วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER15









ในขณะที่อีกคนทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะได้กลับบ้าน
ใครคนหนึ่งกำลังตัดพ้อถึงลำนำแห่งความเงียบงัน






 "นั่นคืออะไรหรอ" เด็กสาวที่อายุน้อยกว่ามองสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายด้วยตาเป็นประกาย 




...ในวันนั้น...


บทสนทนาที่ข้าไม่มีวันลืม
บทสนทนาเรียบง่าย
ในคืนวันที่สงบสุขดั่งเป็นนิรันดร์



"นี่คือใบไม้ขอรับ" 

"ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงที่เจ้าทำเมื่อกี้ต่างหาก เจ้าเป่าใบไม้ให้มีเสียงได้ยังไงโคเอน" 
ใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารักของเด็กสาวฉายแววตื่นเต้นสนใจ รอยยิ้มงดงามที่ราวกับจะพัดพากลิ่นหอมของดอกโบตั๋นให้หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ไม่อาจทำให้ข้าเก็บซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านไว้ได้เลย




โดยที่ไม่รู้ตัว...

ข้าก็เอาแต่จ้องมองดวงจันทร์ที่อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ประกายแสงอ่อนโยนที่ทำให้บางสิ่งในตัวข้าผิดเพี้ยนไป หลงคิดว่าซักวันหนึ่งจะเอื้อมมือไปถึงดวงแสงที่ส่องประกายนั่น


แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่เอื้อมมือไปถึงดวงจันทร์ได้แล้วก็ตาม 
ข้ากลับละอายใจเกินกว่าจะเอื้อมมือออกไป 

หวาดกลัวแม้กระทั่งความเจ็บปวด หวาดกลัวว่ามือของข้าจะทำให้ละอองแสงนั้นซีดหม่นไป
กลัวจนไม่อาจลงมือทำอะไรได้ ทำได้เพียงแต่จ้องมองดั่งเช่นกระต่ายตัวหนึ่ง




.



.



.






'ปวดฉี่อีกแล้ว...'




โคเอนพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบากด้วยมือเพียงข้างเดียว กว่าจะลุกขึ้นนั่งได้ก็รู้สึกว่าเพดานบนหัวหมุนติ้วๆไปหลายรอบจนตาลายไปหมด ดวงตาคมปลาบมองไปรอบห้องซอมซ่อที่ไร้วี่แววของมือขวาคนสนิทอย่างมึนเบลอ


"อาลี นายอยู่ข้างนอกรึเปล่า" เสียงแหบพร่าก้องสะท้อนไปตามห้องเก่าๆที่ว่างเปล่าจนกลืนหายไปกับเสียงของลมที่พัดอยู่ด้านนอก แต่ก็ยังคงไร้เสียงใดตอบกลับมา โคเอนนั่งฟังเสียงความเงียบนั่นอยู่พักใหญ่ เงียบซะจนอดคิดหงุดหงิดในใจไม่ได้



เจ้าโง่นั่นหายไปไหน...


ร่างใหญ่ยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล มือเท้าปัดป่ายสิ่งของที่อยู่รอบตัวจนล้มระเนระนาด กว่าจะพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ทรงตัวได้ก็เล่นเอาห้องรกไปหมด ในหัวสมองตอนนี้คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการรีบออกไปทำธุระส่วนตัวแล้วกลับเข้ามานอนอิงไออุ่นจากเตาผิงเก่าๆใกล้มอดไฟ โดยหวังว่ามือขวาตัวดีจะกลับมาพร้อมกับข่าวดี หรืออย่างน้อยก็ไม่หาเรื่องวุ่นวายมาเพิ่ม

"เที่ยงงั้นหรอ แล้วนี่มันเที่ยงวันของวันที่เท่าไหร่กัน?"
โคเอนหรี่ตาจ้องมองพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันโดยทำธุระส่วนตัวไปพลาง ก่อนจะลากสังขารอันบอบช้ำกลับเข้าไปในวัดร้างซอมซ่อที่อากาศด้านในนั้นไม่ต่างจากด้านนอกซักเท่าไหร่นัก ร่างกายใหญ่หนาแทบจะล้มตัวลงเมื่อถึงที่นอนหน้าเตาผิงอุ่น ทันทีที่ร่างกายเอนตัวลงกระทบกับพื้นแข็งความเจ็บปวดจากบาดแผลก็บดขยี้ท่อนแขนข้างขวาอย่างหนักหน่วง มันเจ็บเสียจนแทบคลั่ง บวกกับพิษไข้ที่สุมเร้าให้คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา ในบางทีในหัวของเขาก็มีความคิดที่ว่า'ตัดๆแขนมันทิ้งไปซะ'โผล่ขึ้นมาในหัวเป็นครั้งคราว ในขณะที่นอนอยู่ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัดนี่ 



'เจ้านั่นคงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกนะ'
ใช้โอกาสที่ข้านอนไม่ได้สติหนีไปก็ทำได้ไม่ยากเลย 
ยังไงซะก็ถูกบังคับมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ


ไม่รู้ทำไมในหัวข้าถึงได้มีแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ข้ากลัวแม้กระทั่งเบี้ยในมือของตนเอง กลัวว่ามันจะขยับไปเองอย่างอิสระ กลัวว่ามันจะทิ้งข้าให้ต้องอยู่คนเดียว...


"ปวดแขนเป็นบ้า"

นี่ตัวข้าเป็นบ้าอะไรถึงได้เอาตัวเองมาลำบากปางตายไกลถึงขนาดนี้ ออ...ใช่
เจ้าโง่อาลีนั่น แล้วทำไมข้าต้องพามันออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้มันหนีง่ายขึ้นด้วยล่ะ!
ทั้งเรื่องของแคว้นอูกิก็ไม่ได้รู้ บ้านก็ไม่ได้กลับ แถมยังต้องมานอนป่วยตายเป็นผีเจ้าอาวาสเฝ้าวัดซอมซ่อนี่อีก ปล่อยไว้ซักสองวันคงจะขาดใจตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


ทำไมอาลีมักจะหายตัวไปในเวลาที่ข้าต้องการนักนะ...




    โคเอนพยุงตัวเองลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่า ไฟในเตาผิงริบหรี่เต็มที แต่คนที่เขาเฝ้ารอก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา เขารู้ว่าการออกไปเดินข้างนอกในสภาพนี้มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง แต่การนอนอยู่แบบนี้จะมีความหมายอะไร ถ้าหากอีกคนจะไม่ย้อนกลับมา

โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นข้าวของเครื่องใช้ที่เพิ่มขึ้น และรอยซ่อมแซมตามผนัง สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ บอกเล่าเรื่องราวที่หูของเขาไม่อาจยิน... 

ถึงความพยายามของคนคนหนึ่งที่ยังกลับมาไม่ถึงบ้าน



โคเอนออกเดินไปอย่างไร้จุดหมาย บนถนนเส้นเล็กๆที่ตัดเข้าหมู่บ้าน เสียงผู้คนจอแจบนถนนยามตะวันคล้อยต่ำเป็นได้แค่เสียงอื้ออึงที่ผ่านหูของเขาไปเท่านั้น ก่อนปลายหางตาจะสังเกตเห็นเรือนร่างอรชรเกินบุรุษอันคุ้นตา มือคู่ใหญ่จึงเอื้อมมือออกไปเร็วกว่าความคิดก่อนจะคว้าข้อมือเล็กดึงเข้ามาหาตน

"อาลี..."


"เอ่อ..."
หญิงสาวแปลกหน้ากระพริบตาปริบๆ แม้ใบหน้าของเธอจะแสดงอาการตกใจก็ตาม แต่ชายที่คว้าข้อมือของเธอเอาได้ดูจะมีอาการตกใจยิ่งกว่า


"ขอโทษด้วย ข้าจำคนผิด"


โคเอนเดินออกมาปล่อยให้หญิงสาวที่เพิ่งพบพานยืนมองไล่แผ่นหลังของเขาอยู่ที่เดิมอย่างงงๆโดยที่ไม่เข้าใจดวงตาสีทับทิมแก่กลับมองไปรอบๆราวกับเด็กที่หลงทาง และก็ต้องหยุดสายตาทุกครั้งเมื่อรู้สึกเหมือนเห็นสีทองๆพร่าเลือนผ่านหางตาไประหว่างที่เดินไปตามถนนที่ย้อมด้วยแสงสลัวของโคมไฟ

"ร้านขายหม้อทองเหลืองหรอกหรอ"


ดวงตาสีแดงทับทิมเบนสายตากลับมาอย่างคิดหงุดหงิดเองในใจไม่ได้ ก่อนจะเจอเข้ากับดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้คู่หนึ่งที่จ้องมองมาทางเขาอย่างไม่วางตา ภายในอ้อมแขนเล็กๆหอบซาลาเปาเย็นชืด


"คุณลุงมีลูฟแปลกจัง" เสียงเล็กๆของเด็กชายตัวน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอียงหัว




'มองเห็นลูฟ? คงเป็นเด็กที่เกิดมามีเวทมนต์สินะ'
ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจอะไร ในวังเจิดจรัสเองก็มีพวกนักเวทย์อยู่ไม่น้อย และเด็กน้อยคนนี้เองก็เหมือนกับว่าจะมีคุณสมบัติที่สามารถเป็นนักเวทย์ได้เช่นกัน


 "คุณลุงหลงทางอยู่หรอครับ"


คนที่ถูกเรียกว่า'คุณลุง'พยักหน้าตอบกลับ เพราะอาการไข้ที่ทำให้ประสาทการรับรู้มึนเบลอจนแทบจะฟังเสียงของเด็กชายตรงหน้าไม่รู้เรื่อง จึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ

"คุณลุงจะเดินเผ่นพ่านแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าไม่กลับไปรอที่เดิมคุณลุงจะคลาดกับคุณแม่นะครับ" เด็กชายพูดพลางยิ้มเหมือนกับตนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่กำลังดุเด็กตัวโต


"คลาดกันหรอ..."


บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุด

"ขอบใจนะหนูน้อย" โคเอนยิ้มตอบใบหน้าที่ใสซื่อก่อนเดินออกไป โดยที่ไม้ไดสังเกตเห็นถึงเสียงเอะอะที่ตามไล่หลังมาลิบๆ




"นั่นข้าเห็นมันวิ่งไปทางนั้น!"
"ขโมย!!!"
"ช่วยกันจับเร็วววววววว"


.

.

.



       เสียงปึงปังของประตูไม้เก่ากระทบกับผนังซอมซ่อดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงสิ่งของบางอย่างหล่นกระทบกับพื้นไม้เก่า ดังลอดออกมาจนถึงหน้าประตูอาศรมร้างร้อยปี


'ไม่ผิดแน่...'



"โคเอน!!!!!"



เสียงตะโกนลั่นดังก้องไปทั่วบริเวณ จนแม้หูที่พร่ามัวของคนที่ป่วยด้วยพิษไข้ก็ยังได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดแจ่มแจ้ง น้ำเสียงที่ตอกย้ำถึงความโง่เง่าของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่าอยากได้ยินมันมากเพียงใด...


ทุกภาพที่มองเห็นค่อยๆพร่าเลือนไป ในทุกก้าวที่ขาขยับก้าวเดิน ทุกเสียงค่อยๆซีดจางลงในทุกขณะ เฉกเช่นทุกสัมผัสที่เบาบางในคราที่ยื่นมือออกไป โดยหวังว่าจะเอื้อมถึงไออุ่นหนักแน่นก่อนที่สติการรับรู้จะค่อยๆละลายหายไปเป็นเพียงหมอกไอสีขาว...



"ข้ากลับมาแล้วโคเอน..."





นี่ข้าเป็นบ้าไปแล้วรึไงนะ...


"นายหายไปไหนมา! ทำไมตัวเย็นแบบนี้! นี่ออกไปข้างนอกมากหรอ!?" เสียงเล็กๆในอ้อมกอดนั้นโวยวายอู้อี้ๆเมื่อใบหน้าสวยถูกกดจมลงไปบนแผ่นอกกว้าง


"ข้าจะออกไปฉี่บ้างไม่ได้รึไง"

"นี่ออกไปฉี่ไกลขนาดไหนเนี่ย! ฉี่ใกล้ๆไม่ได้...อ่ะ! โคเอน!?"




'ตลกดีนะ ที่อยู่ๆก็อยากจะเห็นหน้าของเจ้าขึ้นมา...'



"โคเอน!!!!!"

ร่างบางแทบจะรับน้ำหนักไม่ไหวเมื่ออยู่คนตัวใหญ่ก็ล้มลงอย่างกะทันหัน อาลีพยุงคนที่หมดสติลงไปนอนหน้าเตาผิงมอดไฟอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหาฟืนมาเติมจุดไฟเพิ่มอุณหภูมิให้กับพื้นห้องหนาวเหน็บ ทันทีที่ไฟจากเตาผิงส่องสว่างก็ฉายให้เห็นถึงใบหน้าที่ซีดเซียวไร้เลือดฝาดจนน่ากลัว มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลถลอกสัมผัสไปตามร่างกายที่เย็นเยียบจนน่าใจหาย ก่อนจะรีบจัดแจงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเย็นชื้นของโคเอนออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้


"นี่นายออกไปทำอะไรข้างนอกเนี่ย"

อาลีมองสีหน้าที่ดูแย่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆของโคเอนอย่างร้อนใจจนแทบจะเฝ้ารอการมาถึงของเจ้าตาเหล่แทบไม่ไหว เท้าเปลือยเปล่าย่ำลงบนพื้นไม้เย็นฝุ่นเกรอะวิ่งไปทั่วทุกห้องหับของวัดร้าง ค้นหาผ้าทุกผืนและของที่พอจะใช้ได้ทุกอย่างออกจากที่ทางของมันอย่างไม่กลัวบาปกรรม ก่อนเสียงย่ำหิมะหนักจะดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูยามวิกาล


"ลีอา! ข้ามา..เหวอ!"
ชายตาเหล่แทบจะหงายหลังเมื่อบานประตูไม้เปิดออกอย่างแรงเฉียดปลายจมูกเขาไปไม่กี่คืบ ก่อนจะสังเกตเห็นใบหน้ามอมแมมของเพื่อนตรงหน้าเต็มไปด้วยท่าทางร้อนรนผ่านแสงโคมสีส้มที่ตนเองเป็นคนถือมา

"มาพอดีเลย! รีบเข้ามาเร็ว" 

คราวนี้แรงมหาศาลเกินตัวของเด็กสาวตรงหน้าทำเอาเขาเกือบหน้าทิ่ม เมื่อจู่ๆก็ถูกฉุดกระชากเข้ามาในวัดร้างเก่ามืดๆมีเพียงแสงสีส้มริบๆที่ให้แสงสลัวจากห้องเล็กๆด้านในสุด ทำเอาตัวเขาแปลกใจไม่น้อยว่าเพื่อนใหม่ 'ลีอา' อยู่ที่นี่เข้าไปได้ยังไง

ชายตาเหล่ถูกลากเข้ามาถึงห้องเล็กๆที่มีร่างของชายร่างใหญ่ผู้มีผมสีดอกงิ้วแดงเด่นนอนหลับไม่ได้สติด้วยใบหน้าทุกข์ทรมาณ เส้นผมสีแดงขับให้ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาดและริมฝีปากคล้ำยิ่งดูน่ากลัว ทำให้ตอนนี้เขาได้รู้ถึงสาเหตุที่เจ้ามอมแมมทำหน้าตื่นตูมขนาดนั้น ขนาดตัวเขาเองที่เห็นสภาพอาการในทีแรกยังชะงักไปเหมือนกัน 


เจ้าตาเหล่ทรุดตัวลงวางโคมไฟและข้าวของอุปกรณ์ที่เตรียมมาลงกับพื้นก่อนรุดไปดูอาการของคนที่นอนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายโดยพยายามเอาใจเย็นเข้าสู้ และกดสัมผัสตามจุดต่างๆอย่างระมัดระวัง

"แขนนี่มันปวมขนาดนี้เชียว" เจ้าตาเหล่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะสัมผัสตามร่างกายที่ซีดเซียว ตรวจวัดชีพจรตามตำราแพทย์พื้นฐานที่ได้ร่ำเรียนมาบ้างเพราะต้องทำงานอยู่กับยาและสมุนไพร
"แบบนี้ไม่ไหว ร่างกายอ่อนแอเกินไป ถ้าอย่างน้อยไม่รอให้ไข้ลดลงกว่านี้ร่างกายของเขาคงทนฤทธิ์ยาไม่ไหว"


"เรารอให้ไข้ลงไม่ไหวหรอก! เขาผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!" อาลีพูดขึ้นราวกับคนใกล้เสียสติด้วยน้ำตาที่เอ่อรื้นตรงขอบตาร้อนผ่าว ตัวเขาในตอนนี้สั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว 


"แต่ถ้าจะให้กินทั้งๆแบบนี้อย่างน้อยข้าก็ต้องการดอกหญ้าขาว ไม่ก็ยาตัวอื่นมาผสมกับหญ้าพันปีอยู่ดี ให้กินทั้งๆแบบนี้ไม่ได้หรอก" ชายตาเหล่พยายามปรับน้ำเสียงให้ดูสงบที่สุดเพื่ออธิบายให้กับคนที่มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก เผื่อว่าอย่างน้อยจะใจเย็นลงมาได้บ้าง

"ข้าไม่มียาซักชุดเดียว แค่หญ้าซักต้นยัง..." 
อาลีที่ทำท่าจะเหวี่ยงชุดใหญ่หยุดประโยคที่จะพูดกลางอากาศครู่หนึ่ง ดวงตาสีอรุณเป็นประกายราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนที่มือเรียวจะก้มลงเก็บของใส่ย่ามเร็วดั่งพายุที่เกิดขึ้นหลังคลื่นลมที่สงบนิ่งเกินเหตุ 

"เดี๋ยว! เจ้ามอมแมม คิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะ!"
ชายตาเหล่คว้าข้อมือบางแน่นก่อนจะล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นด้วยแรงของคนตัวเล็กที่มีเยอะกว่า



"ข้าจะขึ้นไปที่ถ้ำโอสถอีกรอบ"




"นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรอ! บนภูเขามีพวกเยติมันเผ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด ครั้งที่แล้วมันยังไม่มืดมากพวกเราอาจจะยังโชคดี แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่นะเฮ้ยยยย!!!"  ชายที่แรงน้อยกว่ายื้อข้อมือของคนตัวเล็กสุดชีวิตแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าคนหัวรั้นตรงหน้าจะฟังแม้แต่น้อย จนต้องเปลี่ยนมาเกาะขาแทน แต่ตัวของเขาก็ยังถูกลากไปตามแรงเดินอยู่ดีจนในที่สุดก็ถูกลากมาถึงประตูหน้าวัด

"เดี๋ยวววววว! หยุดนะเว้ยลีอา!"


"ใจเย็นนนนนนนนน ถ้าเจ้าตายใครจะดูแลเจ้านี่ล่ะ! คิดดูดีๆสิ ผัวเจ้าจะต้องเป็นหม้ายนะ!"
คนที่ตัวเล็กกว่าก็ยังคงเดินไปทั้งๆอย่างนั้นไม่สนว่ามีอะไรหรือใครกำลังพันแข้งพันขาตัวเองอยู่ จนชานผอมแห้งต้องเค้นประโยคเกลี้ยกล่อมสุดชีวิตประโยคแล้วประโยคเล่า


"ไม่แน่ว่าซักวันหนึ่งเจ้าผู้ชายงี่เง่าที่ไม่เห็นค่าผู้หญิงสวยๆอย่างเจ้ามันอาจจะสึกแล้วกลับมาแต่งงานกับเจ้าอีกครั้งก็ได้! เจ้าคิดถึงเด็กๆที่กำลังจะเกิดมาสิ! คิดถึงอนาคตที่สดใสเซ่!!!" 
ชายรูปร่างผอมกร่องกอดขาของคนตรงหน้าสุดชีวิตก่อนจะโดนดีดออกจนหงายหลังตึง เมื่อหญิงสาวตรงหน้ายอมหันหน้ากลับมาคุยกับเขาด้วยสีหน้าชวนมีเรื่องสุดๆ


"แล้วจะให้ข้าทำยังไง!"


คนที่ถูกถามทำสีหน้าลังเลไปชั่วครู่ พยายามรีเร้นความคิดออกมาสุดชีวิต ก่อนจะพูดคำที่เหมือนคัดลอกออกมาจากหนังสือนิยายซักเรื่องออกมา
"เจ้าต้องเชื่อสิว่าเขาจะต้องผ่านคืนนี้ไปได้ เชื่อในปาฏิหาริย์สิ!"


"ปาฏิหาริย์หรอ?"
ดวงตาสีอรุณที่สะท้อนกับสีส้มของโคมกระดาษทอประกายอย่างเศร้าศร้อย เมื่อได้ฟังคำพูดของชายที่ยังคงนอนกองกอดขาตนเองอยู่บนพื้น


"เรื่องพรรค์นั้นมันไม่มีจริงหรอก..." 
น้ำเสียงที่ดูนิ่งสงบผิดคาดเลื่อนลอยออกมาจากริมฝีปากแห้งอย่างเรียบเย็นราวกับคำพูดนั้นจะเยือกแข็งเป็นเกล็ดหิมะที่ทิ่มแทงลงอย่างเจ็บปวดบนปลายนิ้วของใครซักคน ก่อนหิมะยามพลบค่ำจะค่อยๆโปรยลงมาในคืนที่เงียบสงัด


"ยะ..อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะลองไปขอความช่วยเหลือในหมู่บ้านดูก่อน เอาถ้ำโอสถไว้เป็นตัวเลือกสุดท้ายเซ่ คิดถึงตัวเองมั่ง!"




"ข้า..จะลองดู" 
อาลีพูดขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหมู่บ้านแทนที่จะมุ่งหน้าขึ้นเขา ทำให้ชายตาเหล่เบาใจขึ้นมาบ้าง ดูเหมือนคำพูดของเขาจะได้ผลแหะ...


"ข้าจะดูเขาไว้ให้จนกว่าเจ้าจะกลับมานะ"


สิ้นเสียงของเจ้าตาเหล่ ดวงหน้าสวยก็พยักหน้ารับคำด้วยแววตาที่มุ่งมั่นแล้วหันหน้าวิ่งออกไปก่อนที่หิมะจะทับถมหนาขึ้น วิ่งออกไปเท่าที่ขาจะวิ่งเร็วได้ ไม่คิดถึงความเหนื่อยล้าของขาที่ปีนเขาขึ้นเขามาทั้งวันแม้แต่น้อย และสถานที่แรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองนั้นก็คือ


'ร้านขายยา'



"มีใครอยู่มั้ย!!!" มือเรียวที่เต็มไปด้วยแผลถลอกทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง จนบาดแผลที่ยังปิดไม่สนิทดีมีเลือดไหลซึมออกมา

"เถ้าแก่เนี้ย!!! ข้าขอโอกาสแก้ตัว! ได้โปรด พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บหญ้าพันปีบนถ้ำโอสถให้เท่าที่ท่านต้องการเลย! ได้โปรด!!!"

สิ้นเสียงอึกทึก เสียงของน้ำไหลฉ่ากระทบกับเนื้อตัวของเด็กสาวในร่างของชายหนุ่มก็ดังขึ้นพร้อมกับความทรมาณยิ่งกว่าถูกเข็มพันเล่มทิ่มแทงทั่วทั้งตัว จนแม้แต่เสียงกรีดร้องยังเยือกแข็งไปพร้อมหยาดเย็นเฉียบที่ถูกสาดออกมาจากระเบียงชั้นสอง

อาลีค่อยๆทรุดตัวลงเมื่อท่อนขาที่อ่อนล้าไม่อาจทนต่อความหนาวสั่นได้อีกต่อไป...
ก่อนเสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวจะดังขึ้นเหนือหัว

"ไปให้พ้นหน้าร้านซะ! ก่อนที่ข้าจะมีน้ำโห!"


"ดะ..ได้โปรด ให้ข้าทำงานอะไรก็ได้ ข้าต้องการแค่ยาชุดนั้นชุดเดียว" คนที่ตัวเปียกหนาวสั่นทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นพยายามข่มน้ำเสียงให้พูดอย่างปรกติ มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลยกมือขึ้นอ้อนวอนอย่างไร้ซึ่งความทนงตน 



"ถึงวันนี้แกจะกลับมาได้จริงๆข้าก็ไม่ให้ยาพวกนั้นกับเจ้าหรอก รู้มั้ยว่าของพวกนั้นมันแพงขนาดไหน ถูกใช้ให้ทำงานฟรียังไม่รู้ตัวอีกนังโง่!!!"





ปึง!
เสียงปิดหน้าต่างดังสนั่นตบท้าย ทิ้งไว้เพียงไหล่เล็กๆสั่นเทาจากความหนาวที่บาดลึกเข้าไปถึงกระดูกภายใต้ท้องฟ้าเย็นยะเยือกที่หิมะโปรยปรายยามค่ำคืน ดวงตาสีทองสุกปลั่งก้มลงมองพื้นเปียกตรงหน้าที่บัดนี้กลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะใช้มือที่คราคร่ำไปด้วยบาดแผลปาดน้ำตาที่รื้นจนเอ่อไหลลงมาอาบแก้มที่เปรอะเปื้อน



ความรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฉันลืมมันไปหมดสิ้น 
ความรู้สึกของขยะไร้ค่าที่เอาชีวิตรอดไปวันๆอยู่ในสลัม
ฉันในตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเลยซักนิด...




ขาที่อ่อนล้าสั่นเทิ้มจนแทบจะฝืนลุกยืนขึ้นไม่ไหวค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น มือทั้งสองข้างโอบกอดรอบตัวเองอย่างหนาวสั่นหวังเพียงว่าจะทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นแม้เพียงน้อยนิด ร่างบางกัดฟันแน่น เดินโซซัดโซเซตัวหงอไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนักก่อนจะลงมือเคาะประตูอีกครั้ง


"คะ..ใครก็ได้...ดะ ได้โปรด"


มือเรียวเคาะประตูดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนเรียวนิ้วงามเจ็บช้ำ ส่งเสียงเรียกจนเสียงแหบแห้งแต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงใดตอบกลับมาจากอีกฟากของประตู
ก่อนร่างบางจะตัดสินใจเดินลากเท้าไปยังบ้านหลังถัดไปด้วยสภาพเหมือนกับคนที่ล้มทั้งยืน 





...และเริ่มเคาะประตูอีกครั้ง...



"หนวกหู!!!"
เสียงเข้มของเจ้าของบ้านดังขึ้นหลังบานประตูแทบจะทันทีตามมาด้วยเสียงเคาะหม้อเคาะชามไล่เสียงดังโป๊งแป๊งอันเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการต้อนรับแขกในยามวิกาล



มือเย็นจนแทบจะแข็งเป็นน้ำแข็งยันประตูเอาไว้เพื่อพยุงขาที่อ่อนแรงไม่ให้ล้มลงก่อนจะค่อยๆผละออก เดินลากเท้าอย่างอ่อนแรงไปยังบ้านหลังถัดไป

และเริ่มเคาะประตูอีกครั้ง...



อีกครั้ง








อีกครั้ง 







และอีกครั้ง

.

.

.

จนกลายเป็นคำว่า 'ครั้งแล้วครั้งเล่า'




มือที่ปริแตกอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง ในทุกกำปั้นที่ทุบลงไปบนบานประตูไม้แข็ง ทุกน้ำเสียงที่แหบแห้งหวังเพียงจะมีใครยอมเปิดประตูออกมา และแล้วก็มีแสงลอดออกมาจากประตูเบื้องหน้า

ในตอนนี้มันอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า 'ปาฏิหาริย์' ก็เป็นได้


"ได้โปรด..ชะ...ช่วย...อั่ก!!!" 
ยังไม่ทันที่เสียงสั่นเครือจะพูดจบประโยค ฝาหม้อดินเผาเก่าก็ถูกเขวี้ยงออกมาโดนใบหน้ามอมแมมของร่างเล็กที่ยืนหนาวสั่นอยู่หน้าประตูอย่างแรงจนมือทั้งสองข้างต้องยกขึ้นมาเกาะกุมหางคิ้วและดวงตาข้างซ้ายอย่างเจ็บปวด


"ไปให้พ้น!!!"

คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของบานประตูแผดเสียงลั่นก่อนจะปิดประตูใส่หน้าของเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าขาดๆวิ่นๆไม่ต่างจากคนจรอย่างรังเกียจ


"ฮึก..."
เข่าที่อ่อนล้าทรุดลงกับพื้น ใบหน้าสวยที่ซ่อนอยู่ภายใต้คราบฝุ่นสกปรกและคราบเลือดสีแดงฉานย้อมซีกหนึ่งของใบหน้าให้ดูอัปลักษณ์ก้มลงมองเศษกระเบื้องดินที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยทัศนะที่พร่าเลือน ก่อนพยายามกลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา



โดยที่ไม่รู้ตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ไหล่และศีรษะไร้หมวกใบอุ่นกำบังก็พูนไปด้วยเกล็ดหิมะเย็นสีขาวที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มันหนาว หนาวมากจริงๆ...


'เจ็บจัง ดวงตาข้างซ้ายมันเจ็บจนลืมตาไม่ได้เลย'


ดวงตาสีอรุณมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้าน มือที่ปริแตกเต็มไปด้วยบาดแผลยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล ก่อนฝ่ามือที่เย็นเยียบจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อุ่นเสียงจนหัวใจกระตุกวาบ...

อาลีหันหน้ากลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหยาบที่รั้งตนเอาไว้ ก่อนจะสะบัดมือออกอย่างไม่ใยดีโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ


"เดี๋ยวก่อนเจ้ามอมแมม คือ..ข้า ข้าอธิบายได้"
ชายรูปร่างสูงเจ้าของคางที่ปูดโปนออกมาดูอัปลักษณ์ เดินตามคนที่แทบจะก้าวเดินไม่ไหวด้วยสายตาเวทนาจับใจก่อนจะคว้าข้อมือบางเย็นเฉียบเอาไว้


"ไม่สิ! ข้าแค่อยากจะขอโทษ ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าทำมันขี้ขลาดน่ารังเกียจขนาดไหน และเจ้าก็คงจะไม่ยกโทษให้ข้า แต่อย่างน้อยขอให้ข้าได้ไถ่โทษในสิ่งที่ข้าทำด้วยเถอะ" ชายร่างสูงอ้อมมาดักทางข้างหน้าก่อนจะก้มลงคุกเข่าต่อหน้าหญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมอย่างไม่ละอายใจ



"ข้าไม่มีเวลาสำหรับเรื่องไร้สาระหรอก... อีกอย่างคนที่เจ้าควรขอโทษก็ไม่ใช่ข้า" ขาคู่อ่อนแรงยังคงเดินต่อไปโดยที่ดวงตาจดจ้องแต่เส้นทางขึ้นเขาและถ้ำโอสถที่อยู่บนเขาสูงห่างไกลออกไป
ก่อนจะโดนชานคางตูดจอมตื๊อเดินมาขวางหน้าอีกครั้ง 


"ข้ารู้ แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าเจ้าต้องการยา" มือใหญ่ล้วงลงไปในกระเป๋าย่ามของตนเองอย่างงุ่มง่าม ก่อนจะชูห่อผ้าเล็กๆที่โชยกลิ่นฉุนๆของยาออกมา 

"ไม่ใช่แค่เจ้าตาเหล่หรอกนะที่แอบงุ๊บงิ๊บของไว้น่ะ พวกเราทุกคนนั่นแหละ พวกเราทำงานกับเถ้าแก่เนี้ยมานานใครๆก็รู้ว่านางขี้ตืดแค่ไหนค่าแรงก็ถูกจนไม่พอยาไส้ เลยคิดแผนหาโอกาสอมของโดยมีเจ้าตีนโตเป็นตัวต้นคิด แต่พอเถ้าแก่เนี้ยเริ่มสงสัยมันก็จะโยนความผิดไปที่ใครซักคน จนคนในร้านขาดแคลนเพราะถูกไล่ออกกันหมดไงล่ะ"


  มือเรียวบางเอื้อมมือคว้าห่อยามาไว้ในมือตนเองด้วยเรียวนิ้วที่สั่นระริก ดวงหน้าเปรอะเปื้อนอาบไปด้วยหยาดน้ำแห่งความตื้นตันที่เปียกชื้นสองแก้มอีกครั้ง ก่อนจะมองคนตัวใหญ่ที่คุกเข่าย่อตัวลงอย่างประหลาดใจ


"ขึ้นมาสิ เจ้าบอกว่าไม่มีเวลาไม่ใช่หรอ"



ร่างเล็กมองแผ่นหลังนั้นอย่างเก้ๆกังๆ ก่อนค่อยๆย่อตัวลง เจ้าคางตูดพูดถูกตอนนี้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะมาเดินกระเผกไปรอบหมู่บ้านด้วยซ้ำ มือที่บอบช้ำเกาะรอบลำคออย่างแน่นเหนียว เมื่อตำแหน่งมั่นคงดีแล้ว คนตัวใหญ่ก็ลุกยืนแบกร่างเล็กให้ลอยขึ้นเหนือพื้น แม้จะเซเล็กน้อยแต่ก็แบกร่างของเด็กสาวอย่างกระชับแน่น ก่อนคนที่ขี่หลังอยู่จะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่ได้บอกถึงจุดหมายที่จะไป 

"ตอนนี้ข้าพักอยู่ที่วัดร้าง"


"นั่นมันไกลอยู่เหมือนกันนะ แต่เอาเถอะ เกาะแน่นๆแล้วกัน"


.


.


.




ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และแสงสลัวจากเตาผิง





"นี่ก็ผ่านไป1ชั่วยามแล้ว ลีอายังไม่กลับมาเลย"


ชายตาเหล่มองอาการของชายร่างใหญ่ดูมีชาติตระกูลไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่เขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ก่อนรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อใบหน้าซีดนั้นดูแย่ลงกว่าเดิมอีก แม้ว่าจะเช็ดตัวเป็นระยะๆแล้วแต่ไข้ก็เหมือนจะไม่ทุเลาลง 

"จะว่าไปหน้าเจ้านี่มันก็ดูจะรอดไม่พ้นคืนนี้จริงๆนั่นแหละ"

เสียงพึมพำกับตัวเองหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินของฝีเท้าหนักย่ำลงบนพื้นกระดานไม้เก่าส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไปทั่ว ชายร่างผอมกงโก้จะลุกขึ้นจากที่นั่งเปิดประตูออกไปดู ก่อนจะต้องผงะเมื่อเห็นร่างสูงโย่งอันคุ้นตา และเด็กสาวร่างบางในสภาพที่ซมซานเกินจะกล่าว ภาพใบหน้าซีกซ้ายที่ดวงตาปิดอาบด้วยคราบเลือดกรังเต็มไปด้วยบาดแผลทำให้เขาเผลอกำมือแน่น 

"แก!!!"



อาลีรีบกระโดดลงจากหลังของเจ้าคางตูดทันทีจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ก่อนจะเอาห่อยายื่นให้กับเจ้าตาเหล่โดยที่ไม่สนท่าทางที่ดูโกรธเกี้ยวนั่นแม้แต่น้อย

"เร็วเข้า! เราไม่มีเวลาแล้วนะ!"


ดวงตาไม่สมประกอบมองอดีตเพื่อนอย่างฉุนเฉียวแต่ก็ต้องหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในห้องอย่างจำใจ ก่อนจะรีบจัดแจงหม้อและอุปกรณ์ต้มยาต่างๆที่ขนเตรียมมาจากบ้านอย่างรีบร้อนโดยมีเด็กสาวที่ตัวถลอกปอกเปิกไปทั่วทั้งตัวช่วยเป็นลูกมือ

"ลีอาเจ้าไปเปลี่ยนชุดทำแผลก็ไป เดี๋ยวก็ล้มป่วยไปอีกคนหรอก" เจ้าตาเหล่ปัดมือไล่ ทำไม่สนใจคนตัวใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง


"ชายคนนี้? หรือว่าจะเป็นคนที่มีเรื่องกับพวกกูรึมที่โรงเตี๊ยมเก่า!?" 
เจ้าคางตูดเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนเจ้าตาเหล่จะหันหน้าไปมองตาม

"เจ้าพวกอันธพาลที่โรงเตี๊ยมเก่าอ่ะนะ ไม่แปลกใจเลยที่สภาพปางตาย" ชายตาเหล่บดตำหญ้าด้วยเครื่องมือที่ขนติดมือมาอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะหันไปไล่ร่างบางที่นั่งอยู่ใกล้อีกรอบ
"นี่เจ้ายังไม่ไปเปลี่ยนเสื้ออีก!"


คนที่โดนดุก้มหน้างุดก่อนพูดออกมาด้วยเสียงแหบบางเบา
"ข้ามีตัวนี้ตัวเดียว"


ชายทั้งสองมีสีหน้าอึ้งๆไปเล็กน้อย 
...แล้วที่ผ่านมาเจ้านี่มันใช้ชีวิตยังไงเนี่ย...

ไม่ได้มีใครเอ่ยพูดอะไรออกมาต่อหลังจากที่เสียงแหบแห้งนั้นพูดจบประโยคซักพักหนึ่ง เพราะเจ้าตาเหล่เองก็งานล้นมือง่วนอยู่กับการปรุงยา จนกระทั่งเจ้าคางตูดเสนอความคิดออกมา

"ข้ามีชุดเก่าๆของพี่สาว ตอนนี้นางแต่งงานมีลูกสามอ้วนจนใส่ชุดเก่าๆไม่ได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะแวะกลับไปเอาที่บ้านให้" ชายร่างใหญ่วิ่งหุนหันออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ เสียงฝีเท้าหนักวิ่งออกไปไกลลิบจนไม่ได้ยินเสียง


"ระหว่างนี้เจ้าก็ไปอาบน้ำล้างแผลก่อนไป" 

ชายตาเหล่ที่ยุ่งอยู่กับหม้อยาพูดด้วยเสียงเรียบๆ ก่อนอาลีจะตัดสินใจลุกออกไปต้มน้ำทำน้ำอุ่นในกระละมังใบใหญ่บุบๆเก่าๆขนาดให้คนตัวใหญ่ๆลงไปนั่งแช่ได้สบาย ที่ตนแอบลักมาจากหลังร้านย้อมผ้า และยังอุตส่าห์หาอิฐหินมาก่อเทินให้อ่างน้ำสูงขึ้นไปเพื่อทำช่องว่างใช้จุดไฟต้มน้ำใต้กะละมังใบใหญ่ ใช้เวลาพักหนึ่งให้น้ำอุ่นพอที่จะอาบได้แล้วจึงดับไฟด้านใต้ เตรียมถอดเสื้อขาดๆวิ่นๆออก ก่อนจะต้องหยุดมือเมื่อเสียงวิ่งตึกตักใกล้เข้ามา


"อะ เอ่อ..."  
เจ้าคางตูดที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามามองแผ่นหลังขาวเปลือยที่เสื้อผ้าท่อนบนหลุดลงมากึ่งหนึ่งได้แล้วด้วยตาปริบๆ ก่อนอาลีจะหันหน้ามามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยแม้ว่ามือจะดึงเสื้อขึ้นมาปิดแผ่นอกราบเรียบด้านหน้าด้วยความเคยชินก็ตาม

"ข้าวางเสื้อผ้าเจ้าไว้ตรงนี้แล้วกันนะ" 
คนตัวใหญ่วิ่งหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึงสุกออกไป พร้อมกับเสียงพึมพำโวยวายกับตัวเองที่อาลีฟังไม่ค่อยถนัดแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะแสดงสีหน้าเสียด้วยซ้ำ



     ร่างบางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะถอดเสื้อผ้าชื้นเปียกของตนเองออกและแช่ตัวลงในอ่างน้ำอุ่นที่ใช้ภูมิปัญญาบ้านๆของตนเองทำขึ้นมา เสียงแหบพร่าครางในลำคอเบาๆเมื่อแผลตามตัวสำผัสโดนกับน้ำ ถึงแม้ว่าน้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกสบายตัวแค่ไหนก็คงจะไม่อาจนั่งแช่ได้นานๆ

อาลีคิดในใจเมื่อเกือบเผลอหลับคาอ่างน้ำหลังจากที่แช่ได้ซักพัก อีกอย่างเขาเองก็คงต้องไปห้ามทัพหากเจ้าตาเหล่จะหาเรื่องตีกับเจ้าคางตูดขึ้นมา มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลจึงทำแค่เพียงล้างบาดแผลตามใบหน้าลำตัวและคราบสกปรกออก รีบเช็ดผมเช็ดตัวให้แห้งสะอาดแล้วเอาเสื้อที่ได้รับมาขึ้นมาสวมใส่ ถึงแม้จะหลวมไปบ้างแต่ก็อุ่นกว่าเสื้อตัวก่อนที่ใส่มาสองวันติดกัน


อาลีเดินเข้ามาในห้องเล็กๆห้องเดียวที่มีเตาผิง ก่อนจะนั่งลงเงียบๆมองชายทั้งสองที่ช่วยกันกรอกยาทำแผลให้กับคนป่วยโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมาตีกัน

เจ้าคางตูดหันมามองคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องอย่างตะลึงเล็กน้อย เมื่อได้เห็นใบหน้ามนที่ไร้ซึ่งคราบฝุ่นเขม่าสกปรก แม้แต่ใบหน้าซีกซ้ายที่บวมช้ำที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็ยังไม่อาจบดบังความงดงามของใบหน้าสวยหวานนั้นได้ คนตัวใหญ่เรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะคิดเรื่องผิดศีลธรรม มือใหญ่ๆยันตัวลุกขึ้นเดินอ้อมไปหยิบยากับผ้าพันแผลที่กวาดมาหมดบ้าน ก่อนจะนั่งลงหน้าเด็กสาวที่เอาแต่เฝ้ามองคนป่วยตรงหน้าอย่างเงียบงัน

"มาเถอะเดี๋ยวข้าทำแผลให้"



อาลียื่นมือสองข้างที่เต็มไปด้วยบาดแผลออกมา ก่อนชายตรงหน้าจะค่อยๆทายาพันผ้าลงบนมือเรียวทั้งสองข้างอย่างขะมักเขม้น ดวงตาสีทองยังคงเหม่อมองร่างของคนป่วยไม่ละสายตา ก่อนเจ้าคางตูดจะเริ่มทำแผลบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองคู่ปิดลงสนิทอย่างเหนื่อยล้า ปล่อยให้สัมผัสบางๆของผ้าพันแผลพันรอบหัวและพันปิดดวงตาข้างซ้ายอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น


"ขอบคุณ"
เสียงเล็กเอ่ยมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆเขยิบตัวไปนั่งข้างๆของคนป่วยที่เพิ่งจะพันผ้าพันแผลเสร็จเช่นกันอย่างเงียบๆ


"หลังจากนี้ถ้าคอยเช็ดตัวไปเรื่อยๆก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว พอตื่นมาค่อยให้กินยาที่เหลือต่อ" 
เจ้าตาเหล่พูดพลางปาดเหงื่อก่อนเอนหลังพิงกับผนังห้องอย่างเมื่อยล้า ทำท่าทางเหมือนกับว่าจะค้างยาวอยู่ที่นี่ 

เจ้าคางตูดมองใบหน้าที่ซีดเซียวของชายหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก ก่อนจะตัดสินใจลากคอเสื้อของเจ้าตาเหล่ให้ลุกขึ้น

"เฮ้ย อะไรของเจ้าเนี่ย!" คนตัวเล็กกว่าถูกลากออกไปอย่างช่วยไม่ได้เมื่อตัวเองแรงน้อยกว่า

"งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพวกข้าจะมาใหม่แล้วกันนะ" เจ้าคางตูดยิ้มให้กับใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉย ดวงหน้างามเพียงแค่พยักหน้าตอบกลับเท่านั้น ก่อนเขาจะลากคนที่ตัวเล็กกกว่าติดมือออกมาด้วย จนออกมาพ้นประตูหน้าวัดร้างคนตัวผอมขี้โวยวายจึงสะบัดมือของเขาหลุด


"อะไรของเจ้าเนี่ย! แล้วลากข้าออกมาทำไม?"

"เจ้าจะไปอยู่เป็นก้างขวางคอสองคนนั้นทำไมเล่า ปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองน่ะดีแล้ว" เจ้าคางตูดทำหน้าดุ พวกเขาทะเลาะกันอย่างสนิทสนมอีกครั้งเหมือนกับเมื่อหัวค่ำนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน

.
.
.

"เรื่องเมื่อเย็นนี้น่ะ ข้าขอโทษ"

"ช่างมันเหอะ ตอนนี้ข้าไม่ติดใจอะไรแล้ว ความจริงคืนนี้ข้าควรจะอยู่ช่วยลีอาด้วยซ้ำ แต่เจ้าก็ดันลากคอข้าออกมา"คนตัวผอมกว่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"เรื่องผัวเมียก็ปล่อยให้เขาจัดการกันเองเถอะน่า"


"พูดแล้วก็อิจฉาเหมือนกันนะ ถ้ามีผู้หญิงดีๆมารักข้าดูแลข้าแบบนั้นบ้างก็คงจะดี" เจ้าตาเหล่พูดพลางยิ้มกริ่มด้วยใบหน้าเพ้อฝันชวนให้ขนลุก

"นั่นสิ"

เจ้าคางตูดเหม่อมองทาง ก่อนภาพของเมื่อค่ำจะลอยขึ้นมาในหัว เมื่อภาพของมือคู่ที่ม่วงช้ำปริแตกคู่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ความจริงแล้วตัวเขาเองรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่ร้านขายยา...


   ในตอนนั้นเถ้าแก่เนี้ยขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสองในขณะที่เขายังคงจัดของอยู่ในร้าน จู่ๆเสียงทุบประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอันคุ้นหู เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองได้ยินชัดทุกประโยค ทุกคำพูด จึงได้ตัดสินใจขโมยยาชุดหนึ่งที่ยังวางกองค้างอยู่บนโต๊ะไม่ได้เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อกลางวัน มั่นใจว่าพวกเขาจะต้องกำลังพูดถึงยาชุดนี้แน่ๆก่อนจะแอบออกมาทางด้านหลังร้าน

ภาพของหญิงสาวตัวเล็กในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัวท่ามกลางฝนหิมะหนาวเหน็บยังคงสลักฝังลึกอยู่ในดวงตาของเขา เธอเดินเคาะประตูบ้านของคนในหมู่บ้าน ประตูแล้วประตูเล่า แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะฟังเสียงของเธอแม้แต่น้อย ไม่มีใครซักคนที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ทั้งยังซ้ำเติมด้วยถ้อยคำที่แสนเย็นชา เธอล้มลงกุมใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดก่อนจะฝืนลุกขึ้นเดินต่อ

 จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจจะทนดูภาพที่แสนเวทนานี้ได้อีกต่อไป...



ในตอนแรกตัวของเขานั้นสงสัย ถึงเหตุผลที่ทำให้คนคนหนึ่งยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาต่อผู้ที่ดูหมิ่นคุณค่าของชีวิตตนอย่างไร้ศักดิ์ศรี ไร้ซึ่งความละอาย วิ่งขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพชเวทนา แต่เมื่อได้มาเห็นร่างที่นอนป่วยของชายผู้นั้นแล้วเขาก็เข้าใจขึ้นมาว่าเพราะเหตุนี้เองมือคู่สวยนั้นถึงได้ช้ำถลอกยับเยิน หลังที่สมควรจะเรียบเนียนสวยดั่งหญิงสาวทั่วไปถึงเต็มไปด้วยแผลเป็นทางยาวเช่นนั้น 


ความดีงามในจิตใจของเธอสร้างบาดแผลให้กับตนเองมากมายเหลือเกิน
ได้แต่หวังว่าค่าตอบแทนของบาดแผลเหล่านั้นจะคุ้มค่ากับทุกสิ่งที่เธอต้องเสียไป





...โชคชะตาเอ๋ย อย่าได้เล่นตลกกับชีวิตของเธอผู้นั้นเลย...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น