วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561

[FIC MAGI] GOLDEN FAIRY (โคเอน x อาลีบาบา) Chapter 2





ประกายแสงสีม่วงนวลส่องสว่างจากฝ่ามืออันอบอุ่นก่อนจะค่อยๆเลือนหายไปพร้อมๆกับบาดแผลฉกรรจ์จากไหล่จนถึงกลางหลังที่บัดนี้ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ

"เรื่องนี้ขอให้ท่านเป็นความลับจะได้รึเปล่า" เสียงเรียบทุ้มที่ดังจากด้านหลังพูดขึ้น

"อะ..อื้ม ข้าไม่บอกใครหรอก"

"กลับกันเถอะ..ขึ้นมาสิ" คนที่ดูอายุมากกว่าคุกเข่าลงต่ำเป็นเชิงให้อีกฝ่ายขึ้นขี่หลัง

"ตะ แต่..ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว"
"เวทมนต์ที่ช่วยฟื้นฟูบาดแผลอย่างรวดเร็วจะทำให้ร่างกายท่านอ่อนล้าขึ้นมาเถอะขอรับองค์ชาย"เจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นยังคงยืนกรานเช่นเดิม
"ยะ อย่ามาบ่นว่าหนักทีหลังก็แล้วกัน" มือและท่อนแขนเล็กๆนั้นค่อยๆวางบนบ่ากว้างแล้วโอบรอบต้นคอของคนที่คุกเข่าอยู่อย่างหลวมๆ
เป็นแผ่นหลังที่อุ่นมากๆ...

ร่างกายเล็กๆลอยขึ้นในทีเดียวด้วยแรงที่มหาศาลของคนที่ตัวใหญ่กว่า เหมือนกับลูกลิงที่กำลังเกาะหลังแม่ไม่มีผิด ผมสีแดงเข้มเหมือนกับสีของเมล็ดทับทิมแก่...



"นี่..." 

"..."
 "แค่เฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคน ข้าขอเรียกท่านว่าพี่ได้รึเปล่า"

.


.

.



 "องค์ชาย! องค์ชายอาลีพันเซล!"
"อะ..อืม..."
 เปลือกตาบางที่ปิดสนิทขยับขยุกขยิก ก่อนค่อยเปิดออกอย่างเกียจคร้านเมื่อโดนแสงกระทบเข้าที่เปลือกตา

...ยังไม่เช้าเลยนี่... 

"องค์ชายไม่เป็นไรนะขอรับ รู้สึกแปลกๆมั้ยขอรับ" 

"บะ..บัลคาร์ก?" เพราะแสงจากตะเกียงที่สว่างจ้ามากเกินไป จนทำให้องค์ชายขี้เซาที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลืมตาไม่ได้ บัลคาร์กที่เหมือนจะพึ่งรู้สึกตัวจึงค่อยๆยกตะเกียงออกไปห่างๆ ก่อนร่างที่ผอมบางจะค่อยๆยันกายลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างไร้เรี่ยวแรง 

"รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนมั้ยขอรับ..ตัวของท่านดูเหมือนจะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ" ชายหน้าตามีริ้วรอยขึ้นบ่งบอกถึงอายุที่เริ่มมากแล้วถามไถ่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง 

"ก็ร้อนน่ะ...แล้วก็ฝันแปลกๆอีกแล้ว"

"ฝันถึงเรื่องนั้นหรือขอรับ?" บัลคาร์กแสดงสีหน้ากังวลออกมา
"ดีจริงๆที่ข้ามาดูก่อนวันนึง ไม่งั้นท่านอาจเข้าฤดูผสมพันธุ์ไปแล้วก็ได้"ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงยื่นถ้วยยาที่ใส่อยู่ในถาดให้คนบนเตียงอย่างระมัดระวัง

"ว่าแต่ ทำไมถึงมาดึกแบบนี้ล่ะ แล้วช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้าง ได้ไปที่ไหนบ้างรึเปล่า" คนที่อยู่บนเตียงรัวคำถามชุดใหญ่ด้วยเสียงอ่อนแรงก่อนจะค่อยๆจิบยาในถ้วยอุ่นที่ได้รับมา 

"ในวันพรุ่งนี้จะมีตัวแทนทูตจากจักรวรรดิเจิดจรัสมาที่ประเทศของเราขอรับ เพราะอย่างนั้น ข้าอาจจะไม่ได้เข้ามาที่นี่ซักระยะ.." 

"เจิดจรัสประเทศของกุยน่ะหรอ น่าตื่นเต้นจังเลยนะ คนจากประเทศใหญ่ๆแบบนั้นมาพวกบัลคาร์กก็คงจะยุ่งมากสินะ" องค์ชายผมสีทองพูดพลางค่อยๆจิบของเหลวสีแชมเปญที่เหลือในถ้วยทีล่ะนิดหลังจากที่คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงพูดว่าจะไม่ได้เข้ามาซักพักจบประโยค บัลคาร์กมองอาลีพันเซลที่กำลังละเลียดจิบยาในถ้วยเพื่อถ่วงเวลาเขาอย่างเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ในสายตาของเขา อาลีพันเซลก็เป็นลูกศิษย์คนโปรดตัวน้อยๆของเขาอยู่เสมอ แม้ว่าเจ้าตัวจะจำมันไม่ได้ก็ตามที

"องค์ชายรีบดื่มยานั่นให้หมดแล้วพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอีกสามวันหลังจากนี้ข้าจะเข้ามาใหม่" บัลคาร์กมองคนที่ทำหน้าหงอยซดยาจนหมดถ้วยอย่างแอบนึกขำเบาๆในใจไม่ได้ 

"จริงสิ ข้ามีของฝากเล็กน้อยให้กับท่านด้วย มีช่วงหนึ่งที่ข้าบินข้ามเขตไปยังประเทศของมนุษย์ทางตะวันออก" ห่อสีทึบในมือคู่ใหญ่ถูกคลี่ออกมา เผยให้เห็นหีบคริสตัลสีใสขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงจากแสงตะเกียงไฟ ด้านในอัดแน่นไปด้วยวัตถุทรงกลมสีสวยหลากสี 

"เจ้าลูกแก้วที่มีกลิ่นหวานๆนี่มันคืออะไรหรือบัลคาร์ก "นิ้วมือเรียวเปิดหีบก่อนหยิบเจ้าลูกกลมๆสีใสขึ้นมาอย่างพิศวง ก่อนนำมันไปส่องผ่านแสงจากตะเกียงไฟ เมื่อแสงกระทบเข้ากับเจ้าวัตถุทรงกลมกลิ่นหอมหวานนั่น มันก็ให้สีสันที่แปลกตาอย่างน่าอัศจรรย์ 

"มันเรียกว่าลูกกวาดขอรับองค์ชาย" บัลคาร์กตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

"ขอบคุณมากนะ"อาลีพันเซลตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกมูนโรสที่แปล่งแสงล้อดวงจันทร์ยามค่ำคืน ก่อนจะวางมันไว้ใกล้กับหัวเตียงราวกับว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าที่สุดที่เขาเคยได้รับมา บัลคาร์กยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะร่ำลากับอดีตลูกศิษย์คนโปรด แล้วเดินกลับไปยังชั้นล่างสุดที่มีประวงเวทย์ดาราทางเข้าออกเพียงทางเดียวของหอสมุดเปิดค้างเอาไว้ สีของมันล้ำลึกราวกับห้วงฟ้ายามราตรีอันหน้าหลงไหล ร่างของ บัลคาร์กอันตธานหายไปพร้อมกับวงเวทที่หดเล็กลงจนหลงเหลือเพียงแค่พื้นหญ้าที่กำลังหลับไหล

.

.

.

     ภายใต้พื้นผิวของซากปราสาทปรักหักพัง ลึกลงไปยังห้องโถงใต้ดินอันมืดทึบปิดกั้นจากแสงทิวาและราตรี เบื้องบน และเหนือสิ่งอื่นใด ปิดกั้นแสงจากเบื้องล่างไม่ให้เล็ดลอดออกไป

เด็กสาวผมแดงสะดุดตา เจ้าของใบหูคู่ที่สองที่ชูตั้งกระดิกไปมาราวกับหูของแมวน้อย มองไปยังประตูดาราที่สั่นไหวด้วยสายตาหวั่นๆ ก่อนที่จะปรากฎร่างของแม่ทัพบัลแบดอันคุ้นเคย เธอจึงผละออกจากอุปกรณ์เวทมนต์ที่ควบคุมทางเข้าออกหอสมุดแล้วปรี่เข้าไปหาผู้มาเยือนจะอีกฝากของประตูอย่างเป็นกังวลใจ

"ท่านบัลคาร์ก ท่านอาลีบา..เอ่อ องค์ชายอาลีพันเซลเป็นยังไงบ้างคะ" เด็กสาวผมสีแดงสะดุดตาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นบัลคาร์กมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

"ดูเหมือนว่าผนึกขององค์ราชาองค์ก่อนคงต้านฤทธิ์ของพันธสัญญาได้อีกไม่นานแล้ว.." บัลคาร์กถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อช่วงเย็นนี้เองหลังจากที่เขาได้รู้รายชื่อของคณะทูตที่มาจากเจิดจรัสหลังจากนั้นเขาก็รีบร้อนเดินทางออกจากเมืองหลวง มาตรวจดูความเรียบร้อยที่นี่ทันที โชคดีที่ยังไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจไม่ผิดจริงๆที่ให้ฮาร์ฟบีสต์อย่างโมลเซียน่าคอยช่วยสอดส่องเรื่องนี้ให้อีกแรง นอกจากฮาร์ฟบีสต์จะมีพละกำลังอันหน้าเหลือเชื่อแล้ว ประสาทการรับรู้ก็ยังสูงมาก แม้ฟีโรโมนขององค์ชายจะปล่อยออกมาเจือจางแค่ไหนก็ยังสามารถรับรู้ได้ แม้จะผ่านประตูดาราก็ตาม... 


"ระหว่างนี้เธอแค่อย่าให้พวกเจิดจรัสเห็นตัวก็พอ ระวังตัวด้วยล่ะโมลเซียน่า จนกว่าการเจรจาของบัลแบดกับเจิดจรัสจะจบลง..."


บัลคาร์กหมุนตัวออกไป เพื่อจะต้องไปให้ทันการประชุมระหว่างประเทศที่จะถูกจัดขึ้นในเช้าวันนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกซะจากหนี้สินจำนวนมหาศาลที่คั่งค้างมานานขององค์ราชาภูติคนปัจจุบันของบัลแบด
ในระหว่างเดินทางโดยใช้รถลากแมลงปอขนาดยักษ์นั้น บัลคาร์กก็ได้คิดถึงเรื่องเขตแดนกับสิทธิเส้นทางการค้าบางเส้นทางที่ตอนนี้ถูกนำไปใช้ค้ำประกันหนี้สินทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า และในการประชุมครั้งนี้เองที่เจิดจรัสจะมาทวงหนี้สินและดอกเบี้ยบานตะไท โดยมีข้อเสนอว่าจะคืนที่ดินและอาณาเขตบางส่วนให้ แลกกับสิ่งล้ำค่าที่มีค่าพอจะจ่ายให้กับจักรวรรดิ เขาได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งนั้นไม่ใช่แท่นบูชาอันล้ำค่าที่ราชวงศ์ของภูติสีทองดูแลสืบต่อกันมาหลายรุ่นต่อหลายรุ่นหรอกนะ



     ไม่กี่อึดใจที่รถลากเทียมแมลงปอยักษ์ก็มาถึงลานกว้างของพระราชวังบัลแบด ท้องฟ้าสีครามก็เริ่มแผ่เส้นริ้วสีทองขึ้นมาให้เห็นยังปลายขอบฟ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่ง บ่งบอกถึงรุ่งอรุณของบัลแบดได้มาเยือนอีกครา
"ยังมาทันก่อนการประชุมเริ่มสินะ"

ขุนพลของบัลแบดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนหางตาจะหันไปเห็นขบวนรถลากขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยเพชรและทองตัวรถสลักด้วยลวดลายประณีตงดงามลากด้วยกริฟฟอนตัวใหญ่ขนมันเงาหน้าเกรงขามทั้งห้าตัวและมีธงของเจิดจรัสห้อยเอาไว้ที่คอของพวกมัน



...ซะที่ไหนล่ะ...




บัลคาร์กมุ่งไปยังห้องประชุมให้เร็วที่สุดเท่าที่แรงปีกของเขาจะบินไปได้
ไม่คิดเลยว่าการประชุมจะเริ่มก่อนเวลาขนาดนี้ หวังนี่คงไม่ใช่เพราะราชาอัปหมัดทำอะไรไปโดยพละการอีกนะ...
ขุนพลแห่งบัลแบดเปิดประตูบานใหญ่ของห้องโถงประชุม เสียงของบานประตูเรียกให้ทุกสายตามองมาทางเข้าอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะสายตาของสมาชิกสภาของเจิดจรัสที่แฝงไปด้วยคำตำหนิ


"ขออภัยที่มาช้า..." รางสูงกำยำสวนทางกับอายุที่ขึ้นเล็กหลักร้อยโค้งตามมารยาท ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายร่างสูงที่นั่งแผ่นหลังเหยียดตรงทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาคมเข้มสีทับทิมที่แฝงไปด้วยอำนาจ มองมาทางเขาด้วยแววตาที่เหมือนกับเมื่อ7ปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ในสงครามครั้งสุดท้ายของเพลลูมเขาเองก็เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายหนุ่มผู้นี้ในฐานะขุนพลเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฐานะระหว่างพวกเขานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว

ในขณะที่บัลคาร์กยังคงย่ำอยู่กับที่ เด็กหนุ่มในสนามรบเดียวกันกับเขานั้นก็ได้กลายเป็นถึงสมาชิกระดับสูงของสภาที่ทรงอำนาจมากที่สุดในโลกอันเป็นที่รู้จักกันดีในนาม 'ปีกที่สามแห่งฟากฟ้าตะวันออก เรน โคเอน'


"ข้านึกว่าท่านบัลคาร์กจะไม่มาซะแล้ว เข้ามานั่งสิ พวกเรากำลังจะตกลงกันได้อยู่พอดี" องค์ราชาภูติตัวอ้วนเหมือนหนอนด้วงช้างหันมา ก่อนจะผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามานั่ง แล้วจึงเริ่มประชุมกันต่อโดยที่บัลคาร์กได้แต่กระวนกระวายร้อนรนอยู่ในใจตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'กำลังจะตกลงกันได้พอดีของราชาอับหมัด ในขณะที่ราชาภูติหมูตอนนั่นแสดงท่าทีลั้นล้าเกินปรกติของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้มาทวงเงินถึงบ้าน



นี่การประชุมนี้มันเริ่มก่อนเวลาขนาดไหนกันแน่ แล้วทำไมองค์ราชาถึงได้ดูท่าทางเบิกบานขนาดนั้นกัน เขาอยากจะสะกิดคนข้างๆถามเค้นถามเรื่องที่คุยกันไปเหลือเกิน จนคันปากยิบๆแต่ก็ติดว่าจะเสียมารยาท



"สรุปว่าท่านแน่ใจนะว่าจะคืนอานาเขตของเราคืนทั้งหมดโดยแลกกับสิ่งนั้นน่ะนะ ถึงข้าจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นสิ่งมีค่าอะไร" อับหมัดเอนหลังพิงพนักพิงก่อนแขนสั้นๆจะหยิบเอาขนมที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์

บัลคาร์กหูผึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขานั่งสั่นขามาตั้งแต่ตอนก้นจุ่มถึงเก้าอี้แล้ว สรุปว่าราชาอับหมัดเอาอะไรไปแลกคืนกับอาณาเขตทั้งหมดกันแน่ถึงได้ดูสบายใจขนาดนั้น ความไม่แยแสอะไรของอับหมัดนั้นทำให้เขากังวลเหลือเกิน หวังว่าคงจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาคิดหรอกนะ ขอให้ไม่เป็นแท่นบูชา แล้วก็ไม่ใช่คฆาที่ทำจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินภูติด้วยเถอะ ราชาหมูตอนของพวกเขาชอบทำอะไรแบบขอไปทีซะด้วยเนี่ยสิ!




"ใช่แล้ว ข้าต้องการหอสมุดต้องห้ามของราชาองค์ก่อน"
ชายผู้มีผมสีแดงดั่งเปลวเพลิง เจ้าของใบหน้าอันหล่อคมตัดกับแฟชั่นเคราแพะสุดเชยพูดด้วยท่าทีสุขุม




พรวดดดดดด!!!!!!

บัลคาร์กที่กำลังกระวนกระวายหยิบน้ำขึ้นมาดื่มดับความว้าวุ่นใจถึงกับต้องบ้วนออกมาทั้งหมด จนทุกสายตาในห้องประชุมหันกลับมามองที่เขาเป็นสายตาเดียวกันอีกครั้ง

"แบบนั้นมันไม่ได้นะ!!!" ภูติปีกแมลงปอบัลคาร์กขุนพลแห่งบัลแบดยืนพรรวดขึ้นกลางที่ประชุมทันที ก่อนจะหันหน้าไปทางราชาอับหมัดที่ขมวดคิ้วยุ่งอย่างขัดใจ

"เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน กะอีแค่หอสมุดที่ไม่ได้ใช้งานหอเดียว" ราชาอ้วนสำราญมองขุนพลของตนยืนโวยวายหน้าตาตื่นอย่างเสียอารมณ์ ในการต่อรองที่เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่นี้ถ้าพวกเจิดจรัสโง่พวกนั้นเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำยังไง!! นี่มันเป็นโอกาสปลดหนี้ที่ต่อให้เกิดใหม่อีกชาติหนึ่งก็ใช้ไม่หมดเลยนะ!

"แต่นั่นเป็นหอสมุดเวทมนต์ของราชาองค์ก่อน ไม่ใช่หอสมุดธรรมดานะขอรับ ได้โปรดทบทวนใหม่ด้วยเถอะ ท่านอับหมัด" บัลคาร์กยืนกรานอย่างหนักแน่น โดยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่กระตุกขึ้นมายังมุมปากของชายหนุ่มผู้ที่กำลังเสียเปรียบอยู่ในการต่อรอง อย่างน้อยก็ในความคิดของราชาอับหมัด



"แต่ตอนนี้ราชาก็คือข้า! ข้าจะทำยังไงกับมันก็ได้"


.



.



.



          ยามเช้าอันสดใสของเช้าในวันที่สามที่ภูติสีทองผู้ดูแลหอสมุดรอคอยก็มาถึง ทุกอย่างรอบตัวเขาในวันนี้ช่างสดใสกว่าทุกวัน เขาตื่นเร็วกว่าปรกติ อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่นยิ่งกว่าน้ำค้างที่กลิ้งไปมาบนปลายใบของต้นพอลพลัก
ร่างกายอันบางเบากระโดดหมุนตัวกลางอากาศราวกับว่ากำลังโบยบิยด้วยแรงปีกของตนเอง พลางฮัมเพลงไปด้วยหลังจากอาบน้ำในตอนเช้าเสร็จ

"เจ้าว่าสีไหนดีกว่ากัน"
ภูติสีทองยืนอยู่หน้ากระจก ก่อนจะทาบชุดระหว่างสีขาวและแดงสลับไปสลับมา หันไปถามเถาดอกมูลโรสขี้เซาที่เลื้อยพันโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเกียจคร้าน


"นั่นสินะวันนี้เป็นสีขาวหน้าจะดีกว่า" เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักหน้ากระจก วันนี้เขาเอาช่อของดอกเดซี่สีขาวแซมเข้าไปตามผมสีทองดูน่ารัก มันคงจะเข้ากันได้ดีกว่าชุดสีแดง ว่าแล้วก็เอาชุดสีแดงกุหลาบเก็บเข้าตู้ไปตามเดิม ก่อนจะหยิบกระโปรงยาวพริ้วไสวบางเบาเหมือนผ้าใยบัวสีขาวพิสุทธิขึ้นมาใส่ ชายกระโปรงสีขาวที่เปื้อนเกสรของต้น พอลพลักจากเส้นผมของอาลีพันเซลส่องประกายสีทองงดงามราวกับชุดถูกเสกด้วยเวทย์มนต์

ภูติสีทองหมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ วันนี้ถึงจะมีหนังสือที่น่าสนใจอ่านค้างเอาไว้แค่ไหน หรือตอนต่อไปของหนังสือนิยายที่อ่านเมื่อคืนจะเป็นยังไงก็ไม่อาจดึงความสนใจของเขาไปได้ นอกจากเสียงอันอึกทึกดังขึ้นเบื้องล่างอันเป็นสัญญาณของประตูดารากำลังเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ สัญญาณที่บอกถึงการมาของ บัลคาร์กและเรื่องเล่าถึงการผจญภัยอันแสนน่าตื่นเต้นที่เขารอคอยมาหนึ่งเดือนเต็ม ภูติสีทองหมุนตัวเช็คความเรียบร้อยรอบแล้วรอบเล่า พลางคิดไปว่าบัลคาร์กคงจะต้องแปลกใจแน่นอนที่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปรอที่ชั้นล่างเหมือนทุกครั้ง แล้วก็จะต้องบินหน้าตาตื่นขึ้นมาแน่ๆ


อาลีพันเซลหัวเราะคิกคักหน้ากระจก จนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเสียงบทสนทนาของคนมากกว่าสองคนกำลังดังเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...

.




.




.




"เฮ้อหน้าเบื่อ...ก็นึกว่าคอลเลคชั่นหนังสือของราชาองค์ก่อนจะเป็นหนังสืออย่างว่าซะอีก" ชายหนุ่มหน้าสวยราวกับเด็กสาวแรกแย้มใช้มืออันบอบบางน่ารักหยิบสั่วๆหนังสือตามกำแพงขึ้นมาเปิดพลิกเล่น ก่อนจะเก็บไปที่เดิม ถ้าไม่เกรงใจพี่ชายของตนแล้วละก็เขาคงจะโยนแหมะลงบนพื้นไปแล้ว

"เสียมารยาทน่ะโคฮา" ชายหนุ่มที่ดูอายุมากกว่าปราม ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือตามกำแพงต่อด้วยแววตาเป็นประกายหลงไหลอย่างไม่น่าเชื่อว่าชายผู้จับดาบผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน จะสนใจหนังสือเก่าๆและวิชาความรู้ ก่อนกลางแผ่นหลังที่ว่างเปล่าและสะโพกของเขานั้นจะปรากฎปีกสีเพลิงส่องแสงเป็นประกายที่ห่อหุ้มด้วยความร้อนมหาศาลราวกับดาวตก แต่มันกลับไม่ทำให้สิ่งที่โดยขนปีกสัมผัสนั้นเป็นรอยไหม้แม้แต่น้อย


สิ่งนั้นคือปีกอันหน้าเกรงขามอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่ากุย...


การทรงตัวอยู่กลางอากาศเพื่อที่จะชื่นชมหนังสือในแต่ละชั้นของโคเอนนั้นน่าทึ่งมาก ราวกับเขาเหยียบอยู่บนอากาศยังไงยังงั้น มันเป็นการทรงตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ขนาดบัลคาร์กที่เป็นภูติปีกแมลงปอยังไม่สามารถที่จะบินทรงตัวกลางอากาศได้อย่างไม่โงนเงนแบบนั้นได้เลย

"ท่านบัลคาร์ก ข้าอยากจะสารภาพกับท่านอยู่เหมือนกัน" โคเอนพูดขึ้นในขณะที่มือของเขากำลังพลิกหน้าหนังสืออย่างเพลิดเพลิน "เมื่อราวๆ5ปีก่อนข้าเลยแอบบินขึ้นไปดูยอดบนสุดของหอสมุด แต่ไม่ว่าบินยังไงก็บินไม่ถึงหยั่งกับว่าหอคอยมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่คิดว่าจะมีทางเข้าโดยใช้ประตูดาราที่ทำขึ้นสำหรับหอสมุดนี้โดยเฉพาะ" ชายร่างสูงหัวเราะให้กับสิ่งที่ดูเหมือนมุกตลก(?)ที่ตัวเองพ่นออกมา

"นั่นคงเป็นเวทขององค์ราชาองค์ก่อนที่ร่ายใส่ไว้เพื่อปกป้องหนังสือน่ะขอรับ" บัลคาร์กตอบอย่างเรียบนิ่ง แต่ภายในใจของเขานี่แทบจะลุกเป็นไฟ ตั้งแต่โคเอนยื่นเงื่อนไขมาว่าเขาต้องได้เห็นหนังสือที่อยู่ในหอสมุดต้องห้ามก่อนถึงจะยอมตกลงแลกหอสมุดกับหนี้มหาศาลของราชาอับหมัด แถมทางพวกราชทูตเองก็เหมือนจะไม่ยอมรามือออกจากเขาง่ายๆ ทั้งๆที่การเฝ้ายามไม่ได้เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆแต่ก็ยังอยากขอให้มาเป็นคนเฝ้ายามหน้าที่พักให้อีก ชะรอยว่าต่อจากนี้ก็คงจะโดนปลดจากขุนพลและเลื่อนขั้นไปเป็นทหารเฝ้ายามแทน...

และเรื่องนั้นไม่สำคัญเท่า องค์ชายอาลีพันเซลยังคงอยู่ในหอสมุดแห่งนี้ แต่หน้าแปลกที่องค์ชายวันนี้ไม่ได้ลงมารอข้างล่างเหมือนทุกวัน สงสัยจริงๆเลยว่าจะล้มป่วยรึเปล่า แต่ว่าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็อย่าโผล่ออกมาจนกว่าคนจะเจิดจรัสจะออกไปก็แล้วกันนะ

ขุนพลภูติบัลคาร์กได้แต่มองโคเอนที่บินสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างเป็นกังวล แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้ากิ่งก้านใบที่แผ่อย่างเอกเขนกของเจ้าตันพอลพลักที่แผ่ขยายปกคลุมซะจนมองไม่เห็นชั้นบนสุด ถึงแม้ทุกครั้งที่มาเขาจะบ่นว่ามันเกะกะมากก็ตาม

"ในเมื่อพวกท่านได้เห็นแล้ว..."

บัลคาร์กที่กำลังจะเอ่ยปากไล่แขกจู่ๆก็หน้าถอดสี เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า ลิ้นของเขาไม่อาจจะสร้างถ้อยคำใดๆออกมาได้ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ในวินาทีนั้นเองที่เขาได้ตระหนักถึงคำคำหนึ่ง



'โชคชะตา'
เส้นด้ายบางๆที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ ไม่ว่าเราจะเอาอีกปลายด้านของมันเก็บไว้ในหีบที่ล็อกกุญแจไว้อย่างดี แต่สุดท้ายอีกปลายด้านของมันก็จะชักนำเข้าหากันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว

 'ดอกลิลลี่ขาว ดอกลิลลี่เขียว ได้ยินเสียงนี้ไหม
นกสีฟ้าร้องเพลง ลั้นลันลั้นลา
อย่าร้องไห้เลย อย่าร้องไห้เลย ดอกเดซี่ยิ้ม
ลั้นลาลั้นลา'

บัลคาร์กที่ได้ยินเสียงเพลงเริงร่าหันมองไปทางโคเอนที่หลับตาอย่างสงบนิ่งแล้วฮัมทำนองเพลงไปตามเสียงเพลงอันไพเราะที่ก้องกังวาลไปทั่วหอสมุดอันเงียบเชียบ ก่อนเสียงหัวเราะนุ่มทุ้มของชายผู้เป็นปีกที่สามแห่งฟากฟ้าตะวันออกจะก้องกังวานขึ้นในลำคอ


"กะแล้วเชียว ที่นี่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อซ่อนหนังสือสินะ"






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




อับหมัด: ฉันเป็นราชา ฉันจะทำอะไรก็ด้ายยยยยย!!!
บัลคาร์ก: แต่แกจะขายหอสมุดไปพร้อมกับอาลีบาบาไม่ได้! #ทีมนายอ.

***ในที่สุดก็มาอัพซักที มีความหน่วงขั้นสูงสุด รู้สึกช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนเลยค่ะ T^T ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เมนหลักของเราเลยจะอัพช้ากว่าเรื่อง Escape อยากจะแยกร่างแยกสมองออกมาแต่สองเรื่องพร้อมๆกันจริงๆ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น