วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER3




"ไว้เจอกันอีกทีตอนวันพิธีแต่งตั้งรัชทายาทนะ"โคเกียคุยิ้มพลางเขย่ามืออาลีบาบาอย่างตื่นเต้น

"อ่อย~" อาลีบาบาทำหน้าเหมือนจะอ้วก ตาลายหมุนติ้วๆ เหมือนกับว่าจะไม่รับรู้สิ่งที่เพื่อนสาวของเธอกำลังพูดเลยแม้แต่น้อย

"อ๊ะ เป็นอะไรมากมั้ยอาลีบาบาจัง"

"คงแค่ดื่มมากไปหน่อยน่ะค่ะ" โมลเซียหน้าพยุงอาลีบาบาที่โซเซไปมา"อย่าได้เป็นห่วงเลย"

"อื้ม งั้นไว้เจอกันใหม่นะ"โคเกียคุโบกมือลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
โมลเซียน่าเองก็โค้งเล็กน้อยก่อนจะพยุงอาลีบาบาที่สติขาดๆหายๆกลับตำหนัก


ซินงินที่อยู่ข้างหลังส่ายหัวอย่างหนักใจ
"ถ้าท่านซินแบดมาเห็นในสภาพนี้จะว่ายังไงคะเนี่ย ไม่ไหวเลยนะคะ"

“โถ่ ซินดื่มมากไปแล้ว ถ้าพวกท่านองค์หญิงอาลีบาบามาเห็นจะว่ายังไงครับ”
เสียงของจาฟาลที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก
      ซินงินหันไปหาต้นเสียงของประโยคที่แทบจะเหมือนของเธอเป๊ะๆ ก่อนพบกับเหล่าเลขาของราชาซินแบดพยุงร่างเมาแอ๋หมดสภาพของผู้ได้ฉายาว่าผู้พิชิต7คาบสมุทรกลับที่พัก

...รึว่าสองคนนี้จะเป็นเนื้อคู่กัน...
ซินงินคิดในใจพลางหรี่ตามองสลับไปสลับมาระหว่างอาลีบาบากับซินแบด
จาฟาลที่เผอิญหันมาเจอเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่ละม้ายคล้ายกับของตนเหลือเกินส่งสายตามาเป็นเชิงบอกว่า 

‘ข้าจะทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’

ส่วนซินงินเองก็หันยิ้มเป็นนัยๆว่า ‘ลืมเหตุการณ์นี้ไปซะเถอะ’
ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันกลับไปหาเจ้านายตัวเองแล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


"ท่านลุงซินแบดนั่นแหละ หนักกว่าข้าอีก"อาลีบาบาบ่นด้วยเสียงแผ่ว ขาดห้วงตามประสาคนเมา

โมเซียน่าพยุงอาลีบาบากลับตำหนักโดย มีซินงินช่วยอีกแรง เหล่านางกำนัลที่กระหายในการรับใช้(?)ก็ต่างกรูดันเข้ามาทันทีเมื่อถึงตำหนัก

"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพวกข้าจัดการได้"โมเซียหน้าบอกปัดไปเพราะเห็นว่าอาลีบาบาเองก็โดนเหล่านางกำนัลมะรุมมะตุ้มกันตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว เจ้าตัวเองก็ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับกิจวัตรส่วนตัวซักเท่าไหร่ด้วย

ทันทีที่โมเซียน่ากับซินงินพยุงร่างเกือบไร้สติมาถึงเตียง อาลีบาบาก็แทบจะสลบเหมือดทันทีที่แตะผ้าปูที่นอน

"ข้าว่าแบบนี้เช็ดตัวดีกว่านะคะ เดี๋ยวข้าไปยกน้ำกับผ้ามาก่อน"

ยังไม่ทันที่ซินงินจะได้ลุกออกไป โมเซียน่าก็สัมผัสได้ถึงความผิดปรกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับ
อาลีบาบา 
ร่างบางเริ่มบิดพลิกไปมาไถลไปกับผ้าปูที่นอนจนยับยู่

"ท่านอาลีบาบา!"
เมื่อเด็กสาวเฟอนาริสพยายามพยุงใบหน้าที่จุ่มลงไปกับหมอนขึ้นมาก็พบว่าใบหน้าไร้เลือดฝาดของอาลีบาบากำลังบิดเบี้ยวอย่างทรมาณ ริมฝีปากเขียวคล้ำ และเริ่มดิ้นทุรนทุรายเหมือนโดน
ไฟสุม 
ร่างกายเองก็เกรงบิดผิดรูปราวกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มแทงเลือดเริ่มซึมไหลออกมาจากทวารทั้งเก้าอย่างน่ากลัว ทั้งดวงตา ปาก หู เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงค่อยไหลซึมออกมา

ซินงินเมื่อเห็นดังนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี
"ยาพิษ!?"


"ข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้แหละ!"
โมเซียหน้าเตรียมหมุนตัววิ่งออกไป แต่ยังไม่ทันได้ออกจากห้องก็มีนางกำนัลคนหนึ่งพรวดพลาดเข้ามาหน้าตาตื่นแล้วล็อคประตูห้อง ก่อนจะมีเสียงปึงปังเหมือนของแข็งกระทบเข้ากับประตู
ตามมาด้วยเสียงโวยวายของชายฉกรรจ์จากด้านนอกประตู

"ท่านโมเซียน่า! แย่แล้ว! ประตูของตำหนักเราโดนปิดจากด้านนอก แถมคนของเรายังโดนพวกโจรไล่ฆ่า หนีไปไหนไม่ได้เจ้าค่ะ!"

"อะไรนะ!"

    หากจะหยุดโมลเซียหน้าได้ก็ต้องใช้ทหารทั้งกองทัพก็จริง แต่ในสถานการณ์ที่ต้องแข่งกับเวลาแบบนี้อาลีบาบาคงทนพิษไม่ไหวแน่

"ไม่มีเวลาแล้ว" ถ้าหากเราควบคุมพลังภาชนะบริวารได้มากกว่านี้ล่ะก็...
เด็กสาวเฟอนาริสกำมือแน่น ก่อนใบหน้าสวยคมนั้นจะฉายแววของความเจ็บใจต่อความไร้กำลังของตนเอง โมเซียน่าหันกลับไปหาอาลีบาบาที่กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงหลังใหญ่
แต่ก็พบกับภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

มือของซินงินกำลังเปล่งแสงสีม่วงสว่างเหมือนดวงไฟสีนวล อาลีบาบาเองก็หยุดดิ้นทุรนทุรายอย่างหน้าประหลาด

"คุณซินงิน นั่นมัน..เวทมนต์?"
นอกจากนั้นโมลเซียน่ายังสังเกตเห็นส่วนอื่นของร่างกายซินงินที่ไม่ควรจะมี

หาง!?

"ข้าทำได้แค่ชะลอพิษเอาไว้ได้ชั่วคราว รีบเถอะค่ะ"
ซินงินเขยิบถอยออกมาให้โมเซียน่าแบกอาลีบาบาไว้ที่หลัง มือคู่แกร่งของโมเซียน่าฉีกกระชากผ้าม่านออกจนเป็นเส้นเล็กๆเหมือนเชือกมัดร่างที่ไร้สติไว้ให้ติดกับตัวเองโดยที่ไม่มีเวลามาคิดอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะถีบเข้าไปที่ประตูอย่างเต็มแรง

เพียงแค่ลูกถีบเพียงครั้งเดียวของเด็กสาวเฟอนาริส ประตูก็พังออกทับเหล่าชายฉกรรจ์ที่หวังจะพังประตูเข้ามา มิหนำซ้ำเธอยังเหยียบบานประตูนั้นซ้ำ จนคนที่ถูกทับอยู่ข้างใต้ร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งฝ่าเหล่ากลุ่มกองโจรที่กำลังถาโถมเข้ามา แล้วแจกลูกเตะให้ไปคนล่ะทีไปพลาง
ซินงินและสาวรับใช้อีกคนวิ่งตามหลังโมเซียน่าออกไปทันทีที่เส้นทางถูกเคลียร์แล้ว

...ต้องหาทางออกไปตรงกำแพงให้ได้ ถ้าแค่กำแพงตำหนักแค่นั้นเรากระโดดข้ามได้อย่างแน่นอน!...
ยังไม่ทันจะวิ่งออกไปได้ไกลเหล่าพวกโจรก็วิ่งเข้ามาราวกับคลื่นมนุษย์ที่ล้นทะลักท่วมช่องทางเดินเล็กๆของตำหนัก

"ทางนี้ค่ะ ท่านโมลเซียน่า"นางกำนัลที่ติดตามมาด้วยเปิดประตูของห้องเก็บของเล็กๆ ก่อนทุกคนจะรีบเข้าไปซ่อนอย่างเงียบเชียบ

"ถ้าเป็นอย่างนี้เราออกไปไม่ได้แน่" โมเซียน่าพึมพำ ก่อนจะจับมือที่ไร้เรี่ยวแรงอันเย็นเยียบที่พาดอยู่บนบ่าของตนอย่างสิ้นหวัง

"ยังพอมีทางอยู่ ท่านโมเซียน่าวางท่านอาลีบาบาลงก่อนเถอะ ข้าจะถอดเสื้อคลุมออก"

โมเซียน่าค่อยๆวางอาลีบาบาลงจากหลังอย่างระมัดระวังก่อนซินงินจะถอดเสื้อคลุมชั้นนอกที่ถูกปักเย็บด้วยลวดลายอันสวยงามของอาลีบาบาออก แล้วสลับกับเสื้อของตนเอง หลังจากสลับเสื้อกันเรียบร้อยแล้ว ซินงินก็ปลดตุ้มหูที่ตนเองใส่ตลอดเวลาออกแล้วใส่มันให้กับอาลีบาบาที่สติเลือนลางเต็มทีอย่างเบามือ ก่อนจะมีแสงสีเงินนวลเหมือนสีของดวงจันทร์ห่อหุ้มร่างบางอันเย็นเยียบ

"ซินงินใบหน้าของเจ้า.." นางกำนัลที่ติดตามมาด้วยเบิกตาโพล่งอย่างตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าและบางส่วนของร่างกายของหญิงสาวเรือนผมสีเงินนั้นค่อยๆเปลี่ยนรูป ไม่ใช่แค่ซินงินแต่อาลีบาบาก็เช่นกัน...

"อุปกรณ์มนต์ตราชิ้นนี้จะทำให้เหล่าชายชาตรีในชนเผ่าของข้าเบ่งบานในครึ่งชีวิตที่เหลือจากชายหนุ่มเป็นหญิงสาว แต่หากใส่มันกับผู้หญิงแล้วล่ะก็ จากหญิงจะกลับกลายเป็นชาย" เสียงของ
ซินงินทุ้มต่ำลงราวกับเสียงของชายหนุ่ม 
แม้ไหล่กับโครงหน้าเองก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ซินงินนั้นคือผู้ชายไม่ผิดแน่

      "บัลแบดไม่ปลอดภัยสำหรับพวกท่านอีกต่อไปแล้ว ถึงจะออกไปตำหนักได้ก็ใช่ว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปในวังได้ ต้องมีพวกมันอยู่ข้างนอกอีกแน่ หากท่านอาลีบาบากลายเป็นผู้ชายล่ะก็จะปลอดภัยกว่า.."

"คุณซินงิน.."
บรรยากาศแปลกๆที่จะสัมผัสได้ รอบตัวของสาวใช้ในวังธรรมดาๆคือสิ่งนี้เอง โมลเซียน่าครุ่นคิดสิ่งที่คิดอยู่ในใจโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆต่อ

"ข้ามีครอบครัวตอนนี้คงอยู่ที่เรมกันหมดแล้ว พวกเขาจะต้องช่วยท่านได้แน่นอน"

.

.

.

สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่อาจฝืนลิขิตของลูฟได้งั้นรึ

"ซิน..."เสียงทุ้มแหบพร่าของเด็กหนุ่มเลื่อนลอยอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีทองคู่นั้นจ้องมองมาที่ข้าอย่างอ่อนแรง นั่นทำให้ข้าอดสูในความไร้กำลังของตัวเองยิ่งนัก แม้ล่วงรู้ลิขิตฟ้า แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยคนสำคัญได้จะมีพลังไว้ทำไม?

"จากนี้ท่านจะต้องเจอเรื่องที่ต้องลำบากอีกมากมาย ต้องทุกข์ใจ ต้องโศกเศร้า ต้องเจ็บปวด
แต่ถึงอย่างนั้น..ก็อย่าได้สาปแช่งโชคชะตาของตนเองเลยนะ"ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกุมมือของผู้ที่เป็นรักยิ่งไว้อย่างแนบแน่น

"เธอ...คือ..ใครกัน.."

เสียงแผ่วขาดห้วงนั่นยิ่งทำให้แววตาของชายหนุ่มลึกลับสั่นไหว
"ข้าคือจิ้งจอกขาวที่ท่านเคยช่วยไว้เมื่อหนึ่งปีก่อน" ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยีราวกับว่ากำลังพูดเล่น
ก่อนจะค่อยๆคลายมือที่เกาะกุมกันไว้อย่างแนบแน่นนั้นออก


ตลอดกาล...


"ข้าจะล่อพวกมันไว้ หลังจากนั้นแล้วพวกท่านก็พาท่านอาลีบาบาหนีไป"

"คุณซินงินแบบนั้นมัน!..."
โมเซียน่าทำท่าจะท้วงแต่ก็เงียบลง เมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มด้วยแววตาแบบนั้น
ทั้งๆที่ทางรอดกลับมาสมทบกับพวกตนทีหลังแทบจะไม่มีเลยแท้ๆ นั่นไม่ควรเป็นสีหน้าของคนที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตของตัวเองเลยซักนิดเดียว

"เข้าใจแล้วค่ะ"

ก่อนที่มือของซินงินจะผลักประตูออกไปเสียงของโมลเซียน่าก็เรียกเขาไว้อีกครั้ง

"ขอถามอะไรซักอย่างได้มั้ยคะ"
เด็กสาวเฟอนาริสทำสายตาลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป

"ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วยล่ะคะ"

เปลือกตาบางของชายหนุ่มปิดลงทั้งที่ใบหน้ายังถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าของคนด้านหลัง

"นั่นสินะ...คงเป็นเพราะข้าเป็นจิ้งจอกที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งรักล่ะมั้ง" ชายหนุ่มยังคงพูดด้วยน้ำเสียงติดล้อเล่นพลางหัวเราะเบาๆในลำคอ


ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ราวกับดวงจันทร์ที่ส่องแสงพร่าเลือน...

เสียงของประตูปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมากปนเสียงเอะอะโวยวายของชายฉกรรจ์
หลายคน
ค่อยเคลื่อนไกลออกไปเรื่อยๆ

"จังหวะนี้ล่ะ"
โมเซียน่าแบกอาลีบาบาเอาไว้บนหลังอีกครั้งก่อนจะวิ่งออกไปพร้อมกับนางกำนัลที่ติดตามมาด้วยบนทางเดินที่โล่งว่าง ไปยังสวนที่อยู่ข้างตำหนัก แล้วใช้มือข้างเดียวอุ้มตัวของหญิงสาวรับใช้แล้วกระโดดข้ามกำแพงตำหนักสูงด้วยแรงขาอันมหาศาล ก่อนจะเตรียมฟาดขาใส่ทหารที่ถือดาบแล้ววิ่งพรวดพลาดตรงเข้ามา

"เดี๋ยว! เดี๋ยว! นี่ข้าเอง ข้าอัฟนานทหารขององค์ชายสับหมัด"

โมเซียน่าชะงักฝีเท้าไว้กลางอากาศ ก่อนจะถอยห่างออกมาเล็กน้อย
ทหารผู้น่าสงสารได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงจะยังเป็นเด็กแต่ก็เป็นชนเผ่าเฟอนาริส
นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด 
ถ้าโดนลูกเตะนั่นเข้าไปเขาอาจจะตายได้ภายในลูกเตะเดียว

"ข้ารู้จักเขาค่ะ ท่านโมเซียน่า เขาเป็นคนของท่านสับหมัด"
สาวใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยลงมาจากอ้อมแขนของเฟอนาริสสาว ก่อนจะมองหน้าทหารหนุ่มเหมือนคนที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าให้กันเท่านั้นก็เหมือนจะเข้าใจกัน

"ข้าได้รับคำสั่งจากองค์ชายสับหมัดให้มาช่วยพวกท่านหลบหนี ข้าจะพาท่านไปยังตำหนักของทูตจากซินเดรียที่อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นปลอดภัยที่สุด รีบไปเถอะ!"

"องค์ชายสับหมัด? องค์ชายลำดับ2น่ะหรอ? แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
โมลเซียน่าถามด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ ใครคือมิตรใครคือศัตรูในหัวของเธอสับสนไปหมดแล้ว

"คือ..คนที่จะปลงพระชนม์องค์หญิง ความจริงแล้วก็คือองค์ชายอับหมัดขอรับ!"
กลิ่นของไม้และเนื้อไหม้ ควันเขม่าสีดำลอยขมุกขมัวออกมาจากตำหนัก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้เวลายิ่งเร่งเร้า ราวกับความตามกำลังเคลื่อนเข้ามา

...เวลานี้ยังไม่ใชเวลาของการสืบหาความจริง...

"รีบเถอะขอรับ!"
โมลเซียน่าหันไปมองตำหนักที่กำลังลุกเป็นไฟเพียงชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามทหารหนุ่มไป

...ไม่มีเวลาแล้ว...

หากแม้จะเป็นกับดัก แต่ก็เป็นเพียงแสงแห่งความหวังริบหรี่เพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความ
อลม่านของกระแสแห่งโชคชะตาในตอนนี้ 
อีกอย่างตอนนี้เองเสียงหายใจของอาลีบาบาก็ค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ ร่างกายเองก็เย็นลงจนหน้าใจหาย..

ขณะที่เสียงหัวใจของโมลเซียน่ามีแต่จะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แผ่นหลังที่รุ่มร้อนและโชกไปด้วยเหงื่อนั้นราวกับว่าอยากจะให้มันห่อหุ้มร่างกายเย็นเยียบนั่นเอาไว้ไม่ให้เย็นลงอีกซักองศาเดียว

...ใครก็ได้! ได้โปรด! ช่วยเธอด้วย...
ขาคู่เรียวยาววิ่งออกไปพลางกัดฟันท่ามกลางความมืดบอดที่มองไม่เห็นแม้เศษเสี้ยวของแสงสว่าง




"โมลเซียน่า!"
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบน กระตุกหัวใจของเฟอนาริสสาวให้อาบไปด้วยความหวัง ก่อนพรม
ผืนใหญ่สีแดงจะร่อนลงมาหยุดลงตรงหน้า

"ท่านโคเกียคุ!"
"ช่วยด้วย! ได้โปรดช่วยท่านอาลีบาบาด้วย"
โดยที่ไม่รู้ตัว น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยนั้น ยิ่งทำให้องค์หญิงผมแดงตกใจมากขึ้นไปอีก

"นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมอาลีบาบาจังถึง.."
โคเกียคุเอื้อมมือไปจับมือของอาลีบาบาก็ต้องตกใจเพราะมันไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย
เยือกเย็นซะยิ่งกว่าน้ำค้างปลายใบต้นหลิว

"องค์หญิงอาลีบาบาโดนวางยาพิษค่ะ ท่านโคเกียคุ" โมลเซียน่าพูดด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะทรุดลงทั้งๆอย่างนั้น จนโคเกียคุต้องมาช่วยพยุงร่างของอาลีบาบาที่โมเซียน่าแบกเอาไว้บนหลัง

เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาช่วยโคเกียคุอีกที ทันทีที่ร่างของอาลีบาบาถูกวางไว้บนพรมผืนใหญ่ คะโคบุนผู้ที่เป็นภาชนะบริวารของโคเกียคุก็รีบเข้ามาตรวจดูอาการ

"ภาชนะบริวารของข้ารักษาบาดแผลได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นยาพิษล่ะก็คงทำได้แค่พยุงอาการจนกว่าจะไปถึงมือหมอขอรับ"

"งั้นเราก็รีบพาอาลีบาบาจังไปหาหมอเถอะ!"

 ยังไม่ทันไรเสียงของฝีเท้าจำนวนมาก และคบไฟหลายดวงที่อยู่ไกลลิบจะค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ
"ท่านโมเซียน่า พวกมันมาแล้วนะขอรับ!" ทหารหนุ่มที่ดูต้นทางอยู่ตะโกนออกมาอย่างแตกตื่น
"ท่านอาลีบาบากำลังถูกตามล่า คงจะให้มาหาหมอแถวนี้คงไม่ได้หรอกเพคะ!"สาวใช้ที่ติดตามมาด้วยมีท่าทีร้อนรน

"การที่วางยาแล้วส่งกองกำลังมากมายมาไล่ฆ่าอีกทีในวังหลวงแบบนี้ บางทีหมอที่จะรักษาอาการท่านอาลีบาบาได้ก็คงถูกปิดปากไปหมดแล้วขอรับ"คะโคบุนหันไปทูลองค์หญิงโคเกียคุอีกที

"งั้นพวกเราก็พาอาลีบาบาจังไปเจิดจรัสกันเถอะ! ขึ้นมาเร็วโมลเซียน่า"

"เดี๋ยวนะ! องค์หญิงแบบนั้นมัน..."
 เห็นได้ชัดว่านี่มันเรื่องการเมืองของประเทศอื่นชัดๆเลยนะองค์หญิง!
คะโคบุนมีท่าทีตกใจและไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าขัดใจองค์หญิงโคเกียคุด้วยเช่นกัน

"ถ้าเป็นเรื่องการเมืองล่ะก็ ท่านพี่จะต้องช่วยอาลีบาบาจังได้แน่ๆ แถมที่เจิดจริสเองก็มีหมอฝีมือดีตั้งมากมายไม่ต้องห่วงนะ"โคเกียคุหันไปพูดกับโมลเซียน่า พลางยิ้มปลอบใจ

"ขอบพระคุณมากค่ะ"
โมลเซียน่าคุกเข่าลงขอบคุณทั้งน้ำตา

"พวกข้าจะไปดึงความสนใจให้ ในระหว่างนี้ขอให้พวกท่านรีบหนีไปด้วยเถอะ ถึงจะเป็นองค์หญิงแห่งเจิดจริสแต่สถานกาณ์เช่นนี้ท่านเองก็อาจได้รับอันตรายไปด้วย"
ทหารหนุ่มกล่าว ก่อนจะโค้งตัวลงเพื่อบอกลาแล้ววิ่งออกไป
"ฝากดูแลองค์หญิงด้วย" สาวใช้หันไปพูดกับโมลเซียน่าก่อนจะวิ่งตามออกไปอีกคน

"เจ้าทหารนั่นพูดถูกนะขอรับ พวกเราเองก็รีบไปเถอะ"

ไม่นานนักพรมสีแดงผืนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพระราชวังบัลแบด ก่อนจะลอยหายกลืนเข้าไปกับสีของความมืดในยามค่ำคืน





.

.

.

ข้าเป็นเพียงดอกไม้ที่ผลิบานเพียงชั่วครู่



ตามประเพณีของเผ่าพันธุ์พวกเราจะเบ่งบานในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือด้วยมนตราที่หล่อหลอมขึ้นจากอายุขัยของบรรพชนที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น  ในวันใดที่มีพิธีส่งมอบนั่นคือวันที่จะต้องจากบุคคลอันเป็นที่รัก และสำหรับคนที่มีพี่น้องแล้วนั้นช่างเป็นพิธีที่โหดร้าย

นั่นหมายความว่าจะต้องเลือก...

กลืนกินเหล่าพี่น้องและชีวิตอยู่ต่อบนบาป หรือมีชีวิตบริสุทธิ์อันแสนสั้น

"เจ้าอยากตายรึไง ยังไงน้องเจ้าก็คนล่ะพ่อกับเจ้าไม่ใช่หรอ ฆ่าทิ้งก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนิ"
"ข้าจะทำได้ยังไงกัน"


เรื่องเก่าๆวนเวียนเข้ามาในหัวของชายผมสีเงินในคราบของสาวใช้ที่กำลังใช้อีกไม่กี่เฮือกลมหายใจสุดท้ายรำลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งในอดีต

"มัดมันไว้ด้วยนะ เดี๋ยวใช้พลังแปลกๆอีกจะยุ่ง ไหนจะสาวใช้แรงเหนือมนุษย์ ไหนจะสาวใช้ที่แปลงร่างเป็นจิ้งจอกยักษ์ได้อีก รอบตัวขององค์หญิงผู้นี้ช่างมีแต่คนแปลกประหลาดซะจริง"

"อาการแบบนี้คงไม่ต้องมัดหรอก"
ท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์ที่แต่งกายอำพลางตัว ชายที่ดูมีฝีมือมากที่สุดอีกทั้งยังใส่เครื่องแต่งกายที่ต่างจากคนอื่นพูดขึ้น พลางมองฝีมือของตัวเองอย่างชื่นชม

"เผาตำหนักไปด้วย พร้อมกับศพพวกที่เหลือนั่นแหละ รีบไปเถอะต้องรีบตามพวกที่เหลือไป"
"ให้ตายสิ เสียเวลาชะมัด"
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างทยอยกันออกจากห้องก่อนจะโยนคบเพลิงลงบนพรมที่ถูกราดด้วยน้ำมัน
จนชุ่มโชก

ดวงตาสีฟ้าของจิ้งจอกสีเงินมองเปลวเพลิงที่ลามไปทั่วห้องอย่างเงียบสงบ พลางนึกถึงวันที่ได้พบเจอกับเด็กสาวคนหนึ่งเป็นครั้งแรก บนโลกที่โหดร้ายทารุณ

โลกที่ผู้คนต่างสร้างรอยแผลให้กันและกัน...
ข้าคิดว่าโลกเป็นแบบนั้นมาตลอด จนวันที่ข้าได้มองเห็นโชคชะตา วันเดียวกับวันที่ข้าได้พบกับดอกไม้ที่บานอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ท่ามกลางทะเลทราย คือวันที่ข้าพบกับโชคชะตาของข้า...

ธอผู้นั้นเป็นเป็นเพียงดอกได้ที่เบ่งบานในระยะเวลาอันแสนสั้น ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร้เดียงสาเพื่อรอวันโรยราอย่างไม่ล่วงรู้ถึงชะตากรรมของตนเอง


ช่างมีชีวิตอันแสนสั้นเหมือนกับชีวิตที่เหลืออยู่ของข้า...

    มันให้ความปราถนามากมายก่อตัวขึ้นในจิตใจราวกับแม่น้ำแห่งความโลภที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด รู้สึกตัวอีกทีข้าก็กลายเป็นจิ้งจอมจอมละโมบไปเสียแล้ว
ข้าปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ 
ข้าปราถนาที่จะเคียงข้างกับเธอผู้นั้นจนกว่าวาระสุดท้ายจะมาถึง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังปรารถนา...

ปรารถนาให้นางได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่งงานและมีครอบครัวกับคนที่รักมีความสุขตลอดไป

.

.

.

"ช่างมากมายเหลือเกิน"

หยดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจากดวงตาที่สะท้อนภาพเปลวเพลิงไหววูบไปมา
สิ่งที่ท่านมอบให้ข้ามามันช่างมากมายเหลือเกิน แม้ว่าท่านจะจำมันไม่ได้ก็ตาม อาลีบาบา...

ทุกสิ่งในห้องนี้กำลังพังทลายลงมา..

เพดานที่พังลงมาเฉียดหัวของชายเจ้าของเรือนผมสีเงินที่นอนหายใจรวยรินอยู่ไปเพียงเสี้ยวเดียว
เสาเองก็โงนเงนใกล้จะพังลงมาเต็มที

"พระจันทร์สวยจัง..เหมือนวันที่เราเจอกันครั้งแรกเลย"
ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ก่อนจะเอื้อมมือออกไป ราวกับว่าจะคว้าดวงจันทร์สีเงินที่อยู่ไกลแสนไกล 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอที่ลอยหายออกไปพร้อมกับเขม่าควันและสะเก็ดเถ้าถ่านที่ปลิวว่อนกระจัดกระจายออกไปยังฝากฟ้าแสนไกล


"ข้าเปลี่ยนมันได้แล้ว..."


☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น