วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER19






โชคชะตาช่างน่าขันนัก แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงซักเท่าใด
เจ้าก็จะยิ่งวิ่งตรงไปหามันเท่านั้น…



"อะ..อืม..."

ผิวเนื้อที่สัมผัสกับความรู้สึกอุ่นแปลกๆ ที่กำลังลูบไล้ไปตามลำตัว ความรู้สึกประหลาดนี้ทำให้กล้ามเนื้อของกระตุกเกร็งตามสัมผัสนั่น  ร่างกายท่อนล่างของฉันเหมือนถูกบางอย่างกดทับไว้จนขยับไม่ได้

สิ่งแรกที่ฉันรู้สึกถัดจากความรู้สึกหนักในขณะที่สติเริ่มฟื้นคืนมานั้นคือกลิ่นหอมของแป้งดอกมู่หลานที่ลอยฟุ้งอย่างอ่อนโยนในห้องกว้างที่ประดับอย่างงดงามและเตียงอ่อนนุ่มยิ่งกว่าเตียงในห้องเล็กแคบที่วังราคุโช ฉันคงอยากจะปิดตานอนเคลิ้มฝันอีกรอบถ้าหากไม่พบว่าชุดนอนของตนเองอยู่ในสภาพหลุดลุ่ยกึ่งเปลือย และมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานอนคร่อมประทับรอยจูบไปทั่วแผ่นอกและหน้าท้องของฉัน!

"ฮะ..เฮ้ยนี่เธอ!!!"
ฉันร้องเสียงหลงเมื่อใบหน้าสวยชวนหลงใหลนั่นเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ ก่อนหญิงสาวที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเช่นเดียวกันจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา

"อ่าวตื่นแล้วหรอ?" ดวงตาสีทองดั่งต้องมนต์สบกับสายตาของหนุ่มน้อยที่พึ่งตื่นนอนก่อนจะคลี่ยิ้มทักทาย

"อะ...องค์ราชินี!"

"ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนั้นเลย เมื่อวานเราก็น่าจะรู้จักกันบ้างแล้วนี่" มือเรียวสวยเท้าคางมองมาทางฉันด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านแม้ว่าหน้าอกกลมสวยได้รูปที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆปิดบังจะกองแนบสนิทอยู่บนหน้าท้องของฉันก็ตาม แต่...เดี๋ยวนะ!? นี่มันเรื่องอะไรกัน! ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะโดนฆ่าหรอกหรอ? แล้วโคเอนล่ะ? เด็กน้อยคนนั้นล่ะ?

ดวงตาตื่นตกใจเป็นกระต่ายน้อยนั่นเรียกเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาในลำคอของ 'ทันเซย์' อย่างเจ้าเล่ห์ก่อนปลายนิ้วเรียวของเธอจะวาดนิ้วเบาๆชวนจั๊กจี้ลงบนแผ่นอกของหนุ่มน้อยหน้าหวานสวยราวกับสตรีเพศตรงหน้า

"ต้องยอมรับว่าบางอย่างในตัวของเจ้ามันทำให้ข้าร้อนรุ่มจนอดใจไม่ไหวเลยล่ะ หึหึ ดูท่าทางเจ้าจะยังใช้ร่างกายนี้ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่เลยนะ อายุน่าจะถึงวัยออกเหย้าเรือนได้แล้วแท้ๆ"


"นะ..นี่มันเรื่องอะไรกัน? โคเอนล่ะ..."

ปลายนิ้วเรียวที่มีกลิ่นของน้ำมันดอกกุหลาบแตะลงบนริมฝีปากของฉันทันที ก่อนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
"เจ้าไม่ควรเอ่ยชื่อผู้ชายอื่นในขณะที่เรายังสนุกกันอยู่บนเตียงแบบนี้นะ"


เมื่อเรียวนิ้วสวยถูกถอนออกจากริมฝีปาก ฉันที่ทำท่าจะพูดต่อก็ต้องกลืนคำพูดกลับไปอีกครั้งเมื่อลองมองดีๆแล้ว…

"ดูสิตรงนี้ของเจ้ามันซื่อตรงขนาดไหน ขนาดใช้มือทำให้เสร็จไปรอบหนึ่งแล้วนะเนี่ย"

ฉันยันตัวขึ้นจากเตียงนุ่มมองตรงส่วนที่ตั้งชูชันของตัวเอง
นะ นี่มัน อะไรฟร้าาาาาาาา ยัยนี่ทำอะไรกับฉัน!!! ทะ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้!


"หุหุ อย่าบอกนะเจ้ายังไม่เคยทำมันซักครั้งแม้แต่ช่วยตัวเองน่ะ" กลีบปากสวยยิ้มกรุบกริบก่อนมองมายังหนุ่มน้อยที่สั่นเป็นลูกกระต่ายด้วยแววตาของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์



  ฉันอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายถอยไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมด้วยใบหน้าแดงร้อนไปถึงใบหูเหมือนกาต้มน้ำเดือดจัด ก่อนจะก้มลงมองส่วนนั้นของตัวเองอีกครั้งสลับกับใบหน้าสวยของหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากตัวฉันแถมยังส่งเสียงหัวเราะแปลกๆในลำคอเป็นระยะๆอีก


ทำไม!  ทำไมมันยังตั้งอยู่!  นอนลงไปสิเฮ้ย! นอนลงปายยยยย แกกำลังทำให้ฉันขายหน้านะ เจ้าแท่งโง่!


ขณะที่ฉันกำลังก้มมองไอ้นั่นของตัวเองในผ้าห่ม สัมผัสเย็นๆก็แตะเข้าที่ปลายคางรั้งให้ใบหน้าของฉันเงยขึ้นสบกับแววตาคู่สุกสว่างเหมือนดวงจันทร์สีทองสองดวงนั่น แววตาของผู้หญิงคนนี้ดูแล้วดูอีกก็รู้สึกไม่หน้าไว้ใจอย่างแรง

"ดูท่าอย่างเจ้าจะไม่มีปัญญาทำให้มันสงบลงนะ"
ใบหน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้มาก จนฝ่ายที่ถูกรุกล้ำพื้นที่จำต้องกลั้นหายใจก่อนริมฝีปากแดงสดจะขบกัดใบหูแดงเรื่อนั่นเบาๆ

"ดีใจซะเถอะที่ข้าคนนี้เป็นคนแรกของเจ้า"  เสียงนุ่มที่กระซิบข้างหูทำเอาฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรนั้นตัวของฉันก็ถูกผลักล้มลงหัวกระแทกหมอน ก่อนผ้าห่มที่เกาะยึดไว้แน่นเหนียวจะถูกกระชากออกอย่างง่ายดาย


สาบานนะว่าแรงผู้หญิงน่ะ!!!


"ดะ..เดี๋ยวก่อน ที่ท่านไว้ชีวิตผมไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะคุยหรอกหรอ!"
ฉันยันตัวขึ้นจากเตียงอีกครั้งก่อนจะพยายามใช้คำพูดถ่วงเวลาอย่างที่มักจะทำเป็นประจำ


"หุบปากน่า เจ้าคิดว่าข้าเสียทหารไปเท่าไหร่กันกว่าจะพาเจ้ามาถึงเตียงนี่"

"?"


"อ่ะ! ตรงนั้นมัน..."
ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรมากนัก ปลายลิ้นอุ่นก็เข้ารุกโลมตรงจุดอ่อนไหวที่ตั้งชูชันนั่นโดยที่อาลีทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว แม้ว่าอาลีจะไม่เคยทำเรื่องพวกนี้แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบนเตียง นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เขาได้สัมผัสกับโลกของผู้ใหญ่

"พอ พะ พอแล้ว"

ลิ้นร้อนลากตั้งแต่โคนจรดปลายก่อนจะใช้ลิ้นวนย้ำตรงส่วนปลายเป็นพิเศษ ดวงตาคมเจ้าเล่ห์เหลือบมองสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ แม้ว่าอาลีจะพยายามใช้มืออุดปากตัวเองแน่นไม่ให้เสียงน่าอายนั่นเล็ดลอดออกมาก็ตาม แต่มันกลับทำให้ทันเซย์อยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก

"เอามือออกไปซะ ให้ข้าได้ยินเสียงของเจ้าชัดๆ"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ามีท่าทีอิดออดไม่มีวี่แววจะยอมโอนอ่อนตามคำพูดของตนง่ายๆ ริมฝีปากแดงชาดนั่นจึงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์
"องค์ชายเจิดจรัสนั่นจะเป็นยังไงก็ไม่สนใจงั้นหรอ?"

หลังจากพูดจบ ทันเซย์ก็ยิ้มอย่างพึงพอใจอีกครั้งใบหน้าแดงซ่านเอามือที่ป้องปากออกไปอย่างจำใจ


ดีจริงๆที่ยังไม่ฆ่าเจ้าหมอนั่นทิ้ง…


ใบหน้าสวยค่อยๆก้มลงบรรเลงลิ้นลงบนส่วนปลายของจุดอ่อนไหวนั่นอีกครั้งอย่างหฤหรรษ์ มือทั้งสองข้างกดลงบนเรียวขาเกลี้ยงสวยเกินชายที่พยายามดิ้นดุ๊กดิ๊กก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นอย่างรำคาญใจ

"ถ้าเจ้ายังไม่หยุดดิ้นล่ะก็ ข้าจะกัดปีโป้ของเจ้าให้ขาดเป็นสองท่อนเลยคอยดู!"

"..."

อาลีแทบจะแน่นิ่งทันทีหลังจากที่ฟังประโยคเมื่อครู่นี้ เรียวขาทั้งสองข้างเกร็งจนกล้ามเนื้อสั่นกระตุกเป็นพักๆ เมื่อสัมผัสร้อนและเฉอะแฉะในโพรงปากของหญิงสาวตรงหน้ากลืนส่วนนั้นของเขาไปครึ่งค่อนลำ ลิ้นร้อนตวัดรัดอย่างช่ำชอง ก่อนจะขยับขึ้นลงจนเกิดเสียงน่าอายผสานไปกับเสียงครางในลำคอของหนุ่มหน้าหวานที่โหมให้ไฟปราถนาลุกโชน

"อึก..องค์ราชินี...ได้โปรด..พอก่อน"
มือเรียวชื้นเหงื่อจิกผ้าปูที่นอนแน่น แม้ว่าอยากจะขัดขืนซักเท่าใดความคิดมากมายในหัวก็ยิ่งถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า


เสียงครางปนหอบนั่นมันช่างไพเราะที่สุดที่ทันเซย์เคยได้ยินในรอบหลายปีมานี้ มันทำให้ร่างกายนี้อยากที่จะสัมผัสมากกว่านี้ ถลำลึกลงไปมากกว่านี้...

ความรู้สึกเกร็งบริเวณตรงส่วนล่างมันทำให้หัวของฉันขาวโพลนไปหมด ความรู้สึกอ่อนแรงที่ประดังเข้ามาจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งเรื่องการปฏิบัติกับหญิงสาวสูงศักดิ์ตรงหน้า หรืออะไรก็ตามตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในหัวของฉันเลยซักนิด มีแค่เพียงความคิดที่อยากจะใช้มือผลักเธอออกไปห่างๆ แต่แรงจากแขนที่ส่งไปจนถึงปลายนิ้วนั้นทำได้เพียงแค่สะกิดเธออย่างแผ่วเบาเท่านั้น

"มะ...ไม่นะ.."
ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้นั้นค่อยๆฉาบย้อมไปทั่วร่างกายที่สั่นไหว พอรู้สึกตัวอีกทีแรงของฉันมันก็แทบจะไม่เหลือแล้ว


หญิงสาวถอนตัวขึ้นมาก่อนที่จะกลืนบางอย่างลงคอไป แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดมุมปากที่เลอะเปื้อน อย่างมีจริตจะก้าน


'นั่นเธอกลืนมันลงไปเหรอ..'

ริมฝีปากแดงสดกระตุกยิ้ม นี่เป็นเช้าวันใหม่ในรอบหลายปีที่เธอได้สนุกเช่นนี้

"ขนาดเป็นครั้งที่สองแต่ก็ยังหลั่งออกมาได้มากขนาดนี้"

ฉันไม่เข้าใจว่านั่นเป็นคำชมหรือว่าอะไร แต่อย่างน้อยร่างกายของฉันมันก็ดูจะสงบลงแล้ว

"เรื่องฝีมือการต่อสู้ของเจ้าข้าต้องขอยอมรับนะ แต่เรื่องบนเตียงนี่เจ้ายังอ่อนหัดยิ่งนัก ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นแบบนี้องค์ชายเจิดจรัสนั่นไม่ได้สอนหรอ  หรือเจ้าต้องกลายเป็นผู้ชายด้วยเหตุผลอื่นกัน?"

"กลายเป็นผู้ชาย? นี่ท่านรู้อะไรอย่างนั้นหรอ!?"
ฉันต้องหงายหลังหัวกระแทกหมอนอีกรอบเมื่อโดนผลักด้วยแรงที่เกินผู้หญิงนั่น จนหัวชักจะเริ่มมึน



"ข้าไม่สนใจหรอก เริ่มอีกรอบหนึ่งเลยเถอะ" ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวตรงหน้านั่งทับลงมาบนเอวบางๆของหนุ่มหน้ามน ก่อนดวงตาสีทองคู่นั้นจะดูเหมือนกับกำลังส่งยิ้มออกมาทางสายตา

"ดะ..เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวววววว"

"ไม่ต้องห่วงเผ่าพันธุ์ข้าน่ะให้กำเนิดบุตรยาก แค่ครั้งเดียวไม่ท้องหรอก"

"คือผมไม่ไหวแล้ว!"



ก็อกๆๆ

"องค์ราชินีข้าน้อยชินอาขอรับ"
เสียงแหบๆดังขึ้นหลังประตูไม้บานใหญ่ช่วยชีวิตของใครบางคนแถวนี้ได้อย่างเฉียดฉิว

"ข้าไม่ว่าง!"





เสียงคำรามตอบกลับไปอย่างทรงอำนาจต่างจากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อกี้ลิบลับทำเอาฉันที่ถูกนอนทับอยู่แอบรู้สึกหวั่นๆกับนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของคนคนนี้ไม่ได้ ดวงตาคู่นั่นนอกจากจะดูเจ้าเล่ห์แล้ว มันยังดูโหดร้ายน่ากลัวแม้ว่าจะสุกใสน่ามองเพียงใด ราวกับสัตว์ร้ายก็มิปาน…


"ไม่ใช่ว่ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ที่จะต้องจัดการหรือขอรับ.."


หญิงสาวเส้นผมสีเงินยวงทำเสียงจิ๊ปากอย่างรู้สึกขัดใจ มือเรียวสวยคว้าเสื้อที่กองอยู่ไม่ไกลมือขึ้นมาใส่คลุมลวกๆก่อนจะหันมาส่งยิ้มบางๆกับหญิงสาวในร่างชายหนุ่มที่นอนหน้าตาตื่นงงเป็นไก่ตาแตก

"ยังไงวันนี้ทั้งวันเราก็จะได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่แล้วนี่นา ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะ"
ใบหน้าสวยก้มหน้าลงเข้ามาใกล้ ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามย่นหน้าหนี ก่อนริมฝีปากปากสดจะปิดแนบสนิทกับโหนกแก้มน่ารักของอาลีที่วิญญาณใกล้จะออกจากร่างเต็มที

หญิงสาวสูงศักดิ์สะบัดผมสีเงินยาว ลุกเดินออกไปจากห้อง ประตูที่เปิดแง้มออกทำให้ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีผมสีเงินเช่นกัน ใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าคลุมสีดำดูน่าสงสัย

"อ่อ หวังว่าเจ้าคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆหรอกนะ ข้าเชื่อว่าเจ้ายังคงมีคำถามที่อยากจะถามข้าอยู่ใช่มั้ย…"
เสียงหัวเราะในลำคอชวนขนลุกดังขึ้นก่อนประตูบานใหญ่จะปิดลงโดยที่ไม่มีเสียงใดๆตามมาอีกเลยนอกจากเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ

เมื่อไร้วี่แววของผู้คน อาลีจึงหยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดออกไปบางชิ้นกลับมาใส่ให้เรียบร้อยดังเดิมก่อนจะถอนหายใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ

"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?"
โคเอนนายอยู่ที่ไหน?

.

.

.


"ดูเหมือนท่านจะถูกใจเด็กคนนั้นเป็นพิเศษนะขอรับ"
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นเรียบๆเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าดูอารมณ์ดีมีออร่าของนายเหนือหัว หลังเดินออกมาจากหน้าห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหราได้ซักพักหนึ่ง


"นั่นสินะ...เจ้าคงไม่รู้สึกตัวล่ะสิชินอา ทั้งลูฟทั้งกลิ่นของเด็กคนนั้นมันปนเปื้อนกับของเทพพยากรณ์จนแทบจะแยกไม่ออกเลยล่ะ"
ทันเซย์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี เมื่อบางอย่างที่น่าหวนคิดถึงย้อนกลับมาในภาพความคิด


"ตามคำทำนายเทพยากรณ์จะต้องสิ้นอายุขัยก่อนกำหนดในเขตพระราชวัง ชิ้นส่วนของคำทำนายใหม่ถึงจะสัมฤทธิ์ผล.. แต่ทว่าเมื่อวานนี้เด็กนั่นก็ปรากฏตัวพร้อมกับเครื่องรางแห่งเจตจำนงของเทพพยากรณ์"


"..."
ชินอาเงียบไปครู่หนึ่งตามนิสัยเคร่งขรึมของเจ้าตัว พลางปะติดปะต่อเรื่องราวหลายๆส่วนเข้าด้วยกันขณะที่ยังเดินไปตามโถงทางเดิน

"หึหึ ข้าเองก็ลืมคิดไปว่าบนโลกนี้มันก็มีพระราชวังอยู่ตั้งหลายพระราชวังนี่นา.."
ดวงตาสีทองเป็นประกายวาบอย่างน่ากลัวในขณะเดียวกันรอยยิ้มนั้นก็ดูบิดเบี้ยวเสียมากกว่าจะเรียกได้ว่างดงาม

"ถึงจะทรงโปรดปรานมากขนาดไหนแต่ว่าเด็กคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเจิดจรัสนะขอรับ"


"อยู่ได้อีกไม่นานหรอก…"




.


.


.


    แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างที่กั้นด้วยกระดาษสา ก่อนเสียงนกพิราบจิกตีกันจากขอบหน้าต่างจะปลุกให้ใครบางคนเงยหัวขึ้นจากกองงานและเอกสารที่สูงท่วมหัวอย่างงัวเงีย เมื่อจะยันตัวลุกขึ้นตามความเคยชินนั้นก็กลับต้องสะดุดกับร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ

"โคฮา...ไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องหรอกหรอ?"่

โคเมย์หันซ้ายหันขวามองหาสิ่งที่คลุมห่มได้ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมยาวของตนเองที่พาดอยู่ตรงมุมเก้าอี้ คลุมไหล่บางของน้องชายที่กำลังหลับปุ๋ย

จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันที่ท่านพี่หายออกจากวังไปโคฮาเองก็มาอยู่ช่วยงานเอกสารที่ห้องหนังสือทุกคืนเลยนี่นะ แถมยังชอบใส่เสื้อบางๆเปิดนู่นเปิดนี่อีกทั้งๆที่รู้ว่าต้องอยู่ดึกแท้ๆไม่กลัวเป็นหวัดรึไงนะ

"ท่านพี่นะท่านพี่"
ฝ่ามือเรียบลื่นที่บ่งบอกถึงการไม่เคยผ่านงานที่หนักหนาไปกว่าพลิกหน้าหนังสือนวดคลึงขมับตัวเองแรงๆ ก่อนจะเดินออกไปกะว่าจะสูดอากาศปนไอน้ำค้างยามเช้าด้านนอกซักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้รับจดหมายจากองค์หญิงฮาคุเอย์ว่าท่านพี่เอนของพวกเขาหายเข้าไปเขตของแคว้นเหมันต์พร้อมกับมือขวาคนใหม่ เขาก็แทบจะไม่ได้นอนอีกเลยจนกระทั่งเมื่อคืนนี้...

"อ่ะ สายขนาดนี้เชียว น้ำค้างระเหยหมดแล้วมั้งเนี่ย หาวววว"


แล้วทำไมในหัวของเขาถึงได้มีเรื่องน้ำค้างเข้ามาได้เนี่ย…
การหายตัวไปขององค์ชายลำดับที่หนึ่งมันเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็จริง แต่เขาก็คงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว เมื่อท่านหญิงฮาคุเอย์ขอเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้เอง

"จะให้ปิดเรื่องนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน อีกเดือนก็ไม่ไหวหรอกนะ"

            
"ปิดอะไร"หรือโคเมย์?"
เสียงทุ้มที่ฟังดูมีอายุเล็กน้อยดังขึ้นเบื้องหลังขององค์ชายโคเมย์ มันทำให้เขาย่อตัวคุกเข่าแทบจะไม่ทัน เมื่อเจ้าของเสียงนั่นคือผู้เป็นพ่อของเขาเอง...

'จักรพรรดิโคโตคุ'


"ท่านพ่อออกมาเดินเล่นสูดอากาศยามเช้ารึครับ"

"ข้ามาหาโคเอนมีเรื่องจะคุยซักหน่อย พอดีคุยค้างกันไว้เมื่อเดือนก่อนน่ะ"
ชายร่างท้วมลูบเคราไปมาด้วยท่าทีสบายๆไม่สนใจกับท่าทางของคนอดหลับอดนอนที่คุกเข่าโงนเงนอยู่กลางแดดยามสาย


เรื่องคุย? คุยเรื่องอะไรกัน ทิ้งค้างไว้กันเป็นเดือนเชียว?
"ท่านพี่ออกไปลาดตระเวนทางไกลตั้งแต่ราวๆเดือนก่อนได้ ถ้ายังไง.."

"ไม่อยู่ตั้งแต่เดือนก่อนรึ!?"
น้ำเสียงที่ฟังดูตื่นตระหนกทำเอาโคเมย์เริ่มเหงื่อตก พ่อคนนี้ของพวกเขาร้อยวันพันปีแทบไม่เคยสนใจกิจการบ้านเมือง หรือกองทัพทหารซักเท่าไหร่ วันนี้มาแต่เช้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับท่านพี่เอนกันแน่นะ?

"งั้นข้าฝากเจ้าเป็นธุระไปตามตัวมือขวาของโคเอนมาให้ข้าหน่อยซิ ข้ามีเรื่องจะถามอะไรซักหน่อย"


"เอ่อ..เรื่องนั้น อาลี มือขวาของพี่เองก็ตามออกไปด้วยน่ะครับ"

หลังจากที่พูดจบ นี่เขาคิดไปเองรึเปล่านะว่าแววตาสีทับทิมคู่นั้นของพ่อเขามันดูแปลกๆไปน่ะ ใบหน้าที่ดูอำมหิตโดยธรรมชาตินั่นอยู่ๆก็เหมือนกับปล่อยรังสีประหลาดๆที่ชวนให้บรรยากาศอุ่นของใบไม้ผลิเยือกแข็งเป็นฤดูหนาว

"คือ..."     
ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวคำลำหรือถ้อยคำใดๆต่อจากนั้น ชายเสื้อคลุมยาวก็สะบัดผ่านหน้าของเขาไปในทันที จักรพรรดิร่างท้วมเดินจากไปเงียบๆพร้อมกับผู้ติดตามอีกสองคน ทิ้งไว้แต่คำถามและใบหน้าครุ่นคิดขององค์ชายโคเมย์เอาไว้เบื้องหลัง



"ฝ่าบาท...การติดตามองค์ชายอย่างใกล้ชิดก็เป็นงานของเสนาธิการนะขอรับ อีกอย่างด้านนอกก็มีสาวงามผมทองอยู่ถมถืดไม่เห็นจะต้องเจาะจงมือขวาขององค์ชายโคเอนเลยนี่ขอรับ" ชายผู้ติดตามพูดขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศรอบตัวขององค์จักรพรรดิเริ่มมาคุจนน่าหวาดเสียว

"ดอกไม้ไม่สมควรจะปักลงบนฝักดาบเปรอะเลือด ยิ่งเป็นดอกไม้งามหายากแล้วยิ่งต้องถนอมไว้ในแจกันลายคราม เจ้าไม่เข้าใจรึ?"

"แต่ว่าฝ่าบาท แบบนั้นมันจะ..."


"องค์ชายโคเอนก็แค่ทำตัวเป็นหมาหวงก้างเท่านั้นแหละ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้โคเอนสนใจได้หรอก นอกเสียจากธิดาคนโตของจักรพรรดิฮาคุโตคุ..."

"พี่ชายสุดรักของข้า"


.



.



.


สาวใช้ที่นี่เป็นอะไรกัน? ทำทุกคนถึงได้มีเส้นผมสีขาวแซมสลับกับสีเข้มทั้งๆที่อายุก็ดูไม่เยอะแท้ๆ

'เหมือนกับแม่ของเด็กคนนั้นเลย'

เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ ถ้าตอนนั้นขาของฉันไปได้เร็วกว่านี้
ก็คงจะไม่ต้องมีชีวิตของใครถูกพรากไป

ฉันคิดนู่นนี่พลางมองสีหน้าร้อนรนของตัวเองอยู่หน้ากระจก ขณะที่เหล่าสาวใช้ผู้เงียบงันค่อยๆถักเปียผมบรรจงจัดแต่งทรงผมด้วยปิ่นและเครื่องประดับล้ำค่า ก่อนพวกเธอจะค่อยจับไหล่ฉันให้ลุกขึ้นเบาๆ แล้วผายมือออกไปทางประตูที่เปิดอ้าออกโดยที่ไม่พูดอะไรซักคำเหมือนที่จับฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า



   ฉันกลอกตามองตำหนักและสิ่งก่อสร้างรอบๆไปมา ในใจหวังลึกๆว่าจะพบเบาะแสบางอย่าง หรือสถานที่ที่ใช้คุมตัวของโคเอนกับเด็กน้อยคนนั้นเอาไว้

หลังจากที่เดินมาตามโถงทางเดินได้ซักระยะ สาวใช้ที่เดินนำหน้าของฉันมาหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่มีทหารยามสามสี่คนยืนเฝ้าอยู่ เธอชูแผ่นป้ายไม้สลักขึ้นก่อนทหารยามจะเปิดประตูให้ สาวใช้เบื้องหน้าก้มหัวให้ฉันอย่างนอบน้อมก่อนจะหมุนปลายเท้าเดินออกไป

ฉันสูดหายใจให้ลึกสุดขั้วปอด ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องสลัวๆที่บรรยากาศไม่ต่างจากห้องเอกสารของโคเมย์ที่อยู่ในวังราคุโชเท่าไหร่นัก แต่บรรยากาศที่ดูคุ้นเคยนั้นไม่ได้ทำให้ใจของฉันสงบลงแม้แต่น้อย



ฉันมองประตูและชั้นหนังสือที่วางเบียดเสียดกันแน่นก่อนจะสะดุดตากับชั้นหนังสือที่ปกของหนังสือถูกห่อผ้าไหมทอลายสวยงามวางเรียงรายกันเต็มไปหมดก่อนจะถือวิสาสะหยิบมันออกมาเปิดดูซักเล่มหนึ่ง

"กวีหรอ? อ่ะ นี่มัน!"


ฉันแทบจะส่งเสียงร้องออกมาทันทีที่หนังสือถูกแย่งออกไปจากมือ ก่อนจะต้องสะพรึงจนลืมร้องออกมา เมื่อคนที่แย่งหนังสือออกไปจากมือฉันก็คือ...

"ดูทำเข้าสิ คิดว่านี่เป็นวังของเจ้ารึไง"
หญิงสาวที่ฉันตื่นขึ้นมาเจอในชุดนอนหลุดลุ่ยนั่นเอง

…..

"ขอประธานอภัยด้วยขอรับ องค์ราชินี"

"หึ"
หญิงสาวสูงสง่าเดินวนรอบตัวของเด็กหนุ่มหน้าหวานก่อนจะมองใช้สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
"เจ้าไม่ควรจะใช้คำพูดของผู้ชายในตอนที่เจ้าแต่งชุดกระโปรงสวยๆแบบนี้นะ อีกอย่างนั่นน่ะคือคำพูดของเจ้าแน่อย่างนั้นหรอ?"

"....."

“ดูแล้วใจของเจ้าจะไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่ข้าพูดเลยนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าน่ะมีเรื่องอะไรที่ค้างอยู่ในใจอย่างนั้นหรอ?"

อาลีเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาโดยเลี่ยงที่จะสบสายตาของหญิงสาวตรงหน้า "ดูเหมือนท่านอยากจะให้ข้าถามคำถามงั้นสินะ ในเมื่อยังไงท่านก็ตั้งใจจะตอบข้าตรงๆอยู่แล้ว ทำไมข้าจะต้องยอมตอบข้อมูลของตัวเองไปตามตรงกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ"


หลังจากที่ได้ฟังคำตอบใบหน้าเรียวสวยก็กระตุกยิ้มขึ้นมาโดยที่ไม่อาจบอกได้ว่ารอยยิ้มนั่นมันหมายถึงสิ่งใด จะว่าเป็นรอยยิ้มเสแสร้งที่ใช้ในการทูตก็ไม่เชิงนัก

"โชว ทันเซย์ ผู้ครองแคว้นอูกิรุ่นที่7 ผู้เป็นใหญ่เหนือ3ตระกูลกษัตริย์ฤดูหนาว"
รอยยิ้มหวานที่ชวนหวาดหวั่นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของทันเซย์ ทำให้อาลีเกิดอาการลังเลไปชั่วครู่


"อาลีบาบา ซารูจา องค์หญิงลำดับที่1แห่งราชวงศ์ซารูจา"


"หึหึ เป็นอย่างที่ข้าคิด โชคชะตาใหม่ของเจ้าคงจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่เจ้าจากบ้านมาสินะ" ทันเซย์โอบไหล่ของคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง มือเรียวสวยลูบไปตามเรียวหน้าหวานก่อนจะค่อยๆก้มลงกระซิบที่ข้างหูอย่างช้าๆ
"หรือบ้านของเจ้าที่ถูกพรากไปกันล่ะ?"


น้ำเสียงไพเราะราวกับคำพูดของปีศาจร้ายค่อยฉาบย้อมห้วงความคิดขององค์หญิงที่ถูกสายลมแห่งโชคชะตาหอบพัดมาไกลจนอ่อนล้า ดั่งน้ำผึ้งหอมหวานที่หลอกล่อแมลงปีกบางให้ติดกับ…

"ตามข้ามานี่สิ"


แผ่นหลังเหยียดตรงเดินลึกเข้าใปในห้องหนังสือจนกระทั่งถึงโต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยม้วนกระดาษและหนังสือ ด้านหลังของโต๊ะเป็นฉากขนาดใหญ่สองฉากตั้งเอาไว้ อันหนึ่งเป็นแผนที่โลก อันหนึ่งเป็นแผนที่สีเก่าที่เขียนด้วยตัวอักษรขยุกขยุย มือเรียวสวยวางหนังสือบทกวีที่ห่อด้วยผ้าไหมลงบนกองหนังสือที่เรียงถมเป็นชั้นๆก่อนจะหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกับที่อาลีเจอเมื่อวานนี้ในลานตัดสินนักโทษ

"บนโลกนี้แบ่งแยกคนได้อยู่สองประเภทได้แก่พวกโก่ยอย่างเจ้า และนักเวทย์อย่างข้า แน่นอนว่าในสามตระกูลกษัตริย์ฤดูหนาวเองก็มีตระกูลที่เป็นพวกโก่ยอยู่เหมือนกัน..." น้ำเสียงไพเราะหยุดไปก่อนเรียวนิ้วจะกุมขมับเบาๆ

"อ่า..จริงสิข้าควรจะบอกเจ้าตั้งแต่แรกสินะ"

ทันเซย์คลี่ม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจนสุดด้านในเป็นแผนที่เก่าในสมัยที่แผ่นดินเจิดจรัสยังคงเป็นประเทศเล็กๆไม่ต่างจากอูกิ ล้อมรอบไปด้วยนานาประเทศที่บัดนี้ถูกกลืนหายไปกับยุคสมัยและสงคราม

"แต่ก่อนอูกิเป็นเพียงวังที่ใช้กักขังนักโทษที่เป็นเชื้อพระวงศ์ในสมัยมหาจักรวรรดิโคกะ แต่หลังจากที่จักรวรรดิโคกะเสื่อมอำนาจ อูกิก็ตกไปอยู่ในมือของประเทศไกและถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่พักผ่อนในฤดูร้อนด้วยทัศนียภาพที่งดงามและอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี...หลังจากนั้นไม่นานมันก็ได้เป็นที่พำนักของหญิงสาวนางหนึ่ง ที่ใช้เพียงแค่เรือนร่างและเล่ห์กลเพียงเล็กน้อยก็สามารถยึดครองแผ่นดินในหุบเขาทางเหนือได้อย่างง่ายดาย"


อาลีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังร่ายเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์เชิงลึกใส่หัวสมองของเขา ถ้าพูดถึงผู้หญิงที่ใช้เรือนร่างและเล่ห์กลล่ะก็ข้างหน้าเขาก็มีคล้ายๆแบบนั้นอยู่คนหนึ่งล่ะ

"ในขณะที่ประเทศไก โก และโค(เจิดจรัส)ทำสงครามกันหลายต่อหลายครั้ง เหล่าผู้คนที่หนีสงครามก็ได้เดินทางมาที่นี่และอูกิก็ได้แยกตัวเป็นอิสระนับตั้งแต่นั้น ส่วนบุตรทั้งสามของนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นางนั้นก็ได้ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นยังไงล่ะ"



"บุตรทั้งสาม? ตระกูลสามกษัตริย์อย่างนั้นหรอ?"  
ทันเซย์คลี่ยิ้มบางให้กับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจะสนใจเรื่องราวที่ตนพูดขึ้นมาบ้างแล้วก่อนจะค่อยๆม้วนแผนที่เก่าๆเก็บกลับไป

"ใช่แล้ว พวกเขาเป็นคนสร้าง 'เครื่องรางแห่งเจตจำนง' ไอ้ต่างหูที่เจ้าได้รับมาจากเทพพยากรณ์นั่นแหละ"

"เทพพยากรณ์..."

"สัตว์ร้ายต้องมนต์ เจ้าคงได้ยินคำนี้มาบ้างสินะ เดิมทีแล้วมันเป็นคำที่ใช้เรียกชื่อแทนแคว้นนี้ ด้วยอากาศที่หนาวเย็นคร่าชีวิตคนให้ล้มตายอย่างสัตว์ร้ายหิวกระหาย แต่กระนั้นทิวทัศน์และท้องฟ้ากลับงดงามดั่งต้องมนต์สะกด แต่ในช่วงหลังมานี่ถูกเอามาใช้กับเผ่าพันธุ์ของพวกข้า"


"เรื่องที่สามารถเปลี่ยนร่างกายเป็นสัตว์ร้ายได้สินะ..."
'แล้วก็ยังมีพลังประหลาดนั่นอีก หยั่งกับว่าควบคุมจิตใจของคนได้อย่างอิสระยังไงยังงั้น แน่นอนว่าตัวของฉันเองก็โดนมาแล้วหมาดๆเมื่อวานนี้'


"นั่นแค่ความสามารถพื้นฐาน ความจริงแล้ว3ตระกูลมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกันผลัดเปลี่ยนกันครองแคว้นอูกิเรื่อยมา ตระกูลของผู้พยากรณ์ ตระกูลของผู้ไร้รัก ตระกูลของผู้ไร้มนต์" ทันเซย์ค่อยๆเอนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ก่อนจะปิดตาลงในขณะที่เอนหลังพิงพนักผิง เสียงลมหายใจดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจนอาลีแทบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ปะปนด้วยอารมณ์หลากหลาย


"แต่ไม่นานเราก็พบว่ายิ่งแต่งงานมีลูกมากเท่าไหร่พลังของพวกเราก็ยิ่งกระจัดกระจายและอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ จึงเริ่มประเพณีการแต่งงานกันในหมู่พี่น้องเพื่อรักษาสายเลือดและพลัง ขณะเดียวกันอายุขัยของพวกเราก็สั้นลงเรื่อยๆเช่นกัน… เพราะอย่างนั้นถึงต้องทำ 'เครื่องรางแห่งเจตจำนง' ขึ้นมายังไงล่ะ" ดวงตาสีทองค่อยๆลืมขึ้นก่อนจะจ้องมองไปยังต่างหูที่อาลีสวมเอาไว้อยู่

"เครื่องรางแห่งเจตจำนง?"

"พูดง่ายๆก็อุปกรณ์ที่กักเก็บเวทมนต์ได้นั่นแหละที่เพิ่มเติมคือมันกักเก็บอายุขัยเอาไว้ด้วยเป็นการส่งผ่านอายุขัยจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนเรื่องที่ใส่แล้วเพศเปลี่ยนน่าจะเป็นความคิดแผลงๆของผู้นำตระกูลรุ่นแรกที่อุตริใส่เวทมนต์แปรธาตุพิเรนๆลงไป ไม่ก็เพราะพวกข้าให้กำเนิดลูกยากก็เป็นได้มั้ง"

หลังจากที่ทันเซย์พูดจบ ดวงตาของอาลีก็แทบจะลุกวาวในทันทีก่อนจะเผลอโพล่งคำพูดออกไปอย่างลืมตัว "มีทางที่จะกลับเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมมั้ย เอ่อ..ข้าหมายถึงมีทางที่จะถอดมันออกมั้ย"

"มันก็ถอดออกได้ปรกตินะ แต่ในกรณีของเจ้าเนี่ย..." ใบหน้าสวยเอียงคอเล็กน้อยราวกับครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะถามคำถามกลับไปแทนคำตอบ "ทำไมเจ้าถึงอยากจะรีบกลับร่างเดิมอย่างนั้นหรอ?"

อาลีนิ่งไปชั่วครู่ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรนัก แต่แววตาที่ไม่น่าไว้ใจที่จ้องมองเขาตลอดเวลานั่นก็ทำให้เขาเกิดลังเลขึ้นมา

"มีผู้ชายที่แอบปลื้มอยู่หรอ?"
"จะบ้าหรอ! ข้าแค่อยากจะกลับบัลแบดไปในฐานะองค์หญิงรัชทายาทโดยที่ไม่มีอะไรงอกเกินออกมาจากหว่างขาต่างหาก!"
ฉันเอามืออุดปากตัวเองทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป มันเป็นเพราะอยู่กับโคเอนมากเกินไปนั่นแหละทำให้ฉันติดนิสัยชอบพูดอะไรโผงผาง


"หึหึหึ...ฮ่ะๆๆๆ"

"?"
ทันเซย์เอามือกุมท้องหัวเราะจนหน้าแทบจะทิ่มโต๊ะหนังสือ ก่อนจะปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาตรงหางตาออกในขณะที่อาลียืนมองปฏิกริยานั้นอย่างรู้สึกเหนือความคาดหมาย ไม่ต่างจากตอนนั้นที่เขาเผลอเรียกโคเอนว่า 'เจ้าบ้า'  
หรือพวกชนชั้นสูงโดยกำเนิดจะชอบมุกตลกแบบนี้กัน?

"ไม่แปลกใจที่องค์ชายเจิดจริสนั่นติดใจเจ้าเลย มันคงไม่ใช่แค่เวทมนต์ที่อยู่ในเครื่องรางอย่างเดียวแล้วสินะ"

"เวทมนต์?"

"ก็นะ...มันก็ไม่ใช่แค่ลูฟกับอายุขัยของผู้ส่งมอบให้เพียงอย่างเดียวหรอก อีกอย่างในกรณีของเจ้าแล้ว จนกว่าเจตจำนงของผู้ส่งมอบเครื่องรางจะลุล่วงเจ้าจะไม่มีวันถอดมันออกหรอก"

"เจตจำนงของผู้ส่งมอบ...แล้วมันคืออะไรกัน?"

"จะไปรู้หรอ อีกอย่างข้าไม่สนใจหรอก"

"ห๊ะ!?"
แล้วที่คุณเธอเกริ่นมาตั้งยาวยืดนี่มันเพื่ออะไร? อยากจะผันตัวจากราชินีไปเป็นอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์หรอ?

ทันเซย์มองใบหน้าที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมานั่น นัยน์สีทองดั่งจันทร์ฉายคู่นั้นปรากฏภาพของใครคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาอย่างเลือนลางก่อนจะจางหายไปในคราทีเปลือกตากระพริบเบาๆ

"ข้าไม่เข้าใจหรอกนะ แต่สิ่งที่ท่านทำกับพวกเราน่ะ นอกจากจะเป็นการประกาศสงครามกับเจิดจรัสแล้ว..."

ยังไม่ทันที่อาลีจะได้พูดจบประโยค เสียงของจักรพรรดินีแห่งแคว้นเหมันต์ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆด้วยแววตาที่มองออกไปไกล
"ไม่คิดบ้างหรือว่าตัวตนของเจ้ามันไม่ควรจะมีอยู่บนโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว ไม่คิดบ้างหรอว่าตัวของเจ้าเองนั่นแหละที่ขี้โกง เจ้าเหยียบย่ำเส้นทางที่ควรจะเป็นไปเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่แค่นั้นน่ะหรอ?"


"ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่"


"ที่ข้าจะถามต่อไปนี้มีเพียงอย่างเดียว ข้าไม่บังคับให้เจ้าเลือก แต่ขอแค่เจ้าตอบข้ามาก็พอ เพราะคำตอบนั่นของเจ้าทำให้ข้ายังคงไว้ชีวิตเจ้าและองค์ชายเจิดจรัสมาถึงตอนนี้" ทันเซย์ลุกออกจากที่นั่งก่อนจะเดินเข้ามาประจันหน้ากับอาลีโดยตรง ใบหน้าที่เรียบเย็นราวรูปสลักน้ำแข็งชวนหน้าหวาดหวั่นไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆมองดวงหน้าหวานที่แอบมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาให้เห็นอย่างเงียบสงัดก่อนจะเอ่ยถึงความต้องการที่แท้จริงของตนออกมา

"เจ้าจะหันคมดาบเข้าหาเจิดจรัส แล้วร่วมมือกับข้าได้หรือไม่?"
          
อาลีผงะไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ฟังคำถาม เมื่อทันเซย์เห็นว่าแววตาคู่นั้นเอ่อล้นไปด้วยความลังเลจึงยิ่งกดดันยิ่งขึ้นไปอีก

"เจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะกลับบัลแบดไปในฐานะรัชทายาทใช่มั้ย? เจ้าจะกลับไปในตอนนี้เลยก็ได้นี่ ทำไมเจ้าไม่กลับ? ทำไมถึงต้องมาเป็นข้ารองมือรองเท้าของเจ้าชายประเทศอื่น? เราต่างก็รู้ดีว่าเจิดจรัสต้องการรวมโลกให้เป็นหนึ่ง แบบนั้นแล้วไม่ใช่ว่าบัลแบดกับอูกิมีศัตรูร่วมกันหรอกหรอ?"

"ข้าเอง!..." อาลีที่ตั้งท่าจะโวยคำพูดออกมาหลังจากโดนถ้อยคำจี้ใจดำของทันเซย์กดดันอย่างหนัก ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยสีหน้าเจ็บใจ
"ข้าเองก็..มีเหตุผลของข้า"

"โฮ่...น่าสนใจ ข้าเดาว่าเหตุผลนั่นคงเกี่ยวกับชายคนนั้นสินะแต่ว่ามันจะคุ้มค่ารึ"


"?"

"แม้ในใจจะคาดหวังซักเพียงใด แต่หากในใจของชายผู้นั้นไร้คำตอบที่ใจของเจ้าเฝ้าถามหาล่ะ ทุกความเจ็บปวดของเจ้ามันคุ้มค่าอย่างนั้นรึ?"

อาลีกำมือที่ชื้นเหงื่อแน่น เรียวคิ้วขมวดมุ่นกับหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้นั้น…
"ข้าขอเวลาคิดหน่อย" อาลีที่อยู่ในสถานการณ์หลังชนฝาไม่สามารถจะทำอะไรได้มากนัก จำต้องเดินตามเกมของทันเซย์ไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ อย่างน้อยตัวเขาก็ขอเวลาไม่มากนัก  



ทันเซย์มองใบหน้าหวานที่ออกสีหน้าเครียดเสียจนมองแล้วอยากจะสำลักความอึดอัดมาแทนก่อนจะถอนหายใจออกมา "ก็ได้..ข้าจะให้เวลาตามที่เจ้าต้องการ เพียงแต่ขอให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง ในทุกๆวินาทีของเจ้า มันก็เป็นทุกๆวินาทีของบัลแบดด้วยเช่นกัน



.



.




"โดลจิ เจ้าเข้าไปทูลต่อราชินีแห่งแคว้นเหมันต์ในวัง ส่วนเซย์ชุนเจ้ากับทหารอีกสามคน พวกเจ้าปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวในเมือง"
เป็นอีกครั้งที่ฮาคุเอย์สั่งการด้วยสีหน้าเครียดในหลายวันมานี้ นับตั้งแต่วันที่องค์ชายโคเอนหายตัวไป ก่อนจะหันไปกำชับนายทหารหนุ่ม'โดลจิ' ให้ระวังคำพูดคำจาเป็นพิเศษ



เสียงของเกือกม้าที่กระทบกับพื้นหิมะ ดังไกลออกไป ฝีเท้าที่หนักแน่นในทุกระยะทางของม้าคู่ใจหนักพอๆกับจิตใจที่ถูกกัดเซาะด้วยความประหม่ากังวล ใบหน้าและลำตัวที่ปะทะสายลมหนาวบ่งบอกว่าแสงอาทิตย์ยามบ่ายมิได้ทำให้อากาศรอบตัวนั้นอุ่นขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว


   เสียงของกีบม้ายิ่งทำให้ความวุ่นวายใจของโดลจิยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ความจริงแล้วหน้าที่นี้ มันควรเป็นของเซย์ชุนผู้ติดตามใกล้ชิดขององค์หญิงฮาคุเอย์แต่ทว่าในขณะเดียวกันผู้ที่คุ้นหน้าค่าตาขององค์ชายโคเอนมากที่สุดก็คือท่านเซย์ชุนอีกเช่นกัน กลายเป็นว่าตัวของเขาเองต้องทำหน้าที่ส่งสารไปกดดันการทำงานของแคว้นอูกิ แม้ว่าจะพยายามปลอบตัวเองว่าแค่งานส่งสารเดี๋ยวเดียวมันก็จบ แต่ถึงอย่างนั้นในใจของเขามันก็ยังคงเป็นกังวลไม่หยุด

ประตูเมืองที่ควรจะเป็นทางผ่านที่ยากที่สุดกลับถูกเปิดทิ้งไว้พร้อมกับทหารยามเพียงหยิบมือที่รอคอยการมาของเขาอยู่ หลังจากโดลจิแสดงตราสารเพื่อยืนยันตัวตนแล้ว เขาก็ผ่านเข้าเมืองได้อย่างงง่ายดายราวกับที่นี่รอตอนรับเขาอยู่ยังไงยังงั้น



"หยุดก่อน ท่านผู้ส่งสาร!"
โดลจิหยุดม้ากระทันหัน เนื่องจากเห็นว่าทหารจำนวนหนึ่งยืนโบกไม้โบกมือเหมือนให้สัญญาณบางอย่าง ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าคู่ใจ เขารู้ได้ทันทีเลยว่าใกล้จะเข้าเขตพระตำหนักใหญ่แล้ว

"ทางเราจะดูแลม้าของท่านให้เป็นอย่างดีจนกว่าท่านจะกลับมา ส่วนสองคนนี้จะนำท่านเข้าไปในตำหนักใหญ่"
โดลจิพยักหน้ารับอย่างเรียบๆผิดกับนิสัยโหวกเหวกโวยวายของเจ้าตัว คงเป็นเพราะความประหม่าที่ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ที่ไม่คุ้นชิน ก่อนจะเดินตามทหารสองคนไปแต่โดยดี ผ่านประตูบานแล้วบานเล่า จนกระทั่งเข้าไปถึงลานกว้างในเขตพระราชตำหนักหลวง ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง


   ภาพที่ได้สะท้อนอยู่ในดวงตาเของทหารหนุ่มผู้มาเยือนทำให้เขาหยุดฝีเท้านิ่งค้างไปในทันทีทันใด  


"นะ..นี่มัน..."



.

.

.


    อากาศที่ค่อยๆเย็นลง แสงของโคมไฟเข้ามาแทนที่แสงของดวงอาทิตย์ที่หลบพ้นขอบฟ้า อาลีที่เพิ่งขึ้นจากอ่างอาบนํ้าถูกผลัดเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดนอนอุ่นสีขาวเหมือนกับที่เขาใส่ตอนอยู่ในวังราคุโช จะต่างกันที่เนื้อผ้าที่ทออย่างประณีตมากกว่า เขาคิดเรื่องข้อเสนอของราชินีทันเซย์แทบทั้งวันแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงยังตัดสินใจไม่ได้เสียที ในหัวของเขากลับมีแต่เรื่องแขนที่บาดเจ็บกับอาการป่วยไข้ของโคเอน



บัลแบดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน....
แต่พอคิดถึงเรื่องคำถามเมื่อกลางวันภาพของโคเอนก็ลอยวนเวียนเข้ามาในหัว การทรยศหักหลังมันเป็นเรื่องที่ฉันเกลียดมากจริงๆ

เพื่อปกป้องประเทศแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีสกปรกขนาดไหน พวกเราก็จำเป็นต้องทำมันอย่างนั้นเหรอ? มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆอย่างนั้นเหรอ?


ในขณะที่เอนหลังบนเตียงข่มความกังวลใจให้ดับไป
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่มันจะเปิดออกโดยที่ฉันยังไม่ทันจะได้ขานรับ
"ไง...จะนอนแล้วเหรอ"
เสียงพูดอันน่าหวาดหวั่นนั่น ทำให้ฉันเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทันที เพราะยังคงจดจำเหตุการณ์เมื่อเช้าในตอนที่นอนอยู่บนเตียงโดยที่มีผู้หญิงคนนี้อยู่ในห้องมันอันตรายขนาดไหน

"ไม่ต้องตกใจไป ครั้งนี้ข้าไม่ได้จะมาทำอะไรเจ้าเหมือนเมื่อเช้านี้หรอก"



อาลีกระเถิบมานั่งสงบนิ่งตัวลีบอยู่ปลายเตียง มองหญิงสาวผมสีเงินยวงที่เพิ่งเข้ามาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

ทันเซย์ที่มองภาพนั้นก็ได้แต่ขำอยู่ในใจก่อนจะไปหยิบหวีที่วางอยู่หน้ากระจกพร้อมกับกล่องไม้สลักกล่องหนึ่ง ด้านในบรรจุสารพัดเครื่องประทินผิวและเครื่องหอมนำมาวางไว้บนเตียง อาลีไดแต่นั่งมองตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ
"หันหลังไปสิ ข้าจะหวีผมให้" นํ้าเสียงที่ดูอ่อนลงกว่าช่วงกลางวันเอ่ยขึ้น

อาลีที่ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำนั้นเท่าไหร่นัก มองสีหน้าที่ดูโอนอ่อนของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจแต่ก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี

หญิงสาวร่างอรชรในชุดนอนยาวเรียบร้อยค่อยๆลงหวีอย่างเบามือ ทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าผ้าแพรที่ราคาแพงที่สุดในแคว้นอูกิ พลางฮัมเสียงเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี มันเป็นท่วงทำนองที่คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก

เหมือนเคยได้ยินจากเด็กสาวคนหนึ่ง…

'ซินงิน'
ภาพใบหน้าของสาวใช้คนใหม่ลอยเข้ามาในห้วงความคิดอันยุ่งเหยิงของอาลี เด็กสาวตัวเล็กที่ชอบพูดจาแปลกๆ แต่คำพูดของเธอก็มีพลังผลักดันอย่างน่าเหลือเชื่อ อาลีแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าซินงินนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นอูกิและทันเซย์โดยตรง


ในขณะที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งอาลีก็เลือกที่จะกลั้นใจถามออกไปโดยตรง
"ท่านรู้จักเด็กสาวที่ชื่อซินงินมั้ย?"

ทันเซย์หยุดฮัมเพลงเมื่อเสียงของเด็กหนุ่มตรงหน้าพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะหัวเราะตอบกลับไปเบาๆ

"รู้สิ" ดวงตาสีทองของทันเซย์ดูหมองลงครู่หนึ่ง มือเรียวสวยหวีแปลงผมไปเรื่อยๆพลางคิดถึงเรื่องในอดีตและหลายสิ่งหลายอย่างในวันพรุ่งนี้

"ข้าน่ะถูกเธอช่วยเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พูดตามตรงแล้วฉันน่ะแทบจะไม่รู้จักตัวตนของเธอเลย เธอเติบโตขึ้นมาแบบไหน บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เป็นคนยังไง… ท่านรู้จักเธอรึเปล่า?"

"ต้องรู้สิ รู้จักดีเลยล่ะ"

"แปลกจังเลยนะตอนที่ซินงินพูดข้าก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะทำตาม หรือทำอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลย สัตว์ร้ายต้องมนต์นี่ไม่ได้ควบคุมจิตใจคนได้ทุกคนหรอกหรอ?"

"เวทมนต์ควบคุมจิตใจเป็นเวทขั้นสูงที่สุดในเวทมนต์ทั้ง8 มีเพียงตระกูลเดียวในสามตระกูลกษัตริย์เท่านั้นที่มีมันติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ต้องร่ายคาถา ไม่ต้องใช้ไม้เท้า เราเรียกว่าประกาศิตไร้เงื่อนไข เพียงแค่สบตาหรือเอ่ยความต้องการก็ทำให้ใครก็ตามสยบอยู่แทบเท้าอย่างง่ายดาย.. ไม่ว่าจะเยติที่ดุร้าย หรือราชาผู้หยิ่งทนงก็ตาม"


จะว่าไปแล้ว…
อาลีคิดถึงตอนที่นายทหารที่คุกเข่าอยู่ข้างๆโดนสั่งให้เคี้ยวลิ้นตัวเองแล้วบ้วนออกมา แต่ในตอนของโคเอนนั้น แทนที่โคเอนจะฟันเข้าที่ตัวตามคำพูดของทันเซย์ แต่กับฟันลงบนโซ่แทน ทำไมถึงมีแค่โคเอนที่ไม่โดยมนต์สะกดล่ะ?


"ถ้าอย่างนั้นทำไมโคเอนถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ.."
อาลีเหม่อพูดชื่อโคเอนออกมาอย่างลืมตัว อีกทั้งยังไม่คิดจะรู้สึกตัวด้วยนั่นยิ่งยืนยันความคิดที่อยู่ในหัวทันเซย์ให้แน่ชัดขึ้น ก่อนจะตอบคำถามนั่นไปตามตรง สิ่งนั้นเป็นจุดอ่อนของเธอโดยตรงเลยก็จริง แต่ถึงมีใครรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


"ความรัก"

"ห๊ะ?"

"เวทมนต์ของข้าใช้ไม่ได้กับผู้ที่หัวใจมีคนครอบครองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะคำพูดที่คนข้างนอกชอบพูดกันว่า ความรักทำให้คนหูหนวกตาบอดล่ะมั้ง ทำให้สิงค์แดงแห่งทิศประจิมนั่นไม่ตกอยู่ในมนต์ของข้า" ทันเซย์ยิ้มเมื่อเห็นว่าไหล่บางของคนตรงหน้ากระตุกเล็กน้อย

ดูเหมือนจะมีใครแถวนี้ตั้งความหวังเล็กๆเอาไว้ในใจนะ…

"แม้จะยืนอยู่บนความหวังแม้จะสูงเพียงปลายหญ้า แต่หากเจ้าตกลงมามันก็จะเจ็บไม่ต่างกับตอนที่ยืนอยู่บนยอดไม้หรอกนะ"
ทันเซย์วางหวีก่อนจะใช้มือจัดเส้นผมสีทองให้เรียบร้อย ในขณะที่อีกคนหนึ่งยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน

"เอาล่ะทีนี้หันหน้ากลับมาสิ" มือเรียวสวยค่อยๆบรรจงเทนํ้ามันกุหลาบในขวดที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเตะจมูก ก่อนจะใช้มืออีกข้างดึงมือของคนตรงหน้าออกมานวดบนอุ้งมือหยาบกระด้างอย่างเบามือ เมื่อสังเกตดีๆแล้วมือคู่หยาบนั้นมันแทบจะเหลือทิ้งรอยแผลและความเจ็บปวดเอาไว้เลย

อาลีไม่เข้าใจวาทำไมทันเซย์ถึงต้องทำแบบนี้ แต่ใบหน้าที่ดูเหมือนหญิงสาวธรรมดาๆขี้เหงาที่เขาพึ่งเห็นนั่นดูไม่ได้มีพิษมีภัยเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่หาเพื่อนเล่นด้วยเสียมากกว่า…


"ดูเหมือนเจ้าคงยังจะตัดสินใจไม่ได้นะ"
เสียงนุ่มไพเราะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆก่อนจะจับมืออีกข้างหนึ่งของอาลีขึ้นมานวดต่ออย่างเบามือ "ไม่ใช่ว่ายิ่งตัดสินใจเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเจ้าเท่านั้นไม่ใช่หรอ?"


"..."


ทันเซย์ค่อยๆเก็บขวดน้ำมันและของอื่นๆเข้าไปในกล่องไม้สลัก ปิดฝากล่องอย่างแน่นสนิท ก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ
"เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้เจ้ามาเจอข้าที่ลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ การสนทนาบนโต๊ะอาหารคงจะทำให้อะไรๆง่ายขึ้น" ร่างสูงลุกออกจากเตียงก่อนจะนำหวีและกล่องไม้สลักไปวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่เดิม


"คืนนี้พักผ่อนเสียเถอะ ตัวเจ้ายังมีเวลาอีกมาก"


หลังจากที่เสียงประตูปิดลง ฉันทำได้แค่ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้หนทางที่จะได้กลับร่างเดิมจะดูริบหรี่มากก็ตาม แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทันเซย์ต้องการให้ฉันเข้ากับฝ่ายอูกิขนาดนั้น ในทุกคำพูดทุกอิริยาบทของเธอมันดูเหมือนกับแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้เสมอๆ มันทำให้ฉันชักรู้สึกว่าบางทีโคเอนอาจจะไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด

'มีบางอย่างที่ทันเซย์ยังไม่ได้บอกกับฉันรึเปล่านะ'



"โคเอน...ถ้านายเป็นฉันในตอนนี้นายจะทำยังไง?"

.

.

.

    ฉันทำได้เพียงแต่นอนแหงนหน้ามองเพดาน เฝ้ารอเวลาให้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าโดยที่ไม่อาจจะข่มตาหลับได้ซักนาที


'เจ้าโง่...'

เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในหัวของฉัน พอรู้สึกตัวอีกทีมุมปากทั้งสองข้างของฉันมันก็กระตุกขึ้นไปเสียแล้ว

มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เจ้านั่นน่ะคงจะนั่งสบายใจเฉิบอยู่ในคุกที่ไหนซักแห่งของวังแล้วก็ทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาเหมือนทุกทีในตอนที่ฉันไปถึงด้วยสีหน้าที่แตกตื่นเป็นกังวลจนแทบบ้า

ฉันคิดหาถ้อยคำปลอบความว้าวุ่นในใจของตัวเองถ้อยคำแล้วถ้อยคำเล่า ค่อยๆคล้อยเคลื่อนไปตามดวงจันทร์สีนวลที่ค่อยๆหายลับฟ้าในยามใกล้รุ่งสาง

"ให้ตายสิ" ทำไมทุกครั้งที่รู้สึกตัวที่ไหนซักแห่งในหัวของฉันมันก็จะมีแต่เรื่องของนายเต็มไปหมด

"ฉันนี่มันโง่จริงๆ"ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว ในสายตาคู่นั้นในทุกครั้งที่มองมาที่ฉัน ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย นอกเสียจากตัวหมากที่เก็บไว้ใช้ประโยชน์ในยามที่มือคู่นั้นต้องการ พอรู้สึกตัวอีกทีหัวใจมันบีบรัดเสียจนเจ็บชาไปหมด


หากประกาศิตไร้เงื่อนไขใช้ไม่ได้กับผู้ที่หัวใจไร้ช่องว่างแล้วล่ะก็
หญิงผู้อยู่ในทุกห้องของหัวใจขององค์ชายลำดับหนึ่งแห่งเจิดจรัสคือผู้ใดกัน




ก็อกๆๆ
เสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ก่อนสาวใช้สามคนจะนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้กับอาลีพร้อมกับถือภาชนะใส่น้ำอุ่นและสำหรับล้างหน้ามาด้วย บ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารเช้าที่นัดกันเอาไว้แล้ว

ทุกอย่างถูกจัดเตรียมมาให้เหมือนกับเมื่อวานแต่ที่จะต่างไปนั้นก็คือ เสื้อผ้า

เมื่อวานนี้เป็นชุดของผู้หญิง วันนี้กลับเป็นชุดของผู้ชาย

ฉันมั่นใจว่าคนอย่างทันเซย์คงจะไม่จัดชุดเสื้อผ้าให้เขาสั่วๆ ทุกอย่างที่จัดมาดูละเอียดประณีตเกินกว่าจะพูดว่าเลือกชุดมาให้ใส่มั่วๆ มันเหมือนกับว่าในวันนี้ทันเซย์ต้องการจะคุยกับฉัน


ไม่ใช่ในฐานะขององค์หญิง...
       แต่เป็นฉันในฐานะของมือขวาขององค์ชายแห่งเจิดจรัส


ฉันเดินมาเพื่อที่จะไปยังลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ ท้องฟ้าวันนี้ดูอึมครึมไม่เหมาะจะมานั่งทานข้าวนอกสถานที่ซักเท่าไหร่นัก มันดูทึมๆและอึดอัดจนเริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมาโดยที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย

'ทำไมถึงต้องมากินข้าวท่ามกลางอากาศหนาวๆแบบนี้ด้วยนะ'
ฉันเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ที่ค่อยๆเปิดแง้มออกช้า เผยให้เห็นภาพลานโล่งที่ถูกโกยหิมะออกจนหมด และสถานที่เองก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายนัก นอกเสียจากผ้าปูโต๊ะผืนงามและเก้าอี้บุนวมดูอบอุ่นสองตัว


    ฉันยืนนิ่งค้างไปซักพักด้วยไหล่ที่เริ่มสั่นเทาไปจนถึงเรียวนิ้ว ห้วงความคิดแทบจะถูกย้อมเป็นสีขาวโพลนเหมือนหิมะที่ปกคลุมหลังคายอดแหลมของพระราชตำหนัก ลมหนาวที่พัดมากระทบใบหน้าจนชาดั่งถูกมีดกรีดลงบนเรียวหน้าอย่างช้าๆ

เพราะอย่างนี้ ถึงได้บอกว่าจะให้เวลาตามที่ฉันต้องการ
ในขณะที่ห้วงเวลาของฉันเดินไปเรื่อยๆอย่างเอื่อยเฉี่อย
เวลาของใครบางคนกำลังเดินถอยหลังอย่างรวดเร็ว

ทันเซย์นั่งรออยู่บนเก้าอี้บุนวมอุ่นข้างโต๊ะอาหารที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามตั้งแต่อาหารไปจนถึงผ้าคลุมโต๊ะ ทุกอย่างถูกจัดทำมาเพื่อมื้ออาหารสุดวิเศษมื้อนี้ รวมถึงทิวทัศน์สุดพิเศษแก่แขกคนพิเศษ

กลีบปากสีแดงสดของหญิงสาวที่นั่งรออยู่ตรงโต๊ะอาหารคลี่ยิ้มบาง
แต่นั่นไม่ได้เรียกความสนใจของฉันได้เลยแม้แต่น้อย...

   ถัดไปจากโต๊ะอาหารไม่ไกลนักมีท่อนซุงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานโล่ง ผิวสีซีดบนร่างเนื้อนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟกช้ำ ร่างของนักโทษชายเสื้อผ้าและผมหลุดลุ่ยถูกมัดติดกับท่อนซุงขนาดใหญ่ เป็นดั่งของประดับสุดพิเศษที่ทันเซย์ดูจะพึงพอใจกับมันเป็นอย่างมาก

ในขณะที่เม็ดทรายในนาฬิกาของฉันค่อยๆเพิ่มขึ้น
ทำไมฉันถึงนึกไม่ออก ถึงความหมายของคำพูดพวกนั้น…
พอรู้สึกตัวอีกทีเม็ดทรายที่อยู่ด้านบนก็เหลือน้อยเต็มทน

"โคเอน..."



☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆


เป็นตอนที่แก้หลายรอบมากค่ะ แก้แล้วแก้อีก (*ノω-)
กว่าจะเอาเนื้อเรื่องมาเชื่อมกันได้แทบกระอักเลือด
//ตายอย่างสงบ
ตอนที่19นี่คือเหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยแต่งมา ถ้าหากเราอัพรวดเดียวกับตอนก่อนหน้านี้คงได้ราวๆ50หน้า ( º﹃º )
วิญญาณคงหลุดออกจากร่างก่อนเรียบเรียงเสร็จค่ะ



ในส่วนของเนื้อเรื่องที่เพิ่มเติมมาอื่นๆจะพยายามเฉลยๆต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับเก็บรายละเอียดของเนื้อเรื่องตัวละครที่มีอยู่แล้วค่ะ แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย อย่างเช่นตัวละครที่โผล่มาแล้วหายไปตอนต้นก็จะกับมาทำให้เรื่องมันวายป่วงช่วงหลังๆเป็นต้น T^T (นี่รู้สึกเหมือนยังอยู่แค่ครึ่งแรกของเรื่อง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น