วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER8




...


ผ่านไปกี่วันแล้วนะ...
กี่วันแล้วที่จับจ้องอยู่แต่เพียงทิวทัศน์เดิมๆจากบานหน้าต่างเล็กๆ
ดวงตาคู่สวยสีแดงเรื่อ มองไปยังเหตุการณ์ซ้ำๆเดิมๆผ่านหน้าต่างบานในแต่ละวันอย่างเบื่อหน่าย
โมลเซียน่าไม่ได้ข่าวคราวใดๆจากอาลีบาบาและโคเกียคุเลยตั้งแต่ที่แยกกันวันนั้น แต่การที่พวกข้างนอกนั่นยังไม่มีแววจะลงไม้ลงมือทำอะไรนอกจากกักบริเวณเธอเอาไว้อยู่ในสถานที่จำกัดแบบนี้ก็แสดงว่าอาลีบาบาคงจะประสบผลสำเร็จในการทำข้อตกลงบางอย่างกับเหล่าองค์ชายแห่งเจิดจรัสเป็นแน่แท้

ไม่มีการล่ามโซ่ ไม่มีการคุมขังที่แน่นหนา ห้องและบานประตูก็ถูกล็อคไว้ด้วยกลอนธรรมดา ทหารยามก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้น มันไม่ยากเลยที่จะหลบหนีออกจากที่นี่


หากแต่สถานนี้นั้นหาได้ใช้กักขังเธอไม่ มันใช้กักขังเด็กสาวที่อยู่ภายนอกต่างหาก...

"คุณอาลีบาบา..."

เสียงกุกกักของบานประตูที่ดังขึ้นก่อนจะถึงเวลาอาหารเที่ยง ทำให้สาวฟอนาริสรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดไปจากทุกที โมลเซียน่าเงี่ยหูฟังเสียงของผู้มาเยือนที่เพิ่มขึ้นดูหัวใจที่สั่นระรัว

...คุณอาลีบาบา?...

บานประตูเบื้องหน้าของเธอเปิดออกพร้อมกับแสงแดดยามสายที่สาดเข้ามาพร้อมๆกันจนทำให้คนที่อยู่แต่ในห้องตาพร่าไปชั่วขณะ

"คุณ..."โมลเซียน่าจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่บริเวณใบหน้าข้างซ้าย ในขณะเดียวกันนั้นนัยน์ตาสีน้ำแข็งของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าก็จ้องมองมาทางเธอด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ

"ดูเป็นเด็กผู้หญิงกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก.." น้ำเสียงเรียบลื่นที่ฟังดูเป็นมิตรเอ่ยขึ้นจากริมฝีปาก
บางสวยของชายหนุ่มผู้มาเยือน "อ่ะ จริงสินะ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าชื่อเรน ฮาคุริว เป็นองค์ชายลำดับสี่" 

   ...องค์ชายลำดับสี่ของจักรวรรดิ์เจิดจรัส? ทำไมถึงได้ให้ความรู้สึกต่างจากองค์ชายคนก่อนหน้าที่ได้พบกันนะ เป็นเพราะสีผมอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าคนในตระกูลเรนล้วนแต่มีเส้นผมโทนสีแดงหรอกหรอ...

ฉันคุกเข่าลงก่อนพยายามคิดถึงเรื่องที่องค์หญิงโคเกียคุเคยพูดถึงคนในครอบครัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้นึกอะไรออกเลย ถึงแม้ว่าเรน ฮาคุริวคนนี้จะไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงภัยคุกคามเช่นเดียวกับองค์ชายที่เคยเจอก่อนหน้า แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลเรนแล้ว นอกจากองค์หญิงโคเกียคุก็ถือว่าเป็นอันตราย 

"อ่ะ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ " ชายหนุ่มร้อนรนก่อนจะเข้าไปช่วยประคองเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่บ่งบอกถึงการไม่ชอบให้ชายแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัว
จนทำให้ฮาคุริวชักมือกลับก่อนจะมีสีหน้าที่เคอะเขิลกับการกระทำของตัวเอง ก่อนจะคิดหาเรื่องพูดกลบเกลื่อนสีหน้าเปิ่นๆที่แสดงออกมาเมื่อกี้
"จะว่าไปแล้วเธอชื่ออะไรงั้นหรอ"

ดวงตาคมสวยหลุบลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงลังเล
"โมล..เซียน่า" 

"เป็นชื่อที่เพราะดีนะครับ"  ฮาคุริวยิ้มบางๆให้กับเด็กสาวตรงหน้าที่มีท่าทีอึกอักทำท่าเหมือนพูดอะไรซักอย่างก่อนที่เธอจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับพวงแก้มแดงเรื่อ

        ตอนแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการที่องค์หญิงฮาคุเอย์พี่สาวของตนต้องการให้
เฟอนาริสมาทำงานเป็นสาวใช้นั้นมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ จนกระทั่งได้มาพบกับ
เด็กสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ท่อนขาทรงพลังที่ล่ำลือกันเมื่อลองมองดูของโมลเซียน่าแล้ว
ดูมันออกจะบอบบางกว่าผู้หญิงบางคนที่เขาเคยเจอซะด้วยซ้ำ(ยกตัวอย่างเช่นพี่สาวของเขาเอง) มันก็ทำให้เขาลบภาพคนชนเผ่าเฟอนาริสในจิตนาการของตนเองไปหมดสิ้น 

ได้ยินมาว่าติดตามรับใช้องค์หญิงโคเกียคุมาจากบัลแบดแต่มีเหตุผลบางอย่างที่ต้องโยกย้ายเธอเข้ามาทำงานในตำหนักของเขากับท่านพี่ หวังว่าโคเอนคงไม่ได้มีแผนการอะไรหรอกนะ
"ตั้งแต่นี้ไปคุณจะได้ย้ายมารับใช้ที่ตำหนักขององค์หญิงฮาคุเอย์..อ่ะ แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะเธอเป็นพี่สาวของผมเอง" ชายหนุ่มพยายามชวนคุยด้วยท่าทีลนลานเหมือนกับพี่เลี้ยงเด็กที่ทำเด็กร้องไห้เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหญิงสาวนิ่งสนิทไปราวรูปสลัก"เอ่อ..เธอเป็นคนดีมากเลยนะ แล้วก็ เอ่อ..เก่งงานปักผ้าด้วย!"

ไหล่ที่เหยียดตรงของฮาคุริวห่อลีบลงมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงนิ่งสนิทไม่มีท่าทีจะพูดอะไรกับตนแม้แต่น้อย บางทีฮาคุริวก็เริ่มคิดแล้วว่าพอจ้องมองดวงตาที่มีรูปแปลกเป็นเอกลักษณ์ของเฟอนาริสนั้นมากเกินไป ลึกๆใจๆของเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย...

"เอ่อ..คือ...งั้น เราไปกันเลยมั้ยครับ"ชายหนุ่มชี้ออกไปด้านนอก ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าเดินนำออกมาจากห้องพักแคบๆโดยหันมองด้านหลังเป็นระยะๆ ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะแต่เขาห่วงว่า
โมลเซียน่าจะเดินตามมามั้ยน่ะสิ! 

        

   สายตาของโมลเซียน่ายังคงมองชายผู้เดินนำหน้าตนด้วยดวงตาสีแดงเรื่ออันนิ่งงัน ยิ่งมองเท่าไหร่ก็กลับยิ่งรู้สึกแปลกใจมากเท่านั้น เธอไม่เคยเจอผู้ที่มีบรรยากาศรอบตัวขัดแย้งกันมากอย่างชายผู้นี้มาก่อน 

ทั้งอบอุ่นและเรียบง่ายราวกับผิวด้านบนของก้อนหินที่โดนแสงแดดตลอดคิมหันต์...
แต่ก็ดูเศร้าและเยียบเย็นดั่งพื้นผิวด้านล่างของมันที่แนบชิดกับผืนดินไม่อาจต้องแสงซักครา...


...ถึงจะดูไม่ใช่คนไม่ดีก็เถอะ แต่ยังไงฉันก็คงไว้ใจเขาไม่ได้...


     เพียงไม่นานโมลเซียน่าก็ถูกพามาถึงตำหนักไม้ที่ดูเรียบง่ายไม่หวือหวา มันออกจะดูเล็กไปนิดหน่อยซะด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเรือนของโคเกียคุ ดวงตาคู่สวยกวาดตามองไปรอบๆ ทุกสิ่งสำหรับเธอมันดูไม่คุ้นชินไปซะหมด และที่สำคัญเรือนของผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นองค์ชายองค์หญิงมันออกจะ...ธรรมดาเกินไป

ทหารและข้ารับใช้ก็บางตาไม่พลุกพล่านซักนิด ออกจะเงียบเกินไปซะด้วยซ้ำ


"หวังว่าเซย์ชุนจะอยู่นะ" 
ฮาคุริวบ่นพึมพำก่อนจะมองไปรอบๆ ตำหนักที่แทบจะร้างผู้คน ก่อนจะหันมาทางโมลเซียน่านี่ได้แต่ยืนอยู่เงียบๆด้วยแววตาหนักใจ เซย์ชุนก็เหมือนจะไม่อยู่ซะด้วย...
"คือ..ข้าคิดว่าจะไปตามหาคนๆหนึ่งก่อนน่ะ รออยู่ที่นี่แปปนึงนะ" ฮาคุริวหันมามองโมลเซียน่าหลายต่อหลายครั้ง จนเกือบจะลับสายตาก่อนจะตัดสินใจทิ้งเด็กสาวที่ยืนนิ่งเงียบไม่ต่างจากรูปสลักไว้เบื้องหลัง 


...หวังว่ากลับมาแล้วจะยังยืนอยู่ที่เดิมนะ...


.


.


.


      ดวงตาคู่สวยเป็นเอกลักษณ์มองไปรอบตำหนักเงียบสงบที่ไร้เงาของผู้คน ด้วยดวงตานิ่งงัน
อย่าว่าแต่เข้าใจจุดประสงค์ของเหล่าองค์ชายแห่งเจิดจรัสเลย แค่สถานการณ์ตอนนี้เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

...แถมยังให้เฟอนาริสมาเป็นนางทาสีอีก คนพวกนี้คิดอะไรกันอยู่น่ะ... 
โมลเซียน่าแอบกัดมุมริมฝีปากเล็กน้อยอย่างรู้สึกไม่ค่อยพอใจ คนพวกนี้จะให้สิงห์แดงแห่ง
ทวีปมืดคอยตัดหญ้าปัดกวาดเรือนรึยังไง นี่มันเหมือนกับดูถูกกันอยู่ชัดๆ


'อู้วรูว'
.
.
.

เด็กสาวที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดสะดุ้งตื่น ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียงประหลาด พอรู้สึกตัวอีกที ก็คิดขึ้นมาได้ว่ารอบๆตัวของเธอมันดูวังเวงไปหมดแม้ว่าเพิ่งจะเป็นเวลาสายก็ตาม ทั้งตำหนักเงียบๆดูเก่าๆและร่มไม้ใหญ่ที่บดบังแสงแดดร้อนๆ กิ่งก้านของมันเสียดสีไปกับสายลมจนเกิดเสียงหวัดหวิวชวนขนลุก 

'อู้วรูวววว'


'อู้วรูวววววววว'


'อู้วรูวววววววววววววววววว'

     โมลเซียน่าหลับตาแน่นพลางขมวดคิ้วจนคิ้วแทบจะลงมาติดกับหัวตา มือเล็กๆทั้งสองข้างนั้นกำแน่นจนชื้นเหงื่อ 

"หยุดทำเสียงประหลาดๆซักทีได้มั้ยคะคุณอาลีบาบา!"


"ชู่ววว..."

โมลเซียน่านิ่วยิ่งกว่าเดิมเมื่อเธอหันไปเจอกับองค์หญิงจอมวุ่นวายของเธออีกครั้งในสภาพที่ตัวเธอนั้นพูดไม่ออก ท่าทางดูเหมือนสมองโดนทำลายล้างไปแล้วแบบนั้นมันคืออะไรกัน...

เสียงของชายท่าทางดูไม่เต็มบาทในชุดพุ่มไม้ทรงกลมที่ปิดบังตัวมิดตั้งแต่หัวจนถึงบริเวณขอบเขตของสงวนด้านล่างโผล่ออกมาเพียงเรียวขาเรียบลื่นดูๆไปแล้วเหมือนกับพุ่มไม้ยักษ์มีขาดังแว่วออกมาจากหลังต้นเล็กๆหงิกง่อยที่ไม่ได้ช่วยอำพลางตัวแม้แต่น้อย

"ชุดแบบนั้นมันอะไรกันคะคุณอาลี..."
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงถามกระจ่างความสงสัยของโมลเซียน่า เสียง'ชู่วววววว' ยาวๆก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจากเจ้าพุ่มไม้ยักษ์ จนโมเซียน่าต้องหรี่ตาลง ในใจหนึ่งก็เป็นห่วงอีกใจหนึ่งกับรู้สึกอยากจะเหวี่ยงเท้าใส่ซักเปรี้ยง

"เร็วเข้าตามมา! อย่าทำตัวน่าสงสัยล่ะ!"
(เอ็งนั่นแหละทำตัวน่าสงสัยสุดเลยโว้ยยย = =*)



"ชุดมันไม่สะดุดตาเกินไปหน่อยหรอคะ (=__=;) "
เจ้าพุ่มไม้ยักษ์น่าสงสัยม้วนตัวเข้าหากำแพงของตำหนัก โดยที่ไม่ฟังคำพูดของเธอเลยซักนิด จนทำให้โมลเซียน่าต้องลากเท้าเนือยๆตามออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเถอะ ตำหนักนี้น่ะนอกจากเธอและพุ่มไม้กลิ้งได้ที่โคตรจะน่าสงสัยแล้ว มดซักตัวยังไม่มีเดินเฉียดเข้ามาเลย เพราะงั้นก็คงจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง?

เด็กสาวเฟอนาริสเดินตามพุ่มไม้กลิ้งได้ลัดเลาะมาตามกำแพงและสิ่งก่อสร้างด้วยท่าทีที่เหมือนกำลังเดินเล่นกินลมชมวิวอย่างสบายใจเสียมากกว่าเป็นเชลยหลบหนี ก่อนที่เจ้าพุ่มประหลาดจะลอดตัวผ่านช่องแคบด้านล่างของกำแพงตำหนักที่เป็นรูโบ๋อย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับแมวขนพองที่ลอดผ่านช่องแคบๆของประตูได้ราวกับเป็นของเหลว โมลเซียน่ามองอย่างทึ่งๆก่อนจะลอดตามออกไปจนเนื้อตัวและชุดกระโปรงขาวสะอาดเปอะเปื้อนดินและฝุ่นมอมแมมไปหมด ในที่สุดพวกเขาออกมาได้ซักทีในสถานที่ที่เป็นเหมือนกับสวนเล็กๆไร้แววผู้คนสัญจร

"พอได้แล้วล่ะค่ะ ทำแบบนี้มันจะไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรอคะ" แรงมหาศาลของเด็กสาวผมแดงแสบตากระชากเจ้าชุดน่าสงสัยนั่นออกด้วยเพียงแรงฮึดเดียว ก่อนจะมองผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้าชีวิตด้วยความไม่คุ้นชิน ทั้งเสื้อผ้าสไตล์เจิดจรัสหลุดๆลุ่ยๆที่ชายกางเกงถูกพับขึ้นไปจนสั้นกุด ใบหน้าที่ซูบลงไปต่างจากวันที่ได้เจอกันครั้งสุดท้ายมากนัก

"คุณอาลีบาบาดูผอมลงไปมากเลยนะคะ" น้ำเสียงเรียบใสเจือความกังวลเอ่ยขึ้น ก่อนหางตาเข้มจะตกลู่ลงเล็กน้อย

"ถ้าขืนเธอยังเรียกแแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนจับได้กันพอดี!" อาลีพูดตำหนิเด็กสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

"จับได้?" ใบหน้าน่ารักเอียงคอถามอย่างสงสัย ความจริงแล้วเธออยากจะถามเรื่องก่อนหน้านี้ตั้งแต่วินาทีที่เธอเดินออกมาจากห้องนอนนั้นเลยด้วยซ้ำ รวมถึงเรื่องที่อาลีบาบาอยู่รอดมาได้ยังไงจนถึงทุกวันนี้ คงไม่ได้อาศัยอยู่ในพุ่มไม้น่าสงสัยกลิ้งไปกลิ้งมาหรอกนะ ถึงสภาพภายนอกจะดูเหมือนเป็นแบบนั้นก็เหอะ 

ดวงตาสีบุษราคัมวาวกรอกตาลอกแลกเล็กน้อย ราวกับกำลังลังเลใจว่าเรื่องที่ตนเองกำลังจะพูดนั้นคงไม่ทำให้คนตรงหน้าตกใจจนเกินไป "คือฉันโกหกโคเอนไปว่าเป็นองค์ชายลำดับสามน้องชายแท้ๆของอาลีบาบาชื่ออาลีน่ะ ตอนนี้ก็เลยต้องทำงานเป็นทาสรับใช้หมอนั่นเพราะเงื่อนไขบ้าๆที่เจ้านั่นมันคิดขึ้นมาน่ะ" อาลีพูดไปพลางขบเคี้ยวฟันพูดอย่างเจ็บแค้น

"แบบนี้เรื่องที่พวกเราจะเดินทางไปเรมล่ะคะ!" โมลเซียน่าโพล่งขึ้นอย่างตกใจ จนอาลีแทบจะเอามืออุดปากแทบไม่ทัน


"คือการที่ฉันได้ไปทำงานให้หมอนั่น มันทำให้ฉันแอบไปอ่านเจอเอกสารบางอย่างเกี่ยวกับว่าเจิดจรัสได้มีส่วนได้เสียบางอย่างกับคนที่มีตำแหน่งในบัลแบดแลกกับสิทธิในเส้นทางการค้าที่เชื่อมผ่านทะเลทรายตะวันออก เธอรู้มั้ยโมลเซียน่าว่าเรื่องนี้มันหมายความว่ายังไง" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาสีสุกใสเจือไปด้วยความเศร้าและโกรธเกรี้ยวที่แปรปรวนดั่งคลื่นลมในมหาสมุทร

"ขายชาติ?" 
โมลเซียน่าสรุปย่อประโยคยาวยืดเหลือเพียงวลีสั้นๆ ก่อนอาลีจะพยักหน้าเบาๆ

"เรื่องนี้อาจจะมีอันตรายไปถึงเหล่าราชวงศ์ด้วย ฉันไม่อยากคิดเลยว่าพวกพี่อับหมัดอาจจะต้องเจออะไรบ้างถ้าทางเจิดจรัสลงมือเข้าจริงๆ ขนาดตำหนักของฉันยังเละเทะถึงขนาดนั้น" อาลีพูดด้วยน้ำเสียงโกรธที่เจือจางไปด้วยความเศร้าก่อนจะเว้นช่วงถอนหายใจ ในขณะที่โมเซียน่าได้แต่ก้มหน้าเบนสายตาออกไปทางอื่นก่อนจะชั่งใจว่าควรจะบอกเรื่องที่เธอได้ยินมาดีหรือไม่...
"เรื่องนั้นน่ะ..."

"แต่ก่อนอื่นน่ะนะ พวกเรารีบไปหาโคเกียคุกันก่อน ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ในวังมันถึงได้เงียบผิดปรกติก็เถอะ แถมพวกโคเอนก็หายออกไปตั้งแต่เช้าแล้วด้วย โอกาสที่เราจะได้มาคุยกันสบายๆคงจะไม่มาบ่อยนักหรอก" ริมฝีปากแดงธรรมชาติยิ้มอ่อน ก่อนจะกุมมือที่ดูบอบบางแต่ก็กลับสากและแข็งกระด้างเหมือนคนที่ทำงานอย่างหนักแล้วพาเดินลัดเลาะไปตามซอกตรอก
ซอยมืดๆ และช่องว่างตามกำแพงราวกับเคยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี

       โมลเซียน่าที่ถูกขัดจังหวะนั้นได้แต่เงียบกลืนคำพูดหายลงคอไป เธอคิดว่าคงได้แต่รอจังหวะเหมาะๆในการอธิบายกับเจ้าตัวเท่านั้น ก่อนจะเดินตามแผ่นหลังที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยไปอย่างเงียบเชียบ... 



     มือเรียวสวยแหวกผ่านพุ่มไม้สูงจนเกิดเสียงซอกแซก ก่อนจะมาโผล่ยังริมขอบบึงขนาดเล็ก ห่างออกไปไม่ไกลมีศาลาสีแดงสวยงามตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆกลางบึงโดยมีสะพานหินขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างศาลาและฟากฝั่งอย่างมั่นคง ล้อมรอบไปด้วยดอกบัวบานกลีบบางสีชมพูชูช่อรับแดดยามสายส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วบริเวณ...
"ตรงนั้นไง" เสียงที่ดูทุ้มลงจนเป็นเสียงของเด็กผู้ชายพูดขึ้น ก่อนนิ้วเรียวจะชี้ไปทางศาลาไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางบึงบัว ซึ่งปรากฎร่างขององค์หญิงโฉมงามผู้หนึ่งกำลังเดินวนเวียนไปมาในศาลาแคบๆอย่างกระสับกระส่าย ก่อนดวงตาของเธอจะเหลือบมาเห็นความผิดปรกติบริเวณพุ่มไม้ริมบึงบัว

"อาลีบาบาจัง! โมลเซียน่า!" ร่างเล็กกระโดดหยองๆด้วยท่าทางดีใจสุดขีด ทำให้นึกถึงเจ้าตูบที่เห็นเจ้านายกลับบ้านมาพร้อมไก่ปิ้ง  

"โถ่เอ้ย! โคเกียคุถ้าจะตะโกนขนาดนั้นเรียกพี่ชายเธอมาปาดคอฉันเลยเถอะ!" อาลีบ่นก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กสาวผมแดงที่ทำตัวเริงร่าเกินเหตุพร้อมๆกับโมเซียน่า

"ดีจังเลยที่ได้เจอกันอีกได้ ท่านพี่โคเอนเองก็เหมือนจะไม่ได้ว่าอะไรเท่าไหร่ด้วยนะถ้าหากพวกเราจะมานัดคุยกับบ้างเป็นบางทีน่ะ" โคเกียคุพูดเสียงใส ใบหน้าของเธอมักจะประดับรอยยิ้มร่าทุกครั้งที่พูดถึงเหล่าพี่ชาย ก่อนที่โมลเซียน่าจะแทรกคำถามที่ค้างคาใจมาตลอดระยะเวลาหลายวันที่เธอถูกกักบริเวณอยู่

"นี่หมายความว่าพวกเราเป็นอิสระแล้วอย่างนั้นหรอคะ"  ดวงหน้าน่ารักมองโคเกียคุและอาลีสลับไปมาก่อนที่ทั้งสองจะนิ่งเงียบไปกับคำถามนั้น

"ตรงกันข้ามเลยต่างหาก โคเอนต้องการที่จะให้ฉันกับเธอแยกกันเพื่อที่จะได้จับตาดูได้สะดวก
 การที่ยังเก็บพวกเราไว้แบบนี้ก็ดูออกได้ไม่ยากเลยว่าต้องการใช้เป็นแต้มต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะใช้พวกเราต่อรองกับบัลแบดก็ได้" อาลีพูดพลางทำสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา ก่อนจะเหลือบไปเห็นแววตาสีทับทิมเรื่อของโคเกียคุที่กำลังสั่นไหวเล็กน้อยก็เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมา
"โทษทีนะโคเกียคุ คือฉัน.." ดวงตาคู่สวยเบนไปทางอื่น ก่อนจะพ่นลมหายใจยาว

"ไม่หรอก ฉันเองก็จะไม่แก้ตัวหรอกนะว่าท่านพี่โคเอนต้องการที่จะครอบครองบัลแบด แต่ว่าฉันเชื่อนะว่ามันจะต้องมีวิธีที่ทุกฝ่ายตกลงร่วมกันได้" โคเกียคุพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ ในขณะที่
โมลเซียหน้ายังคงมองทั้งสองสลับไปมาด้วยแววตาเป็นกังวลกับบรรยากาศมาคุแปลกๆนี้

ถ้าหากเธอไม่ถามคำถามนั่นออกไปล่ะก็...


"คือว่า...ไหนๆก็ได้มาคุยกันทั้งที พวกเรามาพักเรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อนดีมั้ยล่ะคะ" โมลเซียน่าพยายามปรับน้ำเสียงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมนี่ให้กลับมาสดชื่นขึ้นอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศอุ่นๆน่ารื่นเริงใจในยามสาย

"จริงสิไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าคิดว่าถ้าซักวันอาลีบาบาจังได้มาที่เจิดจรัสล่ะก็ พวกเรามาลองเล่นอะไรที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงธรรมดาๆเขาเล่นกันดีมั้ย? หรือทำอะไรที่เด็กผู้หญิงเขาทำกัน ถึงตอนนี้สถานการณ์มันอาจจะต่างจากที่คิดไว้นิดหน่อยก็เถอะ" โคเกียคุพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างสุดความสามารถ ยังไงเธอเองก็ไม่อยากเสียช่วงเวลายามว่างอันแสนล้ำค่าในวันที่อากาศดีแบบนี้ไปกับการทะเลาะกับเพื่อนสนิทหรอก ก่อนแววตาสีทับทิมจะกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง
"อาลีบาบาจังเองก็ทิ้งเรื่องเครียดๆพวกนี้เอาไว้ก่อนเถอะนะ"

"จริงด้วยสินะ..."


...นั่นสินะถ้าทิ้งเรื่องพวกนี้ไปได้ซะก็คงดี...
อาลีหันหน้ากลับมาก่อนจะยิ้มบางๆให้กับแววตาเบื้องหน้าที่สะท้อนซึ่งบาดแผลจากโซ่ล่าม
แห่งโชคชะตาซึ่งกันและกัน


...หากว่าพวกเรานั้นเป็นเด็กสาวธรรมดาก็คงดี...
แววตาสีทับทิมเรื่อฉายแววเศร้าสร้อยไปวูบหนึ่งกับพัธนการที่ไร้ซึ่งหนทางหนี มีแต่รัดตรึงพวกเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะถึงสุดบั้นปลายแห่งโชคชะตา



เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ โชคชะตานั้นก็มักจะเล่นตลกกับมนุษย์อยู่เสมอ...

.


.


.



"อาลีหายไปไหน"
บรรยากาศเหน็บหนาวครุกครุ่นแผ่ปรกคลุมไปทั่วบริเวณลานกว้างของวังราคุโชว แม้เหล่าทหารบางคนที่ยืนตากแดดเหงื่อไหลเป็นก็อกแตกก็ยังรู้สึกหนาวจนรูขุมขนหด เมื่อองค์ชายโคเอนบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในเจิดจรัสปล่อยรังสีไอเย็นออกมาจนน่าขนลุก ให้ความรู้สึกราวกับจะมีฟ้าผ่าแสกหัวใครบางคนท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นรมย์ที่มีเสียงนกน้อยขับกล่อมบทเพลงก้องไปตามวังราคุโชวอันโอ่โถง ซึ่งมันไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้เอาซะเลย...

"เซชู!" เสียงของแม่ทัพหนุ่มตวาดดังลั่นราวกับฟ้าผ่า เรียกสายตาของทหารทุกเหล่าให้หันหน้าไปมองเจ้าของชื่อผู้โชคร้าย

"คะ คือ..ข้าคิดว่าบอกเจ้านั่นไปแล้วนะ...ขอรับ" 
ชายผู้มีเส้นผมเป็นเกล็ดงูยาวประบ่าพูดพยางค์สุดท้ายด้วยเสียงแผ่วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับ ดวงตาที่แทบจะสาปเขาให้กลายเป็นหินในทันทีที่สบตา เอาเป็นว่าอย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าหัวใจหยุดเต้นเองไปสองวินาทีละกัน

"คิดว่าหรอ? เหมือนจะเจ้าคิดว่าอยู่ๆเจ้าหัวหงอนนั่นก็ละเมอลุกมาขัดห้องน้ำเองใช่รึเปล่า!"



ปล๊าวววววว เจ้าหัวหงอนนั่นมันลุกขึ้นมาขัดเองจริงจริ๊งงงง ข้าแค่แกล้งมันครั้งเดียวเฉยๆ แล้วที่เหลือมันก็เสร่อทำเองหมดเลยขอรับนายน้อย (TT_TT) เจ้าโง่นั่น! ทำข้าโดนด่าเช็ดทุกรอบเลย
แถมทุกครั้งหลังอาบน้ำให้นายน้อยเสร็จมันจะต้องได้ฤกษ์ปวดขรี้ทุกทีสิน่า! ปล่อยให้ข้าเปลี่ยนเครื่องทรงให้นายน้อยอยู่คนเดียว!

รีเซชูถึงกับสะอึกพูดไม่ออก ก่อนจะโดนสายตาของเหล่าภาชนะบริวาณรุ่นพี่มองทับถมจนรู้สึกว่าตัวของเขากำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนดวงตาสีแดงสดจะกรอกลอกแลกไปมาเพื่อคิดหาคำแก้ตัว ความจริงเขาก็แค่แกล้งทำเป็นลืมบอกว่าวันนี้มีการประชุมระหว่างประเทศแค่นั้นเอ๊งงงงง

"ท่านโคเอน อีกไม่นานทูตจากแคว้นอูกิก็จะมาถึงแล้วนะคะ" ฮาคุเอย์ที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น ทำให้ใครบางคนแถวนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนบ่วงที่รัดคอตัวเองกำลังแน่นขึ้นเรื่อยๆ


"เซชูนายก็ไปตามเจ้าเด็กนั่นสิ ความผิดเจ้านิ" ชายอ้วนลงพุงที่สูงราวๆสองเมตรผิดมนุษย์มนาเปรยขึ้นก่อนจะยิ้มจะเห็นฟันดำๆเหมือนฟันของยายแก่เคี้ยวหมากพลางจับปลายหนวดหมุนเล่นไปมาอย่างไม่แคร์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางสายตาเห็นด้วยของคนที่อยู่รอบๆ 

"เดี๋ยวก่อนสิท่างกาคุคิน ให้ข้าไปตามเจ้าเด็กนั่นน่ะนะ!"

"แต่เจ้าเด็กนั่นที่เจ้าพูดถึงก็เป็นถึงมือขวาท่านโคเอนไม่ใช่รึไง เจ้าควรจะรู้ตัวด้วยว่าเรื่องไหนที่ควรทำไม่ควรทำนะรีเซชู" ชายในเครื่องแบบทหารระดับสูงเอ่ยขึ้นก่อนจะส่ายหน้าเบาๆไปมา
   เขาคือหนึ่งในภาชนะบริวาณของโคเอนที่ไม่ค่อยน่าพิศมัยในสายตาของเด็กๆซักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะร่างกายสูงใหญ่
ทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลและใบหน้าเป็นสัตว์ป่าดุร้าย
น่ากลัว จนเด็กที่เห็นต่างร้องจ้าละหวั่นไม่เว้นแม้แต่หลานชายวัยขวบเศษของเขาเอง
(เอิ่ม...สงสารลุงจังค่ะ)


"ไปตามอาลีให้ทันเข้าประชุม!" เสียงของโคเอนตวาดกร้าวไปทั่วบริเวณกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ จนทำให้ผู้รับใช้คนสนิทต้องรีบรับคำอย่างว่องไว

"ขะ ขอรับ!"
ชายหนุ่มเจ้าของทรงผมงูเมดูซ่าแทบจะวิ่งออกไปไม่ทัน ก่อนลุงอ้วนพุงพลุ้ยประดุจรูปปั้น
พระสังขจายจะหัวเราะเบาๆขึ้นในลำคอ 

"วันนี้ข้ามีลางสงหรณ์ว่าจะได้กินผัดเผ็ดงูแฮะ"

.



.



.



"แท่นแท้น!!"
โคเกียคุเอากระจกบานเล็กยื่นให้กับโมลเซียน่าที่นั่งหน้ามุ่ยๆอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าที่ไม่เคยแม้จะถูกเครื่องสำอางบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอ่อนๆ ก่อนดวงตาคมที่กำลังบ่งบอกถึงอารมณ์เซ็งป่อยจะหันไปมอง เจ้าของเสียงคัดค้านการละเล่นแต่งตัวแต่งหน้าเป็นเด็กๆ ซึ่งตอนนี้กำลังหมุนตัวในชุดกระโปรงฟูฟ่องอยู่หน้ากระจกเป็นรอบที่สิบ อย่างน้อยนี่ก็ยังบ่งบอกว่าพวกเธอนั้นก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาๆที่ชื่นชอบชุดกระโปรง เครื่องประดับ และโบว์อันใหญ่ๆ เหมือนกับเด็กสาวทั่วไปที่ใฝ่ฝันถึงตู้เสื้อผ้าที่อัดแน่นไปด้วยชุดสวยงาม กล่องเครื่องประดับที่อัดแน่นไปด้วยอัญมณี และเครื่องประทินผิวที่วางเรียงเต็มโต๊ะเครื่องแป้ง

"คุณอาลีบาบาดูท่าทางเหมือนจะสนุกนะคะ" 
"ไหนว่าเล่นแบบเด็กผู้หญิงน่าเบื่อจะตายไม่ใช่หรอ" โคเกียคุหันไปมองหน้าโมลเซียน่าก่อนจะหัวเราะคิกคักให้กับหนุ่มน้อยในชุดกระโปรงสวยงามราคาแพงลิบที่กำลังทำท่าทางอึกอัก
หน้าแดงลามไปจนถึงใบหู

"ฉะ ฉันไม่ได้กำลังสนุกซะหน่อย!" หญิงสาวในร่างของเด็กหนุ่มเปล่งน้ำเสียงตะกุกคะกักออกมาพร้อมกับใบหน้าเขินอายทำเอาโมเซียน่ากลั้นหัวเราะไม่อยู่
   
    โคเกียคุลุกจากที่ก่อนจะเดินวนรอบตัวของอาลีบาบาด้วยสายตาที่พินิจพิจรณา เหมือนกับแม่ยายที่กำลังดูตัวลูกสะไภ้ใกล้แต่งเข้าบ้านไม่มีผิด 
"ดะ เดี๋ยวสีโคเกียคุ ทำอะไรน่ะ?" คิ้วเรียวขมวดงุดแทบจะชนกัน ก่อนจะหมุนตัวไปมาตามเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังเดินหมุนรอบตนเอง

"อืม...ชุดกระเหมาะดีนะ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ต้องทำผมด้วยสิ!" 
ว่าแล้วโคเกียคุก็ชูหวีหลากหลายขนาดขึ้นมาทันใด ก่อนจะผลักคนที่ตัวสูงกว่าให้ลงไปนั่งบนเก้าอี้ โดยมีโมเซียน่าคอยส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้กับโคเกียคุอีกแรงหนึ่ง พลางถกเถียงกันไปมาว่าปิ่นสีไหนเข้ากับทรงผมมากกว่ากัน หรือจะประดับดอกไม้สีไหนลงไปดี 



มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนหวานละมุน...








"เจ้าอาลี!!! แกอยู่ในนั้นใช่มั้ย!!!"







ที่ช่างเปราะบาง

.

.

.


ประตูบานใหญ่เปิดออกด้วยเสียงอันดังกึกก้อง ก่อนที่ดวงตาทั้งสาวคูจะหันไปมองชายร่างสูงใหญ่ที่ร่างกายเป็นไปด้วยตำหนิเป็นเกล็ดกับงูดูน่ากลัว 

"อาลีนี่มันชุดเห้..." ชายร่างสูงหยุดคำพูดเอาไว้ทันก่อนที่หัวจะหลุดจากบ่า(แต่ก็อาจจะไม่ทันแล้วก็ได้) เมื่อสายตาอันคับแคบของเขาพึ่งจะเห็นองค์หญิงโคเกียคุผู้เป็นเจ้าของเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเต็มห้องอยู่ทั้งหมดทั้งมวลมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับขององค์ชาย
โคเอนที่พึ่งจะไล่ตะเพิดเขาออกมาเมื่อกี้อยู่แหมบๆ 

"รีเซชู? ผู้ติดตามของท่านพี่โคเอนนิ" โคเกียคุขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ ในขณะที่เธอใช้เวลาส่วนตัวอยู่นี้ การบุกเข้ามาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของทหารที่ไม่มีหน้าที่กงการอันใดกับที่นี่ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก 

"ขอประทานอภัยขอรับองค์หญิงโคเกียคุ แต่ข้าเกรงว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากเกินกว่าที่จะอธิบายได้ในตอนนี้" เซชูคุกเข่าลงทันใดก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงพูดและท่าทีอย่างลื่นไหล

"เจ้าต้องการอะไรกันถึงได้บุกรุกเข้ามาถึงตำหนักเรา" โคเกียคุพูดเสียงแข็งต่างจากอิริยาบทที่แสดงออกเมื่อยามที่พูดคุยกับอาลีและโมลเซียน่ามากนักราวกับคนละคน

"องค์ชายโคเอนมีรับสั่งให้เรียกหาตัวท่านมือขวาอาลีอย่างเร่งด่วนที่สุดขอรับ" 
รีเซชุนเหงื่อตกอีกรอบ เขาไม่คิดว่านอกจากอาลีจะเป็นที่สนใจของโคเอนเป็นพิเศษแล้ว ยังเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงโคเกียคุอีกต่างหาก 

...เจ้าหมอนี่มันเป็นใครกันแน่เนี่ย!...


"ท่านพี่? มีเรื่องด่วนอย่างนั้นหรอ?" ดวงตาสีทับทิมเรื่อๆมองไปยังเพื่อนสาวอย่างเสียดาย

"เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ" ร่างบางยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทางประตู โดยที่ไม่ลืมหันมามองเพื่อนสาวทั้งสองอีกครั้ง

"ไว้เดี๋ยวมาเล่นกันใหม่นะ"

.


.



.


"ช่างกว้างขวางสมกับที่เป็นเป็นจักรวรรดิ์แคว้นของพวกข้านั้นดูเล็กไปเลย หน้าชื่นชมจริงๆ"
ชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายคล้ายกับเจิดจรัสแต่มีผ้าคลุมและหนวกขนสัตว์อุ่นดูรัดกุมและใส่เสื้อผ้ามากชิ้นกว่าเอ่ยขึ้นก่อนจะคุกเข้าลงต่อหน้าองค์ชายและองค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งเจิดจรัส พร้อมๆกับผู้ติดตามอีกสี่คน

"ท่านทูตกล่าวชมเกินไปแล้ว" ฮาคุเอย์โค้งเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างถ่อมตน ก่อนจะผายมือไปยังโถงทางเดินเป็นการเชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนเดินเข้าไปยังสถานที่รับรองที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปใกล้ร่างสูงของผู้ที่เป็นทั้งแม่ทัพใหญ่และองค์ชายผู้มียศบรรดาศักดิ์สูงสุดจนแทบจะเรียกได้ว่ามีอำนาจไม่แพ้องค์จักรพรรดิ์แห่งเจิดจรัสเลยก็ว่าได้

"ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะท่านโคเอน เหมือนข้าจะเห็นนางวิ่งมาแล้ว ท่านเข้าไปก่อนเถอะ" น้ำเสียงหวานชวนฟังของฮาคุเอย์พูดอย่างกระซิบกระซาบ หลังจากที่เธอที่เห็นความร้อนรนในแววตาสีทับทิมที่ลุกโหมเป็นไฟมาตั้งแต่เมื่อครู่ 

"ฝากด้วยนะ"
ร่างสูงหมุนเท้าหายเข้าไปในห้องโถงที่ใช้รับรองทูตที่มาจากแคว้นทางเหนือ คงจะไม่มีใครสังเกตเห็นความกังวลใจของแม่ทัพหนุ่มได้ดีไปกว่าองค์หญิงฮาคุเอย์อีกแล้ว


ก่อนที่สาวใช้จะยกน้ำชาเข้ามา อาลีและรีเซชูก็มาถึงหน้าห้องรับรองก่อนเริ่มการประชุมพอดี
ฮาคุเอย์มองเด็กสาว(?) ที่วิ่งเร็วซะจนเหลือเชื่อทั้งๆที่ใส่ชุดกระโปรงหลายชั้นอย่างทึ่งๆ ใบหน้าสวยแดงเป็นวาวเล็กน้อยรับกับแสงแดดดูสุขภาพดี ร่างกายเล็กๆดูบอบบางนั้นแทบจะไม่ออกอาการหอบให้เห็นแม้แต่น้อยบ่งบอกถึงร่างกายที่ผ่านการ(จิกหัวใช้)ฝึกมาอย่างดี

"อาลีสินะ รีบเข้าไปเถอะท่านโคเอนคงจะนั่งอยู่โดยที่ไม่มีเจ้าไม่ได้หรอกนะ" หญิงสาวท่าทางสง่างามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงเลศนัยน์ ก่อนจะขยิบตาให้กับอาลีที่พึ่งมาถึง

โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย...


ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องรับรองที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นพิธีการ สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองมายังผู้มาเยือนคนใหม่อย่างไม่วางตา หนึ่งในนั้นคือโคเอน...

...สภาพให้ชวนเข้าใจผิดนี่มันคืออะไรเจ้าหัวหงอน!...


"อะไรกันเด็กผู้หญิงนี่"
"มือขวาของท่านโคเอนเป็นเด็กผู้หญิงรึเนี่ย?"
"ไม่คุ้นหน้าเลยแหะ"

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่กันเรียบร้อยระยะหนึ่งแล้ว ส่วนอาลีที่เป็นมือขวานั้นก็ยืนอยู่ด้านหลังของเก้าอี้โคเอนตามตำแหน่ง ฝั่งซ้ายมือเป็นท่านทูตและผู้ติดตามอีกสี่คน ฝั่งขวามือเป็นองค์หญิงฮาคุเอย์และผู้ที่มียศศักดิ์ลดหลั่นลงไป ก่อนเวลาน้ำชาจะมาถึง สาวใช้ต่างยกกาน้ำชาและถ้วยชาใบสวยเข้ามารินให้แก่แขก 

แต่ก็กลับเกิดเรื่องวุ่นวายที่ไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย เมื่อมีสาวใช้โชคร้ายคนหนึ่งทำถ้วยน้ำชาที่ปริ่มไปด้วยน้ำชาร้อนๆหกใส่ตักของผู้ติดตามคนหนึ่ง... 
ชายผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะลุกยืนขึ้นพวดพลาดแข้งขาพันกับโต๊ะเก้าอี้จนเซจวนล้ม
โชคดีที่อาลียืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ร่างบางประคองชายที่สูงกว่าตนอย่างมั่นคงก่อนดวงตาคู่สวยหันไปส่งสัญญาณให้สาวใช้มือใหม่ที่นั่งคุกเข่ารอสำเร็จโทษตัวสั่นให้ออกจากห้องไป
มือเรียวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับชายเสื้อที่เปียกอย่างคล่องแคล่วรู้งาน ใบหน้าสวยยิ้มหวานพราวเสน่ห์ให้กับชายหนุ่มที่เกือบจะเซล้มอับอายขายขี้หน้า ก่อนโค้งเป็นการขอโทษ 
"ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ ที่เมื่อซักครู่คนของเราทำเรื่องเสียมารยาท"


    โคเอนมองภาพชวนใจหายใจคว่ำอย่างพึงพอใจ นี่คงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเลือกมือขวาได้ไม่ผิดคน ท่าทางอ่อนน้อมและการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติไม่ออกอาการประหม่าแม้แต่น้อยบ่งบอกว่าผ่านงานพวกนี้มาบ่อยครั้ง 

"หึ องค์ชายปลายแถวงั้นหรอ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในลำคอเบาเกินกว่าที่ใครจะได้ยิน ตามมาด้วยรอยยิ้มที่กระตุกขึ้นมาริมมุมปากได้รูป



"ขอบคุณแม่นางมากจริงๆ" ชายผู้ติดตามส่งสายตาหวานเยิ้ม ก่อนมือไม้จะเลื้อยเกาะเกี่ยวเอวและต้นขาของหญิงงาม(?)ราวกับผีปลาหมึกเข้าสิง 

...เอิ่ม เดี๋ยวนะไอ้หมอนี่มันชีกอนี่หว่า(눈_눈) แล้วทำไมโคเอนมันต้องยิ้มน่าขนลุกแบบนั้นด้วยฟะ! มือขวากำลังโดนลวนลามนะโว้ย... 
มือเรียวพยายามจะแกะมือปลาหมึกที่เกาะแก้มก้นของตัวเองออก พลางมองไปยังองค์หญิง
ฮาคุเอย์ที่มองมาทางเขาแล้วยิ้มหน้าแดงเรื่อด้วยแววตาส่องประกายระยิบระยับ 
...เอ่อ รอยยิ้มแบบนั้นมันมีความหมายอะไรรึเปล่านะ ... 
ใบหน้าสวยพยายามเบนหน้าหนีห่าง หลังจากที่ชายร่างผอมสูงเอาหน้าเข้ามาใกล้และพยายามที่จะกระซิบวาบหวามข้างใบหูเล็กๆน่ากัดชิมเสียให้ได้

"ถ้าไม่รังเกียจละก็..." ในขณะที่ชายผู้มาเยือนจากแคว้นเหมันต์ที่พร่ำพรรณนามุกจีบสาวยาวเป็นหน้ากระดาษกำลังก้มลงกระซิบข้างหูของสาวงามที่เขาพึ่งพานพบนั้นเอง... มือที่ยุกยิกไม่อยู่สุขของเขาก็กลับต้องหยุดนิ่งลงพร้อมกับหน้าถอดสีทันที แววตาหยาดเยิ้มแปรเปลี่ยนไปอย่าง
สิ้นเชิง
ทำเอาอาลีถึงกับฉงนแต่ก็ยังไม่ได้แม้แต่จะตั้งคำถาม ร่างบางก็ถูกผลักล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงท่ามกลางสายตาแตกตื่นของผู้คนในห้องประชุม

"อั่ก!"


"นังจิ้งจอก!!! บังอาจเอามือสกปรกมาแตะตัวข้างั้นหรอ!!!" 
เสียงของชายหนุ่มแผดดังก้องห้องรับรอง ในขณะที่ทูตตัวแทนจากแคว้นอูกิและผู้ติดตามอีกสามคนต่างก็หันมามองด้วยสีหน้าตื่นตกใจเช่นเดียวกัน แต่หาได้ตกใจกับการล้มลงไปของมือขวาขององค์ชายโคเอนไม่ 

"จิ้งจอกงั้นรึ!"
"มะ ไม่หน้าเชื่อ แม้แต่เจิดจรัสก็ยัง..."
น้ำเสียงของผู้มาเยือนต่างหวาดกลัวและแตกตื่นด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมได้แต่มองด้วยความฉงน ก่อนเรื่องจะค่อยๆบานปลายขึ้นเรื่อยๆเมื่อชายผู้สร้างความแตกตื่นเมื่อครู่จะหน้ามืดชักดาบสีเงินแวววาวขึ้นมากลางห้องประชุม 

    โคเอนที่เห็นท่าไม่ดีก็ลุกพรวดจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ก่อนเสียงของเนื้อเหล็กปะทะกันจะดังเสียดหูไปทั่วบริเวณ ดวงตาคู่สวยที่ปิดแน่นค่อยๆลืมขึ้นมามองคมดาบที่ตัดไขว้กันเหนือศีรษะของตัวเองไปเล็กน้อยอย่างตกใจและสับสน ในขณะที่โคเอนจ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามเขม็ง

"หากทำร้ายคนของข้าก็เท่ากับประกาศสงครามกับเจิดจรัส นี่พวกท่านอยากจะประกาศสงครามกับเรางั้นรึ"  เสียงทุ้มกังวาลเอ่ยขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะยอมลดตัวลงมาขอโทษแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนพวกนี้ไม่ได้จะมาเพื่อเจรจาดังที่คุยกันไว้แต่แรก...

โคเอนเหลือบมองคมดาบที่อยู่เหนือเจ้าหงอนโด่เด่นั่นเพียงไม่กี่คืบก่อนจะคิดโล่งใจ หากว่าดาบของเขาช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีคงต้องเสียงบหลวงจัดงานศพให้เจ้านี่แน่ๆ


"ใจเย็นก่อนท่านผู้ติดตาม ได้โปรดลดดาบลงเถิด ถ้าหากนางไม่รับตัวท่านไว้ละก็ตัวท่านก็คงจะต้องอับอายต่อหน้าหมู่ชนเป็นแน่ เหตุใดถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น" องค์หญิงฮาคุเอย์ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงประนีประนอมในแบบที่ตนถนัด

"ข้ายอมอับอายขายหน้าดีกว่าให้นังจิ้งจอกนี่มาแตะตัวข้า!" ชายร่างสูงพูดอย่างเดือดดาล ไม่มีท่าทีที่จะลดดาบลงแม้แต่น้อย ก่อนท่านทูตแห่งแคว้นเหมันต์ลึกลับจะจับมือที่กำดาบแน่นนั้นให้ลดดาบลงก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงห้ามปราม 

ร่างที่ดูเหี่ยวชราก้มตัวลงเล็กน้อยเบื้องหน้าของผู้เป็นมือขวาที่ยังนั่งจุกกองอยู่บนพื้น ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาดูเผินๆเหมือนคนแก่ใจดีคนหนึ่งยื่นเข้ามาใกล้ดวงหน้าสวยราวกับกำลังพินิจบางสิ่งบางอย่าง ก่อนมือที่แห้งแตกนั้นจะกระชากเส้นผมสีทองสลวยขึ้นมาอย่างโหดร้าย จนร่างผอมบางตัวลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ใบหน้าสวยเบี้ยวบิดด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจเป็นอย่างมากของโคเอนแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ 

"เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่" เสียงอันแห้งเหี่ยวของชายมีอายุเอ่ยขึ้นก่อนจะปล่อยมือออกจากกลุ่มเส้นผมสีทองนุ่มมือ "เห็นทีว่าข้าคงจะต้องขอปฎินั้นเสธเงื่อนไขของพวกท่านแล้ว ทั้งเรื่องที่องค์จักรพรรดิ์เสนอมาด้วยพวกเราคงจะต้องขอลาล่ะ" ทูตผู้มาเยือนยิ้มไม่มีทีท่าจะเอ่ยขอโทษกับการกระทำของผู้ติดตามแม้แต่น้อยก่อนทำท่าทีจะเดินออกจากห้องรับรองแขก

"เดี๋ยวก่อนสิท่านทูต!" ฮาคุเอย์ฉุดรั้งเหล่าคณะทูตเอาไว้ด้วยน้ำเสียงแตกตื่น ก่อนรอยยิ้มกระหยิ่มย่องจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของชายมีอายุ ราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จอมละโมบที่มองเห็นกระต่ายตกหลุมพลางของตนดังตุ้บใหญ่


"ทั้งการประชุมที่ไม่มีความพร้อม ไหนจะยังทำเสียมารยาทกับพวกเราถึงขนาดนี้ ท่านจะยังให้พวกข้าทนอุดอู้อยู่ที่นี่อีกหรือองค์หญิง? หรือเห็นแค่พวกข้าเป็นแคว้นเล็กๆถึงได้ให้ผู้หญิงนั่นมาดูถูกผู้ติดตามของข้า ถึงแม้จะเป็นนกตัวใหญ่แต่ถ้าจะจับปลาในแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งมันก็เท่านั้นล่ะนะท่านโคเอน"  เสียงแหบแห้งหัวเราะในลำคอกระตุกไฟฟ้าในอากาศแล่นเปรี๊ยะพุ่งพล่านจนเกิดประกายไฟแล่นลามไปทั่วห้องประชุมดุจไฟป่า แต่ก็หาได้กลัวภัยจากไฟที่ตนเองเป็นผู้จุดประกายไว้ไม่ แม้ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางเชื้อไฟก็ตาม ดวงตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์มองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของชายผู้มีอำนาจล้นมือตรงหน้าอย่างผู้กุมไพ่เหนือกว่า 




ใช่แล้ว พวกเขาหาได้มาเจรจาอย่างที่เคยคุยกันไว้ไม่
แต่มาเพื่อต่อรองบางอย่างที่เจิดจรัสไม่อาจจะปฏิเสธได้...




☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆


ทำไมแค่ลมเพียงแผ่วเบายังทำให้เหน็บหนาว
แค่เพียงแผ่นฟ้าที่ว่างเปล่า ยังทำให้มีน้ำตา
ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน~~~~
(ไม่มีอะไรอยากพิมพ์เนื้อเพลงเฉยๆ555)

ตอนนี้มีแต่บทเครียดๆ การเมืองนี่ไม่ถนัดเลยน้าาา T^T แต่เราก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเรื่องระหว่างประเทศ สงคราม การเจรจาต่อรองมากๆเลยค่ะ มันดูโรแมนติกดี
(น่าจะเป็นผลพวงจากการดูเมะเรื่องHetalia มากเกินไป =_= ) 

แถมตอนนี้ยาวไปเลยต้องทดไปใส่ในตอนหน้าแทน  (유∀유) ฮืออออออ
คือมีผู้เขียนหรือผู้อ่านคนไหนคิดแบบเราบ้างคะ ว่าพอตัวละครมีการขยับร่างกายหรือ
ก้าวเท้าเอียงซ้ายไปเล็กน้อยเนื้อเรื่องกับแนวทางดำเนินเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเลยน่ะค่ะ 

ตอนนี้คือเขียนงงๆเบลอๆหน่อย แต่ในส่วนของตอนหน้านั้น...เมากาวเลยค่ะ

****และสุดท้ายนี้ขอลาไปด้วยภาพFanartของอาลีบาบาที่ไรท์เตอร์เค้นฝีมือที่เคยเรียนศิลปะตั้งแต่อนุบาลจนมาถึงตอนนี้... 



อาลีบาบาหรือโมริ รันกันแน่ ไปตามหาชินอิจิเลยมั้ย? ที่ฟิคอัพช้าเพราะไรท์เตอร์เอาเวลาไปนั่งวาดรูปเล่นนี่แหละ5555 ดีใจนะที่มาทางสายเขียนไม่ใช่สายวาด//มองรูปตัวเอง


ดูภาพบาดตากันไปแล้วขอให้ทุกคนมองมาที่นี่...




และนี่คือภาพที่รูมเมทช่วยวาดให้เราค่ะ ลงสีซะตะมุตะมิเชียว (ㆁᴗㆁ✿)


นี่สินะที่นิยายจีนชอบบรรยายสีผิวของนางเอกว่า ผิวขาวงามราวเครื่องเคลือบ...
//ว่าแล้วก็ไปบิ้วอารมณ์ ดูหนังจีนวนไปค่ะ เฮอๆๆ

****เจอกันใหม่ตอนหน้าคิดว่าน่าจะมีโมเม้นต์หวานๆของคู่พระนางออกมามั่งซะที
คือโดนรูมเมทแซะว่า เอาโคเอนออกมามั่งเหอะจะลืมอยู่แล้วว่าพระเอกเป็นใคร T^T
โอ๊สสสสสสส นี่พระเอกหรือตัวประกอบ //หลบตรีนแบบดิจิตอล


To be continued

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น