนี้มันช่างแตกต่างกับการกระทำซะเกินที่จะเชื่อถือ
...แน่นอนว่าอาลีไม่อาจจะทำใจให้เชื่อลงได้...
"แล้วทำไม..."
ชายหนุ่มต่างแดนตรงหน้ากัดฟันกรอด ดวงตาสีทองที่เปี่ยมล้นไปด้วยโทสะหยอกล้อกับแสงจากเปลวเทียนสีส้มแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับดูงดงามเสียจนไม่อาจละสายตาได้
"ทำไมนายต้องส่งคนมาฆ่าฉะ.."อาลีที่เกือบหลุดพูดความลับของตัวเองออกมาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแสร้งทำเป็นพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองแล้วปิดปากเงียบนิ่งไป
"เรื่องนั้นข้าคงบอกได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องข้อตกลงภายในของคนในบัลแบดกับทางเรา
การที่องค์หญิงอาลีบาบาสิ้นพระชนม์นั่นก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่เหนือการควบคุมจองเจิดจรัส"
โคเอนหลับตาพักลงคู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆอธิบายอย่างสงบนิ่ง
"นายหมายความว่ายังไง เหนือการควบคุมอย่างนั้นหรอ! รู้รึเปล่าว่าคืนนั้นมีคนต้องตายไป
เท่าไหร่!”อาลีตะโกนออกมาอย่างเหลืออด น้ำเสียงเกรี้ยวกราดสะท้อนก้องไปทั่วห้องหนังสือทืบๆ ที่แต่งแต้มด้วยดวงไฟสลัวๆ
“นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกข้าจะต้องรับผิดชอบ เดิมทีแล้วแผนของข้ากับโคเมย์คือการขอหมั้นกับองค์หญิงอาลีบาบาต่างหาก” โคเอนเถียงกลับไปอย่างเริ่มมีน้ำโหเล็กๆ หลังจากที่ไม่สามารถจะเข้าประเด็นในเรื่องที่อยากจะพูดได้ซักที อีกอย่างทางนี้ต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายยุ่งยากเพราะเรื่องนี้
อาลีเมื่อได้ยินคำพูดของโคเอนก็ถึงกับนั่งไม่ติด ร่างบางที่ยังคงบอบช้ำยืนขึ้นพรวดพลาด
โดยไม่สนใจอาการเจ็บปวดของตัวเอง “หมั้นหรอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่แต่งกับคนอย่างนาย!!!” ชายหนุ่มหน้าหวานเผลอหลุดปากออกมาอย่างลืมตัวจนโคเอนได้แต่นั่งนิ่งค้างไป ดวงตาสีฉ่ำคู่สวยมองเลิกลั่กหลังจากที่เห็นโคเอนขมวดคิ้วยุ่ง จนเส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้นมาเป็นริ้วๆ
โดยไม่สนใจอาการเจ็บปวดของตัวเอง “หมั้นหรอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่แต่งกับคนอย่างนาย!!!” ชายหนุ่มหน้าหวานเผลอหลุดปากออกมาอย่างลืมตัวจนโคเอนได้แต่นั่งนิ่งค้างไป ดวงตาสีฉ่ำคู่สวยมองเลิกลั่กหลังจากที่เห็นโคเอนขมวดคิ้วยุ่ง จนเส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“เอ่อ..ยังไงซะพี่สาวฉันก็ไม่มีวันแต่งกับนายหรอก!”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอกว่าพี่นายจะอยากแต่งรึเปล่าแต่ถ้าหากว่าพี่สาวนายยังอยู่ไม่ว่ายังไงก็คงได้แต่งกับฉันไม่ก็โคเมย์อยู่ดี” โคเอนหัวเราะเบาๆในลำคอราวกับต้องการจะเย้ยหยันเด็กหนุ่มที่พูดจาไร้เดียงสาตรงหน้า ก่อนจะลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาเผชิญหน้ากับอาลีโดยตรง “อีกอย่างนายยังมีเรื่องที่ติดค้างอยู่นะอาลี ซารูจา”
เมื่อเห็นคนร่างสูงลุกออกจากที่นั่ง อาลีก็เผลอก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณเตือนภัยของตนถึงรังสีอันตรายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของผู้ชายตรงหน้า
“ถ้านายแพ้ นายจะต้องชดใช้มันด้วยชีวิต”โคเอนทวนคำพูดที่เขาพูดไว้เมื่อตอนบ่ายก่อนเริ่มเกมการประลองแบบมัดมือชกที่ตัวเองเป็นฝ่ายคิดขึ้นโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของอีกฝ่าย รอยยิ้มมุมปากของโคเอนผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างหน้าขนลุก ทำเอาร่างบางที่อยู่ตรงหน้ามองมาด้วยสายตาที่หวาดหวั่นถึงภัยอันตราย
“นายแค่อยากจะฆ่าฉันเพราะแพ้การประลองที่อยู่ๆนายก็กำหนดขึ้นเองแล้วก็บังคับให้ฉันเล่นตามนายอย่างนั้นหรอ! มันไม่งี่เง่าเกินไปหน่อยหรอ!”อาลีโวยวายขึ้นมาอย่างหัวเสียและหวั่นกลัวกับจอมเผด็จการตรงหน้า ก่อนจะก้าวถอยทุกครั้งที่ร่างสูงของโคเอนเดินเข้ามาใกล้
“พูดเรื่องอะไรของนาย”โคเอนมองมาที่ชายต่างแดนตรงหน้าก่อนจะเลิกคิ้วมองใบหน้าของเด็กหนุ่มต่างแดนที่ทำหน้างงเหมือนหมาโง่ๆตัวหนึ่ง
“นะ นายไม่ได้จะฆ่าฉันหรอกหรอ?”
โคเอนหัวเราะเบาๆก่อนจะค่อยๆเพิ่มระดับเสียงขึ้นจนเด็กหนุ่มหน้าสวยตกใจงงเป็นไก่ตาแตก
“ฉันบอกให้นายจ่ายด้วยชีวิตต่างหากล่ะ”
คำพูดนั่นไม่ได้ช่วยขยายความอะไรได้ซักนิดเดียวก่อนโคเอนจะเปิดปากอธิบายต่อหลังจากที่มองใบหน้าที่ยังคงไม่ประสีประสากับคำพูดของเขาซักนิด
“นั่นหมายความว่าตอนนี้ชีวิตนายเป็นของฉัน”
ร่างผอมบางได้แต่นิ่งชะงักไปหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของชายตรงหน้า หัวน้อยๆของเขาตอนนี้แทบจะหยุดการประมวลผลทุกสิ่งอย่างแล้วหงายหลังล้มตึ้งหัวฟาดพื้นไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะประลองเองแท้ๆ ดวงหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะกระพริบตาปริบๆ
แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูด "แต่ฉันไม่ได้รับปากซะหน่อย"
"การที่นายหันดาบเข้าใส่ฉัน นั่นก็ถือว่านายตกลงแล้ว"โคเอนยิ้มอย่างยียวนก่อนจะขยับเท้าเข้ามาใกล้กับองค์ชายต่างแดนที่กำลังก้าวถอยหลังใกล้จะจนมุมอย่างไม่รู้ตัว
"อาลี ซารูจา จงมาเป็นมือขวาของข้าซะ"
โดยที่ไม่รู้ตัวขาของอาลีก็ไม่อาจจะก้าวถอยอีกต่อไปได้ แผ่นหลังเล็กๆแนบสนิทไปกับชั้นหนังสือมุมห้อง อีกทั้งข้างๆก็ยังเป็นกำแพง เรียกได้ว่าจนมุมอย่างสมบูรณ์แบบ...
"นายจะไว้ใจให้องค์ชายจากประเทศอื่นมาทำงานเป็นมือขวาเนี่ยนะ" หนุ่มหน้าสวยเริ่มมอง
เลิกลั่กอย่างรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อโคเอนเดินเข้ามาประชิดตัวจนตอนนี้ห่างกันอีกไม่กี่คืบปลายจมูกก็จะสัมผัสเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนตรงหน้า
ร่างผอมบางที่ยืนตัวลีบอยู่นั้นอยากจะแทรกตัวไปตามซอกหลืบของมุมฉันหนังสือเสียให้ได้ ปลายนิ้วมือสั่นระริกพร้อมกับเหงื่อที่พุดพรายขึ้นมาจนมือชื้นอย่างไม่รู้สาเหตุ ดวงหน้าสวยก้มงุดหันไปมองเจ้ามอดกินหนังสือที่กำลังแทะหนังสืออย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านข้างเพื่อสงบจิตใจ ดวงตาคู่สวยนั้นไม่อาจจะมองหน้าของคนที่ตัวสูงกว่าได้โดยตรง จนไม่อาจสังเกตเห็นสีหน้าที่กำลังสนุกไปกับการกลั่นแกล้งของโคเอน
"จะไม่มีใครรู้ว่านายเป็นใคร แล้วอีกอย่างฉันจะให้นายเลือก" คนตัวสูงพูดพลางยื่นใบหน้าใกล้เข้ามาอีก มันใกล้ซะจนได้กลิ่นของน้ำมันหอมที่ใช้ในตอนอาบน้ำ
...นี่คือ กลิ่นของผู้ชาย?...
เป็นครั้งแรกที่องค์หญิง(?)วัยใสอย่างอาลีนั้นได้อยู่ใกล้กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คาซิมผู้เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้องในวัยเด็กขนาดนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆติดปลายจมูกของคนตรงหน้าชวนให้ใบหน้าร้อนวูบวาบ อีกทั้งตั้งแต่เกิดมามีชีวิตรอดยันอายุ17ก็ไม่เคยคบผู้ชายเลยซักคนเดียว...
แน่นอนว่าเขาไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงดี จึงทำได้แต่ดูตัวมอดกินหนังสืออย่างเพลิดเพลินเพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังแตกซ่าน
"ละ..เลือกอะไร?" แน่นอนว่าร่างบางที่ยืนมือไม้สั่นสิงไปกับชั้นหนังสือนั้นสนใจในคำพูดของ
โคเอนทุกคำพูด แต่ก็ไม่อาจทำใจจะมองหน้าตรงๆได้แม้ซักครั้งเดียว
"เลือกระหว่างมาเป็นมือขวาให้ฉัน หรือไปเป็นทาส" ฝ่ามือที่ใหญ่สมกับเป็นมือของผู้ชายของ
โคเอนจับปลายคางของคนที่กำลังยืนมือสั่นตรงหน้าให้เชิดหันกลับมามองใบหน้าของเขาอย่างขัดขืนไม่ได้ ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะดวงหน้าสวยที่กำลังสั่นไหวตกใจราวกับลูกนกตรงหน้าเขานั้น มันช่างหน้ามองจนอดชมไม่ได้ว่างานดีอะไรปานนี้
"แต่ถึงเป็นทาสอย่างนายก็คงจะไม่ได้ทำงานหนักอะไรหรอก อย่างดีก็คงได้ทำงานปรนเปรอพวกขุนนางมากตัญหาแหละนะ" มือใหญ่อีกข้างหนึ่งของโคเอนไล้จากต้นขาของร่างเล็กที่กำลังตกใจตัวสั่นขึ้นมายังสะโพกมนโดยที่มีสาบเสื้อบางๆกั้นระหว่างผิวเนียนสวยกับมือกร้านหยาบของโคเอน
"ตัวเลือกแบบนี้นายกะให้ฉันเลือกไม่ได้ตั้งแต่แรกเลยไม่ใช่รึไงกัน" ใบหน้าสวยของอาลีแดงวูบ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาทำสีหน้ายังไงเลยด้วยซ้ำ คนตัวสูงจอมเผด็จการตรงหน้าถึงได้ยิ้มราวกับกำลังเล่นสนุกแบบนั้น อีกทั้งมือที่จับสะโพกของเขาอยู่ก็เริ่มสัมผัสอย่างเนิบนาบขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกแปลกๆ
โคเอนมองเข้าไปยังดวงตาสีทองฉ่ำหวานเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆราวกับผลไม้สุกงอมที่สะท้อนภาพใบหน้าของเขา มันช่างงดงามเหลือเกิน... งดงามซะจนอยากจะให้มันสะท้อนแต่ภาพใบหน้าของเขาแค่เพียงผู้เดียว
"ตอบมาสิ"
.
.
.
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น