วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER20





ละครฉากใหญ่กำลังจะเริ่มต้น…
ตัวหมากที่ถูกชักใยจะเดินต่อไปเช่นไร


ลมหายใจร้อนละลายกลายเป็นไอสีขาว ไอเย็นและเรียวใบไม้ที่ถูกฉาบย้อมด้วยน้ำแข็งสีใสดั่งคมมีดสีเงินตัดผ่านผิวหน้ากร้านของทหารหนุ่มแต่นั่นไม่อาจทำให้เขาชลอความเร็วของม้าลงได้เลย

.


.


.

"ผ้าพันแผลที่ท้องข้า หยิบไปซะ อย่าทำให้พวกมันสงสัย"
เสียงกระซิบอันอ่อนล้าดังขึ้นอย่าแผ่วเบาเสียจนแทบจะถูกกลบด้วยเสียงของลมหนาวอันโหดร้าย



"มีอะไรอย่างนั้นรึท่านผู้ส่งสาร..."


ใบหน้าดูซื่อของโดลจิชสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงถามไถ่ไล่ตามมาจากด้านหลัง
"เอ่อ..พอดีเห็นหน้าคุ้นๆ เอ่อแบบว่าเหมือนลุงชีกอข้างบ้านน่ะ แหะๆ"
โดลจิซ่อนผ้าพันแผลในแขนเสื้อเนียนไปกับการหัวเราะแห้งๆกลบเกลือน
" ว่าแต่พี่ชาย..คนคนนี้เขาไปทำอะไรผิดมาหรอ ต้องมัดไว้กลางลานหน้าตำหนักใหญ่ขนาดนี้เชียว"

"เห็นว่าเป็นโจรที่เข้ามาขโมยของในวังน่ะ"


.
.
.

มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงเล่า!


เขาไม่อยากจะคิดสภาพของแคว้นนี้หลังจากเหล่าพี่น้องตระกูลเรนรู้ถึงสภาพขององค์ชายโคเอนที่ถูกมัดเป็นเนื้อแดดเดียวตากแดดตากลมอยู่แบบนั้น นี่มันยิ่งกว่าหยามหน้ากันซะอีก


หวังว่านี่จะไม่ใช่การจงใจหรอกนะ…

    โดลจิควบม้ากลับไปให้เร็วดั่งลมหายใจเข้าออกที่เลือนไปกับทัศนียภาพสีขาวโพลน เขาอยากจะควบมันไปให้เร็วกว่านี้ แต่นี่ก็เร็วที่สุดเท่าที่ฝีกีบม้าจะพาเขาไปได้แล้ว


เพียงไม่กี่อึดใจที่ราวกับเป็นหลายชั่วยามในทุกเสียงของฝีเท้าม้าคู่ใจที่ก้องสะท้อนบนท้องทุ่งสีหิมะขาวโพลน ไม่นานนักก็มาถึงแคมป์ของพวกเขาที่ตั้งอยู่ ห่างชายแดนแคว้นอูกิไม่มาก โดลจิกระโดดลงจากทหารม้าโดยพลันท่ามกลางสีหน้าตื่นกังวลของเหล่าเพื่อนทหารโดยรอบ ก่อนองค์หญิงฮาคุเอย์ที่เฝ้ารอม้าทุกตัวที่กลับมาถึงใจจดใจจ่อด้วยหวังว่าจะมีข่าวใดกลับมาบ้าง จะเดินออกมาหาโดลจิด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนทุกครั้ง


"องค์หญิง ข้าเจอตัวองค์ชายโคเอนแล้วขอรับ!!!"
เสียงนั้นเรียกความฮือฮากับทหารทุกนายที่ทำการค้นหาติดต่อกันมาหลายวันหลายคืนไม่ได้พักผ่อนให้พอมีความหวังขึ้นมาบ้าง ก่อนเสียงคุยแซ่ดนั้นจะค่อยๆเงียบลงเมื่อโดลจิทิ้งตัวลงคุกเข่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะหยิบผ้าพันแผลเก่าๆที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมา ทำเอาขวัญกำลังใจเหล่าเพื่อนทหารโดยรอบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


โดลจิก้มลงทูลพลางยื่นผ้าพันแผลเก่าๆนั่นให้กับฮาคุเอย์ที่สับสนจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก ความยินดีที่แทรกปนอยู่บนลางร้ายที่ตัวเธอสัมผัสได้มันกลับทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมายิ่งกดทับลงบนบ่ามากกว่าเดิมเสียอีก


ฮาคุเอย์ยื่นมือออกไปรับผ้าพันแผลด้วยปลายนิ้วที่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปรกติของผ้าพันแผล มันไม่เปรอะเปื้อนคราบเลือดแต่อย่างใด แต่เป็นน้ำหมึกต่างหาก


"เจ้าได้ผ้าพันแผลนี่มายังไง"


"ท่านโคเอนให้ข้ามาขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกฝ่ายอูกิจับตัวไว้ด้วย ตอนที่ข้าไปถึงสภาพของท่านโคเอนดูแย่มาก ถ้าหากเราไม่รีบไปช่วยล่ะก็.."
โดลจิหยุดคำพูดไว้ก่อนจะมองฮาคุเอย์อย่างฉงน ไม่ใช่ว่าองค์หญิงทรงเป็นห่วงเรื่องนี้มากหรอกหรือ? ทำไมถึงได้นิ่งไปแบบนั้น


ฮาคุเอย์ค่อยๆเอาผ้าพันแผลที่ถูกขีดเขียนด้วยหมึกพู่กันเป็นเส้นสะเปะสะปะมาพันรอบแขนตัวเองอย่างระมัดระวังและเลื่อนขยับผ้าพันแผลที่ถูกแต้มหมึกให้เส้นแต่ละเส้นต่อกันจนเป็นถ้อยคำ มันคือการเล่นสมัยเด็กที่เหล่าพี่ชายของเธอชอบเล่นกันบ่อยๆนั่นเอง ก่อนแก้วตาสีนิลของฮาคุเอย์จะกระตุกแวววาบขึ้นมาครู่หนึ่งเมื่อเห็นข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนบนผ้าพันแผลสีฝุ่น


"เจ้าบอกว่าเจอท่านโคเอนที่ไหนนะ"


"เขาถูกมัดทรมาณให้อดน้ำอดอาหารอยู่หน้าตำหนักใหญ่ในวังของแคว้นอูกิขอรับ"


"เจ้าเห็นมือขวาของเขาที่เป็นเด็กผู้หญิงผมสีทองอยู่ด้วยมั้ย"


โดลจิงุนงงกับคำถามนั้น หรือองค์หญิงจะหมายถึงทหารชื่อลีอา? แต่ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิงหรอกหรอ?
"เอ่อ..ไม่เห็นวี่แววเลยขอรับ" ดวงตาซื่อตรงมองสีหน้าของฮาคุเอย์ที่ดูสงบผิดปรกติ ก่อนจะถามคำถามออกไปอย่างร้อนรน "แต่ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช่การบุกไปช่วยองค์ชายโคเอนหรอกหรือขอรับ?"


"ไม่หรอก..เจ้าเตรียมทหารอีกชุดหนึ่งตามไปสมทบกับเซย์ชุนแล้วบอกให้เข้าเปลี่ยนแผนการค้นหาเป็นเฝ้าระวังซะ"

"แต่องค์ชายรัชทายาทอยู่ในกำมือของพวกศัตรูนะขอรับ"
"ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะก็.."
เสียงทหารสองนายดังขึ้น ราวกับว่าเหล่าทหารและองค์หญิงของพวกเขาสลับอารมณ์ความรู้สึกกันโดยสิ้นเชิง


"ตราบใดที่ท่านโคเอนยังเชื่อมั่นในตัวมือขวาของเขา ข้าเองก็เชื่อในการตัดสินใจของเขาด้วยเช่นกัน ในเวลาที่ท่านโคเอนอยู่ในสถานะที่ทำอะไรไม่ได้แบบนี้ อาลีจะต้องกำลังทำอะไรซักอย่างอยู่แน่นอน"

"เพราะว่านั่นคือหน้าที่ของมือขวายังไงล่ะ"

.

.

.

    ยังไม่ทันที่ถ้อยคำใดๆจะเอ่ยเอื้อนออกมาจากริมฝีปากบางของหนุ่มหน้าหวาน ร่างกายของอาลีก็ดูเหมือนจะขยับไปเร็วกว่าความคิดเสียแล้ว ช่วงขาเรียวก้าวผ่านโต๊ะอาหารไปราวกับว่าเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ


ดวงตาสีทองปลั่งเบิกกว้างอย่างสับสน ความรู้สึกที่ตีกันพัลวันเสียดขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจในอากาศเย็นเบาบางเสียจนจุกหน้าอก เรียวนิ้วที่สั่นระริกประครองใบหน้าซีดคล้ำขึ้นมาก่อนจะพบว่ามันเย็นเยียบจนน่าใจหาย


"อะ..อาลี?"

"ใช่ฉันเอง! ตัวนายเย็นเป็นน้ำแข็งเลยโคเอน! รอก่อนนะ!"
อาลีปลดผ้าคลุมหนามาห่มแผ่นอกที่มีเพียงเสื้อบางๆปกปิด แต่เพราะร่างของโคเอนถูกมัดอยู่กับท่อนซุงจึงทำได้แค่ห่มไว้ลวกๆอย่างทุลักทุเล มันทำให้อาลีเริ่มคิดที่จะทำอะไรโง่ๆอย่างการแก้มัดศัตรูตัวฉกาจของแคว้นนี้ต่อหน้าราชินีของที่นี่ ก่อนเสียงพึมพำภาษาที่อาลีไม่เข้าใจของทันเซย์จะดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับการปรากฎของแสงสีม่วงที่ห่อหุ้มร่างกายใหญ่ซีดคล้ำเอาไว้ก่อนจะอันตรธานหายไป เช่นเดียวกับสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของโคเอน


"คะ โคเอน!"
"นี่เจ้าทำอะไรเขา!!!"ดวงตาคู่สวยหันไปมองคนที่นั่งสบายใจอยู่บนเก้าอี้ราวกับมีเปลวเพลิงสีทองแผดเผาอยู่ในแก้วตาคู่นั้นอย่างเกรี้ยวกราด  


"ข้าเสียทหารไปครึ่งร้อย กว่าจะมัดเจ้าแขนเดี้ยงนี่ได้ คงไม่จับมาฆ่าต่อหน้าเจ้าเอาบันเทิงหรอกนะ อีกอย่างเมื่อกี้มันก็แค่เวทย์รักษาธรรมดาเท่านั้นเอง"


อาลีหันหน้าขวับไปมองตามบาดแผลที่ประทับรอยบนใบหน้าคมเข้มก่อนจะพบว่ามันค่อยๆเลือนหายไปจนแทบจะเป็นปรกติ ทำเอาถอนหายใจอย่างโล่งอกไปได้เปราะหนึ่ง เมื่อได้มองใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของคนที่หลับไม่ได้สตินั้นก็รู้สึกได้ถึงไอของความเศร้าจางๆ ลมหายใจอุ่นที่กระทบหลังมืออย่างแผ่วเบาชวนให้รู้สึกดีเหมือนเมื่อวันวานนั้น ครั้งนี้กลับเป็นเหมือนกับคมมีดร้อนบาดผิว

บัลแบดกำลังโดนเพ่งเลงจากจักรวรรดิทางตะวันออก
หากโคเอนตายไปซะตอนนี้ บัลแบดเองก็จะปลอดภัย แต่ว่า…



มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะหรอ?

สิ่งใดที่ไม่ควรเชื่อถือ สิ่งใดที่ควรยึดมั่น หากในเมื่อทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนสั่นไหวซวนเซ จะผิดหรือไม่ถ้าหากจะเชื่อว่าอนาคตนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา?


หากไม่ว่าจะหันดาบไปทางไหนก็จะต้องพบแต่ความโศกศัลย์แล้วล่ะก็
จะผิดหรือไม่ถ้าอย่างน้อยก็จะขอทำไปตามใจตัวเอง?


"ขอโทษนะโคเอน"

"เอาล่ะในเมื่อไม่มีคนเกะกะแล้วจะเริ่มคุยกันได้รึยัง"
น้ำเสียงที่ติดอารมณ์เบื่อดังขึ้นก่อนมือเรียวค่อยๆผละออกจากใบหน้าหล่อคมของคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่นิ่งงันกว่าทุกทีจนทันเซย์อดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าเธอคงจะไปจี้จุดอะไรซักอย่างเข้าเต็มๆเลยสินะ


"ท่านคิดจะประกาศสงครามกับเจิดจรัสรึอย่างไร?"


ดวงหน้าสวยเมื่อฟังประโยคนั้นก็เอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิด ในขณะที่อาลีขยับเดินเข้าไปนั่งอีกฟากหนึ่งของโต๊ะอาหาร


"นั่นสินะ ก็ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้น"
ทันเซย์ตอบเรียบๆด้วยน้ำเสียงปรกติราวกับกำลังพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ มือเรียวสวยค่อยๆตักน้ำซุปสีชาขึ้นชิมรสอย่างอภิรมย์ก่อนจะเหลือบตามองแขกคนพิเศษที่นั่งนิ่งไม่แม้แต่จะแตะปลายช้อน


"เจิดจรัสมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่นัก แคว้นของท่านไม่มีทางจะชนะได้หรอก"


"ใช่ข้ารู้...กองทัพของเจิดจรัสแม้จะคิดหาวิธีทำให้แตกหักจากกลศึกก็ยังเป็นเรื่องยากนัก แต่ถ้าหาก..." ใบหน้าสวยงามเย้ายวนดั่งงานศิลปะชิ้นงามมองไปยังเด็กสาวในร่างจำแลงของชายหนุ่มด้วยสายตาหวานเยิ้มก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา "ถ้าหากทำให้มันแตกพ่ายจากภายในได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง"

เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มนั้นทำให้ฉันต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
"ทำไมถึงต้องเจาะจงเป็นข้าด้วยล่ะ"


"ก็ยังไม่ได้บอกว่าเจาะจงเป็นเจ้า..แค่คนเดียวซะหน่อย อีกอย่างการมีตัวตนของเจ้าในช่วงเวลานี้จะเป็นตัวชี้ชะตาของการมีอยู่ระหว่างอูกิ และ โค ข้าอยากจะให้เจ้าทำให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะอยู่ฝั่งเดียวกับเราน่ะ" ดวงตาสีทองที่เหมือนกำลังสนุกกับมองเนื้อตุ๋นในจานตัวเองที่กำลังถูกส้อมบดขยี้จนเละเหมือนอาหารเด็กช้าๆ

"มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก"
ใช่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ก็ฉันน่ะ อาลีบาบาคนนี้น่ะทำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง…
แม้ว่าจะแกว่งดาบที่คมซักแค่ไหนแต่ก็ยังไม่อาจจะปกป้องอะไรได้อยู่ดี ทั้งแม่ของเด็กน้อยคนนั้น ทั้งเจ้าตาเหล่ หรือแม้กระทั่งโคเอนที่หายใจรวยรินอยู่เพียงเอื้อมแขน


ความคิดที่อยากจะปกป้อง เพียงแค่ความคิดแค่นั้นมันจะเพียงพอแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ? ถ้าครั้งนี้เอื้อมมือออกไปจะสามารถปกป้องอะไรเอาไว้ได้มั้ยนะ?


ตัวฉันที่ตัดสินใจว่าจะไม่ลังเลเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับทันเซย์อีกครั้ง หลังจากสะบัดความคิดสับสนวุ่นวายในใจออกไปได้ ดวงตาคมปราบดั่งสัตว์ร้ายคู่นั้นกำลังจ้องมองมาทางฉันราวกับต้องการจะหัวเราะเยาะ


"นั่นมันก็แค่ความคิดแคบๆขององค์หญิงที่ไม่มั่นใจแม้แต่จะใส่ชุดสวยหรูต่างหาก ที่แคว้นข้ามีคำกล่าวว่า เพียงแค่ลมเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนทิศทางของไฟได้ สงครามก็เช่นกัน"


ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้ายิ้มยียวนตลอดเวลากับท่าทางเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั่นของทันเซย์ยากที่จะดูออกก็จริง แต่ทว่าแม้แต่ทันเซย์ก็คงจะไม่รู้ตัวว่าในตอนที่ตัวเองรู้สึกกังวลนั้นมุมปากนั่นมันกระตุกรั้งขึ้นไปเยอะจนน่ากลัว เพราะการที่จะปกปิดสีหน้าอะไรบางอย่างเอาไว้ตลอดเวลา ผู้คนส่วนใหญ่มักจะแสดงบางสิ่งที่ตรงกันข้ามออกมาโดยธรรมชาติเสมอ
"ท่านกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ คงจะไม่ใช่คำพูดไร้แก่นสารของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งหรอกนะ"

สิ้นเสียงคำถามนั้น ทันเซย์ก็ค่อยๆวางช้องลงกระทบกับผิวจานกระเบื้องเบาๆก่อนจะฉีกยิ้มที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมออกมา "ข้าคงยังไม่ได้บอกสินะ ในคำทำนายอัปมงคลนั่นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยอาลีบาบา..." ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยยิ้มบิดเบี้ยวยังคงมองท่าทีที่ดูไม่ตื่นกลัวซักเท่าไหร่ของอีกฝ่ายก่อนน้ำเสียงหวานนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่เรียบเย็นดุจคมน้ำแข็งสีเงิน  "ผู้ไม่เคยปรากฏอยู่ในห้วงเวลานี้เอ๋ย หากยามใดที่ธงแดงจรัสแสงนั่นคือแสงที่ได้มาจากชีวิตของเจ้า อยากจะรอดเป็นๆกลับไปบัลแบดหรืออยากจะตายเพื่อประเทศที่เป็นศัตรูต่อประเทศของเจ้ากันล่ะ?"


แม้ทันเซย์จะตกใจกับแววตาที่มุ่งมั่นไร้ซึ่งความลังเลของอีกฝ่าย ราวกับว่าการข่มขวัญของเธอครั้งนี้ใช้ไม่ได้ผลกับอาลีอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่อาจสั่นคลอนรอยยิ้มบนใบหน้าได้เธอแม้แต่น้อย ก่อนใบหน้าที่เจือรอยยิ้มบางๆจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งความประหม่า

"หึ คำตอบของข้ามันก็แน่นอนอยู่แล้ว..ข้าจะร่วมมือกับแคว้นอูกิอย่างแน่นอน แต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่นิดหน่อย.." ฉันกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและทันเซย์เองก็ดูเหมือนว่าจะรอจังหวะนี้อยู่เหมือนกัน


"หากท่านต้องการจะทำลายรังของเหยี่ยวจากด้านในท่านก็ไม่ควรที่จะฆ่าเหยี่ยวก่อนที่มันจะมาคาบชิ้นเนื้อที่วางยาเอาไว้จริงมั้ย?"


กลีบปากสีแดงสดเย้ายวนยังคงไม่หุบยิ้ม แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าเธอคงจะต้องเดินตามเกมของอีกฝ่ายบ้างแล้ว "งั้นข้าให้เจ้าต่อรองได้แค่สามข้อ"
ทันเซย์ยังคงเดินหมากไปอยากไม่หยุดยั้งตาต่อตาฟันต่อฟัน หาทางไล่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมเสียให้ได้ บนกระดานหมากที่มองไม่เห็นนี้ ตัวเบี้ยเจ้าปัญหากำลังท้าทายราชาอย่างห้าวหาญ


"อย่างแรก ท่านจะต้องไม่ใช้ประกาศิตไร้เงื่อนไขกับข้าอีก"


"นี่มันจะไม่ตลกเกินไปหน่อยหรอ"
สีหน้าของทันเซย์แทบจะเปลี่ยนไปในทันทีเธอเกือบจะโวยวายออกมา ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทเป็นกระตุกยิ้มเย็นส่งสายตาเสียดสีกันไปมาจนชั้นบรรยากาศแทบจะลุกไหม้ "ก็ได้ ข้าให้คำสัตย์ในฐานะของกษัตริย์เหมันต์ ข้าจะไม่ใช้มนต์ใดๆควบคุมจิตใจของเจ้า"


รอยยิ้มในใจที่ส่งผ่านออกมาทางสายตาคู่นั้นของอาลีเป็นประกายแวววาวเข้าตาของทันเซย์เหมือนกับอัญมนีแวววับที่สะท้อนแสงกลางทะเลทรายร้อนระอุ ในเมื่อตัวเรือ ม้า ช้าง และเบี้ยในมือของเธออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะขนาดนี้แล้ว ถึงจะโดนรุกคืบเข้ามา ตัวพระราชาของเธอก็จะยังคงอยู่ในพระราชวังที่วางหมากคุ้มกันอย่างแน่นหนา รอเพียงการเดินเกมผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่ายเท่านั้น


"ข้อสองรับประกันความปลอดภัยขององค์ชายลำดับที่หนึ่งแห่งเจิดจรัสและเด็กที่ถูกจับมา ปล่อยพวกเราทั้งสามคนออกไปจากที่นี่แล้วข้าจะเริ่มทำงานให้กับท่านทันที"


ทันเซย์แสร้งทำใบหน้าครุ่นคิดหนักหลังจากฟังข้อเสนอที่สอง
"ข้อเสนอที่สองเจ้าดูแปลกๆนะ แค่องค์ชายเจิดจรัสข้าพอจะเข้าใจแต่เด็กเนี่ย เจ้าจะเอาตัวมันไปทำไม? มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยนะถ้าจะต้องเสียข้อสองไปกับชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย" ใบหน้าสวยมองแววตาที่ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยของคนตรงหน้าก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวอุ่น  เดินไปหยุดอยู่หน้าร่างไร้สติของโคเอนที่โดนมัดติดกับท่อนไม้ท่อนใหญ่ การกระทำนั้นมากพอที่จะทำให้อาลีผละออกจากโต๊ะอาหารแสดงสีหน้าอารมณ์กังวลออกมาได้บ้างแล้ว


'ดูหน่อยซิว่าเจ้าจะยังใจเย็นอยู่ได้รึเปล่า'
มือเรียวสวยเผยกริซสีเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อหนา ก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มชวนน่าขนลุกให้กับสาวน้อยนักต่อรองในร่างจำแลง

"นะ นั่นมัน ภาชนะโลหะ?"
ทันเซย์เองก็เป็นผู้พิชิตดันเจี้ยนอย่างนั้นหรอ!?
ยังไม่ทันที่เสียงของฉันจะออกจากลำคอกริซของทันเซย์ก็ปาดลงบนใบหน้าของโคเอนจนเลือดไหลซิบ

"โคเอน! ทันเซย์นี่มัน..ห๊ะ?"
ฉันมองเจ้าตราสัญลักษณ์รูปร่างแปลกประหลาดที่เรืองแสงสีม่วงเข้มค่อยๆแผ่ขยายจนใหญ่เท่าครึ่งของใบหน้าที่นิ่งสงบนั้นก่อนจะจางหายไปบนเนื้อผิวทิ้งไว้เพียงรอยแผลกับเลือดอุ่นที่ค่อยๆซึมออกมา


คำสาปอย่างนั้นหรอ!?

"ภาชนะโลหะของข้าหากได้ลิ้มรสชาติเลือดของผู้ใดแล้ว ข้าก็จะสามารถดึงมะโก่ยจากคนๆนั้นออกมาใช้ได้จนกว่าจะแห้งตาย แต่เจ้ารู้มั้ยทีเด็ดมันอยู่ตรงไหน?" ทันเซย์เว้นช่วงก่อนจะช้อนคางใบหน้าหล่อคมขึ้นมาแล้วค่อยๆเลียเลือดที่ไหลออกมาจากแผลอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเหลือบมองสีหน้าตื่นตระหนกของอาลีด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ดั่งนางปีศาจจิ้งจอก"มันอยู่ตรงที่ไม่มีขอบเขตระยะทางยังไงล่ะ"

นี่มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?
จะต้องพลาดอีกซักกี่ครั้งกัน
อาลียืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ว่าหมากกระดานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกับดักที่หลอกล่อให้เขาเดิน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีตัวขุน เขาจะจบเกมนี้ลงได้ยังไงโดยที่ไม่ยอมจำนน

"แล้วก็อีกอย่างข้าให้เจ้าต่อรองได้3ข้อ ไม่ใช่ให้ขอพรวิเศษได้สามข้อนะ จะตกลงอะไรคิดให้ดีเสียก่อนสิ" ทันเซย์หัวเราะเสียงแหลม ก่อนจะตีไปหน้าไร้สติไปมาเบาๆเหมือนกับของเล่นชิ้นหนึ่ง การกระทำของทันเซย์มันราวกับว่าเธอตั้งใจเปิดช่องว่างให้อาลีบุกเข้ามาก่อนจะล้อมความหวังอันโอหังนั้นเอาไว้ด้วยเบี้ยในมืออย่างแน่นหนา


อาลีรวบรวมสติที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนี้ก่อนจะพยายามควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้เตลิดไปก่อนเกมการต่อรองนี้จะจบลง ไม่มีเวลามาคิดสิ่งที่พลาดพลั้งไปแล้ว มีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น


"จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังจากนี้"


"ไม่เลย เจ้ากับสุดที่รักของเจ้าก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปรกติ แต่ถ้าหากความภักดีของเจ้าเปลี่ยนแปลงหรือคิดจะเล่นลูกไม้ล่ะก็ ชีวิตขององค์ชายเจิดจรัสได้จบไม่สวยแน่ๆ" มือเรียวผละมือออกอย่างแรงจนคอของโคเอนพับไปทางอื่นเหมือนตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ไร้คนบังคับ
"แล้วก็อีกอย่างข้อเสนอที่สองของเจ้า..ข้าให้ได้มากสุดแค่สองชีวิตเท่านั้น!"


น้ำเสียงของทันเซย์ที่ฟังดูเหมือนพายุหิมะอันเกรี้ยวกราดอย่างเงียบเชียบค่อยๆกร่อนความเยือกเย็นของอาลีไปทีล่ะน้อย ยังไงเกมต่อรองไร้สาระนี่เธอเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
"หึ"
ดวงตาคมปราบมองใบหน้าที่แทบจะกระอักนั่นอย่างเพลิดเพลิน ใบหน้านั้นจะดูเท่าไหร่ก็บันเทิงนัก

เหลือข้อสุดท้ายแล้ว…
ผ่านออกไปได้แค่สองชีวิต สองชีวิต
สองชีวิตอย่างนั้นหรอ?


ในวันนั้นเองโคเอนก็เคยพูดเอาไว้
...หากแพ้ เจ้าจะต้องจ่ายด้วยชีวิต...

"งั้นข้อสุดท้าย ข้าขอเลือกสองในสามชีวิตที่จะผ่านออกไปจากแคว้นอูกิได้หรือไม่"

ทันเซย์เอามือแตะปลายคางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
"ถึงมันจะฟังดูไร้สาระ แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกก็แล้วกัน"


"ขอบคุณในน้ำพระทัยของท่านมากฝ่าบาท"
ร่างบางผสานมือก่อนโค้งอย่างนอบน้อม ต่างจากท่าทางแข็งๆข้างๆคูๆเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิงจนหน้าแปลกใจ ราวกับมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในประกายของดวงตาคู่นั้น


"งั้นเจ้าจะเลือกใคร?"


อาลียิ้มด้วยใบหน้าซื่อๆก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใส
"ตัวข้า กับ เด็กน้อยเทพยากรณ์คนนั้น"

"ฮะ..."
เป็นครั้งแรกที่ทันเซย์ขมวดคิ้มมุ่นจนระหว่างคิ้วเกิดเป็นริ้วรอย ดวงตาสีทองกระจ่างเพ่งสายตากระพริบปริบๆอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อกี้


'เจ้านี่มันบ้าไปแล้วหรอ'


"ไม่ใช่ว่าองค์ชายเจิดจรัสจะเป็นบัตรผ่านทางให้เจ้าหรอกรึไง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่อาลีบาบา?"


"ใช่แล้วโคเอนข้าแล้วก็เด็กคนนั้นจะหนีออกไปจากที่นี่" อาลียังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มและดวงตาใสซื่อ ราวกับว่าตัวเขาไม่ได้สนใจกติกาอะไรเลย


"ถ้าเช่นนั้นแล้วมันก็ผิดกับคำพูดที่เจ้าพูดเมื่อกี้ไม่ใช่หรอ ข้าบอกว่าให้ผ่านออกไปได้แค่สองชีวิต หรือเจ้าจะเอาองค์ชายเจิดจรัสกลับไปเป็นศพ?"


"ก็เอากลับไปทั้งที่ยังเป็นๆนี่แหละ" (´• - •ˋ)


"ไม่อ่ะ ข้าว่ามันไม่ใช่" ( ≖_≖​)


"ใช่สิ"
อาลีมองท่าทีงุนงงของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันมีอะไรผิดตรงไหน


"ต่อให้เจ้าจะยืนกระต่ายขาเดียว 3คน2ชีวิตมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ"


"ใช่แล้วมันเป็นไปไม่ได้ 3คนจะมี2ชีวิตได้ยังไงกันล่ะครับ ฮ่ะๆๆ" ꉂ( ˊᗜˋ )


สีหน้ายิ้มแย้มกับท่าทางหัวเราะนั่นของอาลีมันทำให้ทันเซย์รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองโดนปั่นหัวจนหน้ามึนได้ขนาดนี้ ปรกติแล้วอาลีมักจะแสดงสีหน้าความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่นี่มันอะไรกัน แทบจะแยกไม่ออกเลยว่ามันเป็นการเสแสร้งหรือว่าเจ้านี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ


"ในเมื่อท่านก็อยู่ที่อูกิ แล้วชีวิตขององค์ชายโคเอนก็อยู่ในมือท่าน ก็เท่ากับว่าผ่านออกไปแค่สองชีวิต ถูกแล้วไม่ใช่รึฝ่าบาท?"


"..."
"เฮ้อ..เจ้านี่มัน"
ทันเซย์เอามือกุมขมับก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่


กับการเจรจาต่อรองที่ไร้ความหมายนี่ พอเห็นประกายในตานั่นแล้วตัวข้าก็เผลอหลงตื่นเต้นไปกับมันซะได้ นี่ข้าโดนหลอกล่อตั้งแต่แรกแล้วหรอกรึ


ถึงจะสามารถโคเอนได้เลยซะตรงนี้ ไม่ว่าจะอยู่หรือตายชายผู้นั้นก็ไม่อาจทำให้ผลลัพธ์ใดๆเปลี่ยนแปลงได้
ทว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะมีประโยชน์ต่อแผนของข้ามากกว่า เพราะอย่างนั้นในตอนแรกถึงยังใจเย็นอยู่ได้สินะ…


สิ่งที่เจ้านั่นเล็งเอาไว้จริงๆคือเด็กเทพยากรณ์คนนั้นต่างหาก


"ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง"


องค์หญิงอาลีบาบาแห่งนครบัลแบด ไม่มีลูกไม้ ไม่มีกลโกง
เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงบ้าๆธรรมดาๆบ้านๆคนหนึ่ง…
"ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ข้าคิดไม่ถึงละก็มันคงเป็นความบ้าของเจ้านี่แหละ ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆ ทำไมถึงได้อยากจะช่วยเด็กนั่นนัก"


"ข้าก็มีเหตุผลของข้า มันก็เท่านั้นแหละครับ"
เด็กสาวในร่างของหนุ่มน้อยผมทอง ยังคงพูดตอบด้วยในหน้าแจ่มใส ท่าทางที่ดูสดใสนั้นมันช่างเหมาะกว่าใบหน้าตรึงเครียดเมื่อกี้นัก อีกอย่างในตอนนี้อาลีดูจะเหมือนองค์หญิงมากกว่ามือขวาซะอีก แต่ว่า…


...มันก็เท่านั้นแหละ...


"ถ้าหากข้าเปลี่ยนใจ ไม่ให้เด็กคนนั้นกับเจ้าไปล่ะ"


อาลียืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆตอบกลับไป
"ข้าเคยได้ยินคำกล่าวว่าเพียงแค่ลมเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนทิศทางของไฟได้เช่นเดียวกับสงคราม เช่นนั้นแล้วท่านไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากท่านดับไฟก่อนที่ลมจะพัด"

ทันเซย์ทึ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมายกใหญ่
"เจ้านี่มันบ้าจริงๆ ข้าก็ไม่ได้เกลียดคนแบบเจ้าหรอกนะ
"แต่ว่าในฐานะของนักปกครองข้าอยากจะให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง..."   


"....."


"อาลีบาบาเอ๋ย เจ้าน่ะไม่สามารถโอบอุ้มทุกอย่างเอาไว้ได้หรอก การกระทำการใหญ่จำเป็นที่จะต้องเสียสละเลือดเนื้อบ้าง หากเจ้ายังดันทุรังปกป้องทุกอย่างเอาไว้ล่ะก็ สุดท้ายแล้วแม้แต่แค่สิ่งเล็กน้อยในมือเจ้ามันก็จะไม่เหลืออะไรเลย..."


"ขอบคุณมากครับ"
อาลีตอบรับคำอย่างเงียบๆ


"เอาล่ะ หมดเวลาสำหรับคุยเรื่องไร้สาระแล้ว ระหว่างที่เจ้ากับข้าจะต้องเข้าไปประชุมกับขุนพลและแม่ทัพทั้งหมดในอูกิ ข้าจะให้คนมาดูแขนขององค์ชายของเจิดจรัส ให้เขาพอที่จะควบม้าพาพวกเจ้าหนีออกไปได้ตอนรุ่งสางของพรุ่งนี้ แล้วก็ยังต้องเตรียมเด็กให้พร้อมด้วย"


"ท่านคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอครับ โคเอนไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีทางดูไม่ออกหรอกว่าท่านจงใจเล่นละคร"


ทันเซย์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นมาถอดผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ฟูนุ่มให้กับเด็กสาวในร่างจำแลงของชายหนุ่มที่กำลังข่มกลั้นความหนาวสั่นในสภาพอากาศที่เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ
"นี่เป็นละครที่เขาจะไม่มีวันสงสัยเด็ดขาด กว่าจะรู้ตัวอีกทีตอนนั้นเจ้าเองก็คงบอกลาวังราคุโชไปนานแล้ว"


"...."


"เวทีใกล้จะเปิดม่านแล้วรีบกันหน่อยเถอะ"

.

.

.


อารัมภบท
ละครอันไร้ที่ติ ก่อนสงครามจะเปิดม่าน


การหักหลังอันจงรักภักดี




อุ่น...
กลิ่นหอมนี้มัน ของใครกัน?


นี่เราไม่ได้นอนมาสองวันติดแล้ว ทำไมอยู่ๆถึงหลับไปได้
ลานโล่งมันน่าจะหนาวกว่านี้แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกทรมาณเลยนะ…

   เปลือกตาบางค่อยๆขยับอย่างช้าๆเช่นเดียวกับแพขนตายาว เผยให้เห็นดวงตาสีทับทิมที่ซ่อนอยู่ใต้ห้วงแห่งการหลับไหล ภาพพร่ามัวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแก้วตาสีสดนั้นค่อยๆเด่นชัดขึ้นในทุกครั้งที่กระพริบเปลือกตาเบาๆ


ในคุกอันเย็นเยียบนี้บ่งบอกว่าสถานการณ์ตกที่นั่งลำบากนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ก่อนดวงตาจะเริ่มเสาะหาที่มาของความอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นตัดขั้วปอด ปลายเท้าเย็นกระตุกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงกดทับที่ลำตัวและต้นขา มือคู่ใหญ่พยายามจะยันตัวลุกขึ้นก่อนจะพบ เด็กน้อยผมสีเงินอันคุ้นตานั้นกำลังนอนกอดลำตัวใหญ่ๆของเขาเอาไว้ ในขณะที่เจ้าของกลิ่นหอมที่รู้สึกได้เมื่อครู่นั้นกำลังหลับตาพริ้มซบแผ่นอกพร้อมกับกอดลำตัวของเขาที่นอนแผ่ราบอยู่บนกองฟางแห้งๆเอาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ต้องหยุดการเคลื่อนไหวไปโดยปริยาย


น่าแปลก…
ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น กลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย แม้ว่าจะถูกซบอิง แนบชิดขนาดไหน ไออุ่นที่สัมผัสได้จากคนข้างๆนั้นมันไม่เคยทำให้เขารู้สึกรำคาญแม้ซักวินาทีเดียว แต่เมื่อยิ่งสำผัสใกล้ชิดแล้วกลับยิ่งรู้สึกกลัวเสียมากกว่า
.
.
.
กลัวที่จะต้องรู้สึกกลัว
ไออุ่นนั้นจะจางหายไปเมื่อใด? จะอยู่ในที่ที่มือนี้เอื้อมไปถึงหรือไม่? กลัวแม้กระทั่งสายตาทิ่มแทงที่ไม่เคยพบเจอจากดวงตาสีรุ่งอรุณคู่สวยนั่น

"อะ..อืม..."
เสียงครางเบาๆในลำคอดังขึ้นก่อนศีรษะที่วางทับอยู่บนแผ่นอกกว้างจะค่อยๆขยับเขยื้อนก่อนจะหยุดนิ่งไปราวกับยังไม่ต้องการที่จะตื่นจากภวังค์ฝัน


อาลีไม่ได้อยู่ในชุดของสาวชาวบ้านอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเสื้อเรียบๆที่ตัดเย็บจากผ้าราคาแพง ในระหว่างที่แยกกันมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
การที่ทุกคนมาอยู่รวมกันในที่เดียวกันแบบนี้ อย่างน้อยก็มีบางอย่างที่บ่งบอกว่าอาลีคงจะอะไรสำเร็จลุล่วงไปแล้วอย่างแน่นอน หรืออาจจะตรงกันข้าม...


ยังไม่ทันที่โคเอนจะได้คิดอะไรต่อมากนัก คนที่นอนหลับตาพริ้มเมื่อกี้ก็ค่อยๆขยับอีกครั้ง ก่อนจะยันตัวขึ้นจากพื้นหินขัดอันเย็นเยียบ ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้โคเอนอยากที่จะแกล้งปิดตาแสร้งทำเป็นหลับไปอีกครั้ง เหมือนกับความรู้สึกของเด็กน้อยที่ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วกลัวโดนพ่อแม่จับได้ว่าตื่นอยู่ยังไงยังงั้น ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดที่แน่นขึ้น

"โคเอน…"
เสียงเรียกก้องสะท้อนไปในห้องทึบอันเงียบสงัด ทันทีที่เงาของแพขนตายาวตกกระทบกับผิวเนียนละเอียดของชายหนุ่มตัวบาง สัมผัสอุ่นของฝ่ามือคู่ใหญ่ที่เขาคุ้นเคยก็แตะลงมาบนศีรษะเล็กๆนั่นอย่างแผ่วเบา ทำเอาคนที่นอนเอาหน้าซุกลงบนแผ่นอกต้องสะดุ้ง ร่างกายเล็กๆพยายามดีดตัวออกโดยอัตโนมัติแต่ก็กลับถูกวงแขนนั้นล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา


"อย่าพึ่งสิ กำลังอุ่นเลย"


"นะ นี่นายตะ ตื่นอยู่หรอ! ปะ ปล่อยนะ!"อาลีโวยอีกทั้งพยายามจะดิ้นให้หลุดจากแรงแขนนั่น แต่ด้วยแรงที่น้อยกว่าทำให้แค่ดูเหมือนว่าขยับตัวขยุ๊บขยั๊บเป็นหนอนชีเมทโจได๋ขอยอดชาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย


'เสียงเรียกแบบเมื่อกี้นี้ อยากจะฟังอีก..'
"ชู่ว เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวเด็กก็ตื่นหรอก"


โชคดีที่ความมืดช่วยซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของโคเอน ดวงตาสีทองปลั่งเสมองไปทางอื่น ปิดซ่อนความรู้สึกเขินอายไว้เช่นเดียวกับริมฝีปากล่างที่ขบเม้มอย่างเคยชินในทุกครั้งที่ความรู้สึกบางอย่างในใจเอ่อล้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง


"นายหายไปกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ แล้วอยู่ๆก็มานอนกกฉันอย่างกับเป็นแม่ไก่แบบนี้ คิดจะทำอะไรของนาย"


"กะ..ก็ ถ้าฉันกับยุนไม่กกนายไว้ป่านนี้นายได้แข็งกลายเป็นไอติมแท่งแล้ว"


"ยุน?"
โคเอนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเล็กน้อยกับชื่ออันไม่คุ้นหูนี้ ก่อนอาลีจะพูดขยายความต่อ
"ก็ชื่อของเด็กคนนั้นไงเล่า อีกอย่างยุนเขาช่วยรักษาแขนให้นายด้วยนะ ถึงจะไม่หายขาดแต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้วใช่มั้ยล่ะ?"


โคเอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนลองขยับแขนขวาโดยการยกขึ้นมากอดรัดร่างของอาลีให้ชิดแนบแน่นเข้าไปอีก "อืม..ไม่เจ็บแล้วจริงๆด้วย"


"ดะ..เดี๋ยวสิ โคเอน แบบนี้มัน…"


"พวกนั้นทำอะไรนายบ้างรึเปล่า"


"ห๊า"
อาลีชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆก็โดนเปลี่ยนเรื่องคุยปุปปับ คิดอะไรของเขากันนะคนๆนี้ แล้วจะให้คุยทั้งๆสารรูปอย่างนี้เนี่ยนะ มันไม่แปลกไปหน่อยรึไง!?


"ถ้าจะคุยละก็ ลุกขึ้นคุยกันดีๆไม่ได้รึไงกัน"


"ไม่"


"....."
เออ! ก็ได้!


คนที่ตัวเล็กกว่าแสดงท่าทางฮึดฮัดฉวัดเฉวียนอยู่ในใจ จำต้องอยู่ในท่านั้นต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ในขณะที่อีกฝ่ายพ่นลมหายใจหัวเราะอย่างเงียบๆ


"ฉันก็หลับไปตลอดเลย จนมาเจอนายอีกทีนี่แหละ แล้วก็ดูเหมือนทางนั้นอยากจะเปิดสงครามกันตัวสั่นเลยล่ะ แต่พอดีว่าข้อต่อรองของฉันมันไม่เข้าหูของราชินีนั่นก็เลย..."


"แน่ใจนะว่ายัยนั่นไม่ได้ทำอะไร"

อา...นั่นสินะ
ชักจะเกลียดความเงียบซะแล้วสิ


พอร่างกายได้สัมผัสแนบชิดกันแบบนี้แล้ว คงมีแค่เสียงหัวใจนี้เท่านั้นที่ปิดบังสิ่งใดเอาไว้ไม่ได้เลย


ฉันพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับถ้อยคำที่ปลายลิ้นไม่สามารถควบคุมอาการสั่นไหวนั้นได้ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงออกมาให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ในฐานะองค์ชายแห่งบัลแบดแล้ว…ฉันน่ะมันไม่ได้เรื่องจริงๆ"

โคเอนมองมือเรียวที่กำลังกำสาบเสื้อของตนไว้แน่น ก่อนน้ำเสียงสั่นจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วอ่อน ด้วยคำพูดที่ราวกับคำสารภาพรักก็มิปาน...


"แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ปล่อยให้นายตายไม่ได้..."
"ทั้งนายแล้วก็เด็กคนนั้น ฉันน่ะไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว"
.
.
.


หลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงนั้นแล้ว ก็มีบางอย่างที่กระซิบบอกเบาๆในใจว่าให้กระชับอ้อมแขนนั้นให้แน่นขึ้นอีก


นี่ข้ายิ้มอยู่งั้นหรอ? ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้แท้ๆ แต่ก็ช่างเถอะ...
จะทำเป็นไม่ได้ยินประโยคข้างหลังนั่นก็แล้วกัน

"ปะ..ปล่อยได้แล้วมั้ง"
เสียงเล็กที่ดังอู้อี้อยู่เหนือหน้าอกดังขึ้นหลังจากที่เงียบไปซักพักหนึ่ง


ความจริงแล้วก็กะว่าจะหยอกเล่นนิดๆหน่อยๆ แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว…
จะอาลีหรืออาลีบาบาก็ช่างสิ


คนตัวใหญ่ถอนหายใจเบาๆ หาหนทางเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยๆทั้งยังไม่คิดที่จะคลายอ้อมแขนแม้แต่น้อย
"พวกฮาคุเอย์ตอนนี้คงแฝงตัวเข้ามาในเขตชายแดนแล้ว ที่เหลือเราก็แค่ใช้โชคนิดหน่อยเท่านั้น"


"ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะใจตรงกันนะ"


แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเจิดจรัสถึงกับฉงนในเสียงที่ฟังดูแฝงเลศนัยนั้น ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีแผนไว้ในใจสินะ


"ข้าเตรียมโชคนิดหน่อยที่ว่านั่นเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ"


"ดูชื่นมื่นกันจังเลยนะ"
ไม่ทันขาดคำ เสียงอันไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนายทหารหน้าเข้มนายหนึ่ง ก่อนอาลีจะรีบผละตัวออกจากร่างกายอุ่นร้อนนั่นทันที ในขณะที่โคเอนแอบทำสีหน้าขัดใจแต่ก็ยันตัวลุกขึ้นมาด้วยพร้อมกับปลุกเด็กน้อยที่นอนน้ำลายหกเลอะเสื้อของตัวเอง


"มาได้จังหวะพอดีเลยหลี่"


"หรอ เหมือนมาขัดจังหวะยังไงไม่รู้มากกว่า"
คนตัวสูงพูดเรียบๆพร้อมทั้งแกว่งพวงกุญแจในมือไปมาก่อนจะใช้มันไขลูกกรงเหล็กเขรอะสนิมเปิดประตูออกให้นักโทษทั้งสาม


"คิดจะทำอะไรน่ะ"
โคเอนเลิกคิ้วกับการกระทำที่ดูไม่ได้กลัวศาลการลงโทษใดแม้แต่น้อยของทหารหนุ่มที่เพิ่งได้เลื่อนยศหมาดๆ(จากการจับกุมตัวพวกเขามาโดนทรมาณ)


"คำตอบนั้นท่านเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดองค์ชาย ตั้งแต่สงครามภายในของอูกิครั้งนั้นตระกูลที่คอยให้ความช่วยเหลือท่านอยู่อย่างเงียบๆนั่นแหละ"


"เขาอยู่อีกฝ่ายหนึ่งน่ะ แต่ว่าแค่แฝงตัวอยู่ในหน่วยทหารของชินอาขุนพลที่ขึ้นตรงต่อราชินีโดยตรงเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงไปหรอก"


โคเอนมองท่าทีของทหารหน้าเข้มที่ดูจะไม่ยี่หระต่ออะไรสักเท่าไหร่ เหมือนว่าแค่มาช่วยเปิดประตูให้เฉยๆ ส่วนจะหนีไปได้รึไม่ก็แล้วแต่บุญที่สะสมมาเลย
"เร็วเข้าเถอะโคเอน เราไม่มีเวลามาสงสัยอะไรแล้วนะ"
อาลียืนเร่งอยู่หน้าประตูที่เปิดอ้าออก


"ช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนเวรทหารยามการป้องกันจะหละหลวม ออกจากคุกอ้อมเรือนเล็กอย่าเข้าใกล้หอคอยเด็ดขาด เดินเลาะสวนดอกเหมยไปจะถึงหลังคอกม้าเข้าไปทางนั้นแหละ ด้านหน้าจะมีทหารเฝ้าอยู่ระวังด้วยล่ะ อ่อ แนะนำให้ฝ่าออกไปเลย ถ้าสัญญาณเตือนดังเมื่อไหร่ประตูหน้าวังจะปิดทันที เพราะงั้นควบม้าออกไปให้สุดฝีเท้าเลยนะ"


"อื้ม ขอบใจมากนะ" น้ำเสียงอ่อนที่ดูเหมือนความรู้สึกซาบซึ้งเอ่อล้นออกมาจากใจจริงเอ่ยขึ้น พร้อมกับสีหน้าจริงใจใสซื่อ ทันใดนั้นร่างบางก็ง้างหมัดขึ้นก่อนจะปล่อยเข้าใบหน้าของทหารหนุ่มหน้าเข้มอย่างเต็มแรง ตามด้วยกระทุ้งเข่าใส่ท้องน้อยจนทหารหนุ่มร่างสมส่วนจะจุกล้มลงไปนอนหายใจไม่เป็นจังหวะแนบกับพื้นเย็นๆแล้วประทับบาทาซ้ำต่ออีกหลายที ในขณะที่โคเอนนั่งตะลึงทึ่งไปกับวิธีการขอบคุณของเชื้อพระวงศ์บัลแบด ก่อนจะแอบคิดเล่นๆในใจว่า โชคดีที่เขาไม่เคยทำเรื่องอะไรที่น่าขอบคุณกับอาลีเลย


"อะไร? ถ้าปล่อยเขาไว้เฉยๆแบบนั้นก็ต้องโดนข้อหากบฏน่ะสิ"

ก็ฟังดูมีเหตุผล…
โคเอนมองนายทหารหน้าเข้มที่นอนจูบพื้นโบกมือไล่พวกเขาหยอยๆ ก่อนเด็กน้อยบนตักที่พึ่งตื่นจะหมุนคอหันมาทางเขาด้วยใบหน้ากลมๆน่ารักที่ยังไม่ตื่นดี


"อ่ะ คุณลุงแขนหายเจ็บแล้วหรอฮะ" เด็กน้อยที่พึ่งตื่นนอนขยี้ตาหันมาถามคนตัวใหญ่ด้วยเสียงงัวเงียๆ ก่อนร่างเล็กจะถูกอุ้มให้ลอยขึ้นทั้งๆอย่างนั้นไม่ต่างจากตุ๊กตานุ่นตัวใหญ่ๆตัวหนึ่ง

"งั้นก็รีบไปกันเลยเถอะ"

ใบหน้าสวยยิ้มน้อยๆก่อนจะนำทางไปยังประตูทางออกที่ว่างร้างผู้คน


อา..ทายาทแห่งบัลลังก์แดง นัยน์ตาของเจ้าหาได้มีความเคลือบแคลงไม่
.
.
.


 ไอร้อนอันอ่อนโยนจากการอิงแอบแนบชิดกันเมื่อครู่ยังคงไม่จางหาย ด้วยร่างกายที่แบ่งปันไออุ่นซึ่งกันและกันนั้น เร้นกายฝ่าไปในความมืดดั่งสายลมแรงที่เงียบสงัด ก่อนเส้นสีทองจะถักทอขึ้น ณ สุดปลายขอบฟ้า


ความรู้สึกผิดต่อบ้านเกิดที่ต่อต้านอยู่เงียบๆในใจตลอดเวลา บัดนี้มันไม่อาจต้านทานเสียงหัวใจที่เต้นระรัวได้อีกแล้ว


พอได้ลอบมองหน้านั้นของเจ้าอีกคราใต้แสงของคบไฟนั่น ก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ข้าจมอยู่เบื้องลึกสุดของทะเลแห่งความขมขื่นยากที่จะถอนตัวเสียแล้ว  


หากรูปลักษณ์อันหอมหวานเย้ายวนของสิ่งที่ผู้คนหลงงมไขว่ขว้าหานั่นคือความโง่งมแล้วล่ะก็ ตัวตนของข้าคงเป็นสิ่งที่โง่งมยิ่งกว่าสิ่งใด


ถนนว่างเปล่า ทางเดินร้างผู้คน คือฉากที่ถูกจัดเตรียมมาสำหรับละครฉากนี้ ยากนักที่จะขัดขืนแต่ข้าจะไม่เล่นตามบทนั้นหรอก และนั่นคือสิ่งที่ขลาดเขลาที่สุดในชีวิตนี้ที่ข้าจะทำ ในขณะที่หน้าของบทละครพลิกไปเรื่อยๆจนมาถึงคอกม้าอันเงียบสงัด ฝ่ามือใหญ่กร้านกรำนั้นก็ยื่นออกมา


"เร็วเข้า ขึ้นมาเร็ว"


ทั้งๆที่เตรียมใจเอาไว้แท้ๆ ทำไมถึงยังคิดที่ยื่นมือตอบรับไปอีกนะ


"มัวลังเลอะไรอยู่อีก เร็วเข้าขึ้นมาเร็ว!"
"พี่สาว เร็วเข้าเถอะ เดี๋ยวจะโดนจับเอานะ"


ใบหน้าหวานส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะชักมือกลับ
"ไปกันแค่สองคนจะปลอดภัยกว่า"


โคเอนทำหน้าค้านสุดขีดหลังจากฟังประโยคนั้นจบ ถ้าลงไปตบหัวของคนที่ยึกยักเล่นตัวอยู่ข้างล่างได้คงทำไปแล้ว
"พูดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาเร็ว!"


...ใบหน้าร้อนรนนั้นเมื่อมองดูแล้วมันกลับยิ่งทำให้ลำบากใจ แต่ก็เผลอยิ้มตอบไปเสียแล้ว...


"ไม่คิดบ้างหรอว่าทำไมทางเดินที่เราเดินเลาะมามันไม่มีคนเลย"


"ห๊ะ มันใช่เวลามาสงสัยเรื่องนั้นหรอ!? ทั้งที่นายเป็นคนเร่งฉันแท้ๆ เลิกลีลาแล้วขึ้นมาซักที"
โคเอนพูดอย่างหัวเสีย ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยุนที่นั่งเกาะหลังอยู่นั้นก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้อาลีหนีออกไปพร้อมกัน


"ไม่ว่าทันเซย์จะวางแผนอะไรไว้ ข้าไม่มีทางจะให้เป็นไปอย่างที่นางต้องการหรอก หนีออกไปแค่สองคนเถอะ "


เสียงของทหารจะเริ่มเอะอะขึ้นหน้าคอกม้า ก่อนจะเงียบไปเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นที่รู้จักกันดีของขุนพลผู้ภักดี 'ชินอา' ชายหนุ่มภายใต้หน้ากากผ้าที่ทะมึน เหมือนว่าเขากำลังคุยเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่หมู่บ้านสุดพรมแดนแคว้นอูกิอยู่ ถึงแม้จะเพิ่มความยุ่งยากในการหลบหนีแต่นั่นก็เป็นการถ่วงเวลาให้กับผู้หลบหนีทั้งสาม ไม่มากก็น้อย

โคเอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับว่าจู่ๆเขาก็ใจเย็นลงได้ซะอย่างนั้นก่อนจะอุ้มยุนมาไว้ด้านหน้าแทน
"ไหนๆก็จะแยกกันแล้ว ช่วยรับสิ่งนี้ไปได้มั้ย" มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่อยู่ด้านในเสื้อก่อนจะกำบางอย่างเอาไว้ "มันเป็นสิ่งที่สำคัญกับข้ามาก อย่างน้อยก็มีค่าสำหรับการจากลาในครั้งนี้"


"ยื่นมือออกมาสิ"


อาลีเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะแบมือรับสิ่งของที่อยู่ในมือของโคเอน แต่ทว่าโคเอนกับชูมันขึ้นสูงจนคนที่ตัวเล็กกว่าเอื้อมไปไม่ถึง


อาลีขมวดคิ้วมุ่นกับการกระทำนั้น ก่อนจะมองหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่ายโดยไม่เอะใจใดๆ


"นี่โคเอน ตอนนี้มันใช่เวลามาล้อเล่นหรอ"


"ถ้าไม่รับไว้ข้าก็ไม่ไป"


"ก็ยื่นมาให้ดีๆไม่ได้รึไง"


"แบบนั้นมันเสียศักดิ์ศรียังไงไม่รู้ นายเป็นมือขวาฉันก็ต้องไขว่ขว้าด้วยตัวเองสิจะให้ข้าหยิบยื่นให้อย่างเดียวเลยหรอ?"


อาลีเม้มริมฝีปากแน่นกับตรรกะอันไร้ที่มาที่ไปนั่น ก่อนจะเหยียบขึ้นบนโกลนของม้าแล้วคว้ามือที่ชูสูงข้างนั้นของโคเอนก่อนฝ่ามือที่กำบางอย่างอยู่นั้นจะผสานตรึงมือเรียวนั่นเอาไว้


ในวินาทีนั้นเองอาลีก็ได้รู้ว่า 'มือนั้นมันว่างเปล่า' ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นร่างของเขาก็ถูกดึงสูงขึ้นแล้วมาจบที่การนั่งจุมปุ๊กอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนั้นมีเพียงแค่ 'ข้านี่มันโง่จริงๆ'


"เกาะแน่นๆล่ะ"


"ดะ..เดี๋ยว!"



.
.
.
.

"หมู่บ้านแถบชายแดนหรือขอรับ?"
ผู้ดูแลคอกม้ากลอกตาล่อกแล่กอย่างหนักใจกับคำขอร้องของคนตรงหน้า


"ใช่ เพราะงั้นข้าถึงได้มาขอม้าตัวที่เร็วที่สุดไงล่ะ"
ชายหนุ่มที่รวบผมหางม้าสีเงินยวงยังคงย้ำคำหนักแน่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะขอยืมม้าเร็วตัวนั้นให้ได้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้พกแผ่นป้ายคำสั่งใดๆมาด้วยเลยก็ตาม


ด้วยฐานะลำดับขั้นที่ต่างกันระหว่างขุนพลกับผู้ดูแลม้านั้นทำให้คนดูแลคอกต้องคิดหนัก ยืนบิดชายเสื้อกระมิดกระเมี้ยนเหงื่อตกอยู่ต่อหน้าขุนพลหนุ่มผู้เงียบงัน ก่อนจะรวบรวมความกล้าสุดชีวิตตอบกลับไป
"อ่ะ เอ่อ คือว่า ถึงจะเป็นท่านชินอา แต่ถ้าไม่มีแผ่นป้ายเงินก็คงจะให้ไม่ได้หรอกขอรับ"


"ข้ามีธุระต้องไปทำด่วน แค่จะยืมม้านิดหน่อยเท่านั้นเอง"


"ยังไงก็ไม่...อั่กกกกกกกก"


ร่างของผู้ดูแลคอกม้ากระเดนกลิ้งคลุกไปกับพื้นเปื้อนหิมะและโคลน หลังจากที่จู่ๆก็มีม้าตัวหนึ่งกระโจนพุ่งพรวดออกมา

"อ้ากกกกกกกกกกก"
เสียงโหยหวนของชายหนุ่มผมทองยาวดังโหยหวนก้องไปทั่วรุ่งสางของวังเหมันต์อันเงียบสงัด พร้อมทั้งเสียงกีบม้าดังกุบกับกระทบกับพื้นส่งเสียงผสานอลหม่าน



ขุนพลหนุ่มปรี่เข้าไปพยุงร่างที่นอนกลิ้งร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดในทันที ก่อนจะหันไปมองม้าที่วิ่งควบตะบึงออกไปอย่างสงบเงียบ
"ตัวนั้นใช่มั้ยตัวที่เร็วที่สุด"


"ชะ ใช่ขอรับ"


"มีตัวอื่นที่ฝีเท้าใกล้ๆกันอีกมั้ย"


"เสี่ยวต้าเร็วที่สุดแล้วขอรับ ถ้ารองจากนั้นก็จะเป็นเม่ยเม่ยม้าส่งสารตัวสีขาวด่างน้ำตาลที่อยู่คอกข้างกันขอรับ"


ชายหนุ่มร่างเพรียวรีบวิ่งเข้าไปด้านในมองหาม้าตัวที่ผู้ดูแลพูดถึงเมื่อครู่ กระชับอานม้าที่พาดเอาไว้หลวมๆของม้าส่งสารที่จะต้องส่งออกไปนอกวังวันนี้ ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วพร้อมโยนกระเป๋าที่ไม่จำเป็นทิ้งไปและคว้าคันธนูเก่าๆกับซองใส่ลูกธนูที่หลงเหลือลูกธนูอยู่เพียงแค่สี่ดอก ควบตะบึงตามไปในทันที




"เฮ้อ.."
ดวงตาสีน้ำแข็งจ้องมองไปยังหนทางเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง ในขณะที่รอบๆวังเริ่มจะแตกตื่นกันบ้างแล้ว ใบหน้าใต้หน้ากากนั้นก็ลอบถอนหายใจเบาๆ
"องค์หญิงอาลีบาบาไว้ใจไม่ได้จริงๆเสียด้วย"


.
.
.


     ม้าฝีเท้าเร็ววิ่งฝ่ากองทหารที่วิ่งอลหม่านผ่านด่านแล้วด่านเล่าราวกับลมแรงที่พัดผ่านความมืดของรุ่งสางอันหนาวเหน็บ แม้จะต้องรับน้ำหนักของคนถึงสามคนแต่แรงของมันไม่มีท่าทีจะตกเลยแม้แต่น้อย


แต่ถึงอย่างนั้นถ้าไม่ชมคนขี่ด้วยเห็นทีจะไม่ได้สินะ ทั้งตอนนี้
หรือแม้แต่ในศึกชิงที่ราบคานันเมื่อหลายปีก่อน...


    ท่ามกลางสุรเสียงของความตายและความปราชัยของแคว้นโค ร่างสง่าของเด็กหนุ่มบนหลังยอดอาชาศึกพร้อมด้วยทวนด้ามยาวควบฝ่าทหารนับพันนาย นำพาแม่ทัพที่บาดเจ็บกับกองทหารไม่กี่ร้อยนายฝ่าวงล้อมออกไปได้อย่างปลอดภัยได้ราวกับปาฏิหาริย์
                               
ด้วยทวนด้ามยาวในมือนั้นพิพากษาความตายแก่ทุกศัตรูที่ขวางหน้า
เปลวไฟที่โชติช่วงอย่างองอาจท่ามกลางคลื่นแห่งสงครามอันโกลาหล
'เรน โคเอน'


ทันเซย์มองภาพของม้าเร็วสองตัวที่ควบตะบึงไล่กันออกไปจนพ้นประตูวังจากชั้นบนสุดของกำแพงวังที่ไร้ซึ่งทหารยาม ก่อนกองทหารม้าที่เหลือจะไล่ตามออกไป ดูอุตลุดวุ่นวายไม่น้อย ดวงตาคมปราบยังคงจับจ้องเด็กสาวผมทองจนกระทั่งลับสายตา ก่อนจะโยนตัวหมากในมือที่หมุนพลิกเล่นในมือทิ้ง มือเรียวสวยยกมือป้องดวงตาเมื่อรู้สึกว่าแสงอรุณที่โผล่พ้นเส้นขอบฟ้านั้นเริ่มแยงตาจนน่ารำคาญ


"ไม่เห็นจะอุ่นเลยซักนิด"


.
.
.

"กัดไม่ปล่อยเลยแฮะ"
โคเอนหันไปมองชายหนุ่มผมยาวรวบหางม้าผู้ซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ใต้หน้ากากผ้าบางที่ควบม้าตามมาติดๆพร้อมทั้งกองทหารอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากนั้นไม่ไกลนัก ก่อนจะหันไปโวยคนที่นั่งซ้อนท้าย


"รู้งี้น่าจะปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น แหกปากขนาดนี้เรียกทหารทั้งวังมาฆ่าข้าเลยซะดีกว่า ดูเด็กนี่สิเงียบกริบหัดละอายใจซะมั่ง"


"นี่นายบ้าไปแล้วรึไง! ยุนน่ะวิญญาณออกจากร่างไปแล้วโว้ยยยยย"
คนที่นั่งซ้อนท้ายแทบจะหลับตาปี๋ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นบางอย่างลางๆผ่านหางตาไปพร้อมกับสัมผัสเปียกชื้นที่หยดลงบนพวงแก้ม มาพร้อมกับกลิ่นที่ไม่ได้ชวนพิศมัย คับคล้ายกลิ่นของเหล็กคลุ้งติดจมูก


"เลือด.."
ใบหน้าตื่นหันไปมองด้านหลังแม้จะไม่ชัดนัก แต่ขุนพลมากฝีมือคนนั้นกำลังกำคันธนูเอาไว้ไม่ผิดแน่…


แขนเสื้อบางของโคเอนที่ทิ้งรอยขาดวิ่นเอาไว้นั้นบ่งบอกว่าลูกเมื่อกี้นี้แค่พลาดโดนต้นแขนถากๆไปเท่านั้น แต่ว่านี่มัน… ไม่เหมือนกับที่คุยกันเอาไว้นี่!

"เจ้าบ้านั่น..."
โคเอนกัดฟันแน่นเมื่อปากแผลที่เปิดนั้นถูกกระหน่ำซ้ำด้วยความเย็นและลมแรง แต่ก็จำต้องปล่อยผ่านไปราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไร


ดูเหมือนเจ้านั่นเองจะสอบตกเรื่องการยิงธนูแฮะ แค่ยืนนิ่งๆยิงให้โดนเป้าก็ยากพออยู่แล้ว ยิงบนหลังม้าโอกาสที่จะโดนนั้นเป็นเรื่องยากมาก ดูท่าแล้วคงได้มีคนกลับไปมือเปล่าไปหาข้อแก้ตัวกับยัยราชินีจิ้งจอกนั่นซะแล้วล่ะนะ


โคเอนกระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะเร่งฝีเท้าม้าให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก จนไม่นานนักมือเรียวที่เกาะเกี่ยวเอวของเขาไว้ก็มีปฏิกริยาตอบโต้ทันที วงแขนนั้นเกาะแน่นขึ้นอีกราวกับจะบดกระดูกและชายโครงของเขาให้แหลกละเอียด ซอกนิ้วที่ชื้นไปด้วยเหงื่อนั้นกำเสื้อเอาไว้แน่นราวกับเรียวนิ้วและเล็บนั่นจะจิกลงไปบนผิวหน้าท้องของเขา


"อาลีนายเกาะแน่นไปแล้ว!"


"คะ ควบม้าแบบนั้น ไม่ให้...เกาะ แน่นได้ยังไง"
เสียงขาดห้วง ตะเบงไล่หลังของคนที่ยังคงรวบรวมสมาธิควบม้าผ่านสิ่งกีดขวางด้านหน้า ก่อนวงแขนเล็กๆจะค่อยๆคลายออกบ้างเล็กน้อย


น้ำเสียงบางเบาของอาลีที่โคเอนไม่อาจจับใจความได้ ดังขึ้นด้านหลัง ก่อนจะเลือนหายไปพร้อมกับคลื่นลมแรงที่จู่ๆก็พัดโหมอย่างประหลาด

...ทันเซย์ไม่ได้โกหก...

ลมพายุประหลาดที่โหมแรงขึ้นเรื่อยทำให้เหล่ากองทหารต้องหยุดม้ากระทันหัน แต่นั่นก็ไม่อาจขวางกั้นเป้าหมายเบื้องหน้าของขุนพลหนุ่มผู้ภักดีได้ ม้าส่งสารกระโจนฝ่าเข้าไปในลมพายุหมุนอย่างไร้ซึ่งความกลัว

"ผู้ใช้ภาชนะโลหะงั้นหรอ"


ชายหนุ่มเหลือบมองการปรากฏตัวของทหารม้ากองหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังกำแพงพายุด้านหน้าของม้าที่ถูกขโมยไปไม่ไกล ก่อนจะหยุดม้าในทันทีที่เห็นว่าหิมะด้านบนช่องเขาทางเข้าออกเดียวของแคว้นกำลังถล่มลงมาขว้างกั้นม้าของเขากับเส้นทางด้านหน้าเอาไว้


การไล่ตามไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ทว่า…
ดวงตาสีน้ำแข็งมองคันธนูไร้ประโยชน์ที่สายเพิ่งขาดผึงไปเมื่อครู่ ก่อนจะโยนทิ้งไปพร้อมกับซองหนังที่ว่างเปล่า


.
.
.


"อีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้ว…"
คนตัวสูงก้มหัวหลบหิมะหนาที่กำลังไล่หลังถล่มทับลงมาตามช่องเขาที่ทั้งแคบและลึกพร้อมกับกระแสลมแรงดั่งพายุคลั่ง ก่อนจะจดจ้องไปที่แสงรำไรสีทอง ณ สุดปลายทาง ในขณะที่กองทหารม้าของเซย์ชุนนำหน้าพวกเขาอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของโคเอนก็ผุดยิ้มขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ ราวกับว่าไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานมากแล้ว โดยไม่สนว่าหิมะที่กำลังถล่มลงมาจะไล่หลังมาใกล้เป็นไฟลนก้นแค่ไหน


"อาลี ดูสิพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว"


"พระอาทิตย์..."




'มองไม่เห็นเลยแฮะ'
นั่นเพราะแผ่นหลังของนายมันกว้างเกินไปนั่นแหละนะ


  แต่ว่าถึงจะมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะไออุ่นที่รู้สึกได้ในตอนนี้นั้นหาใช่ดวงตะวันที่อยู่ไกลสุดเส้นขอบฟ้าไม่ แต่เป็นเพียงแค่แผ่นหลังที่แนบชิดอยู่เบื้องหน้านี่ต่างหากที่อุ่นจนดวงตาของข้าชุ่มโชก เมื่อเสียงของข้าไม่อาจส่งถึงเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว
"นี่อาลี ถ้ายังไม่เป็นลมสลบไปล่ะก็ หัดตอบกลับมามั่งสิ"


ในระหว่างที่พวงแก้มยังคงรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจและไอร้อนนี้ ขอเพียงแค่ได้ประทับจุมพิตบนแผ่นหลังนั้นเบาๆก็พอ เพื่อบอกให้รู้ว่า



'ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง'

.

.

.

"อาลี!!!"



☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆



หากว่าไรท์หายไปโปรดรู้ไว้ ไรท์ยังสอบไม่เสร็จ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น