วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[FIC MAGI] ESCAPE เราจะหลบหนีจากโชคชะตา (เรน โคเอนXอาลีบาบา) CHAPTER14









ในขณะที่ข้าเก็บส่วนที่ดีที่สุดของขนมเปี๊ยะไว้ให้เจ้า
และเจ้าเองก็เก็บขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ไว้ให้ข้าเช่นกัน
แต่พอได้ลิ้มรสข้ากลับพบว่า เจ้าได้ให้ส่วนที่เป็นไข่เค็มกับผู้อื่นไปนานแล้ว










   ดวงตาสีทับทิมสวยใต้เปลือกตาบางขยับไหว เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นที่ไล้ไปทั่วร่างกายร้อนผ่าว จนกล้ามเนื้อกระตุกเกร็งเบาๆ และกลิ่นหอมชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะตื่นขึ้นมาทำงาน

...หัวข้ามันตื้อไปหมด...
กะอีแค่ปลายนิ้วยังขยับไม่ได้ดั่งใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกทรมาณแบบนี้ นานเสียจนเกือบจะลืมความรู้สึกพวกนี้ไปแล้ว ความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วลำตัวด้านขวาราวกับจะบดขยี้แขนและกระดูกให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ทำไมมันถึงปวดได้ถึงขนาดนี้กัน?



"อาลี..." เสียงแหบพร่าเลื่อนลอยออกมาจากริมฝีปากซีดอย่างแผ่วเบา 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เขาเอาแต่เรียกชื่อนั้นอยู่ร่ำไป...
เปลือกตานี้หนักเกินกว่าจะลืมไหว หูนั้นพร่ามัวเกินกว่าจะได้ยินเสียงหวานไพเราะนั่น แม้ว่าจะแสร้งทำเป็นลำคาญมันมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าตอนนี้เขาอยากจะได้ยินมันชัดๆแค่ไหน 


    ปลายประสาทที่รับรู้ความรู้สึกเบาบาง รับรู้เพียงแค่เพียงสัมผัสเย็นๆของฝ่ามืออันคุ้นเคย และแผ่นหลังของตัวเองที่ถูกยกลอยขึ้นจากพื้นโดยที่มืร่างกายเล็กบางคอยพยุงศีรษะที่หนักอึ้งไม่ให้คอพับไปด้านหลัง ตามมาด้วยสัมผัสของผ้าและสากเสื้อที่ค่อยๆห่อหุ้มผิวหนังเปลือยเปล่าอย่างช้าๆและทุลักทุเล ก่อนแผ่นหลังอันหนักอึ้งจะค่อยถูกจับเอนลงช้าๆบนพื้นแข็งๆ เรียวนิ้วมือเย็นที่แตะโดนใบหน้าร้อนให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับความร้อนในร่างกายจะหะเหิดระเหยออกไป

อยากจะให้มือคู่นั้นแตะวางอยู่บนแก้มและกกหูร้อนให้นานมากกว่านี้...
สัมผัสร่างกายรุ่มร้อนดั่งไฟสุมนี่ให้มากกว่านี้... 


...มากกว่านี้...



มือใหญ่คว้าสัมผัสเย็นนั่นเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ กุมเรียวนิ้วเย็บเยียบเอาไว้อย่าแนบแน่นเสียยิ่งกว่าคีมหนีบจนเจ้าของฝ่ามือไม่อาจดึงมือกลับได้ อีกใจหนึ่งก็ว่าจะปลุกให้คนที่นอนหลับอยู่ตื่นจากห้วงนิททรา

อาลีมองดวงหน้าหล่อคมที่ปิดเปลือกตาสนิท แพขนตายาวกระทบกับแสงจากเปลวไฟของเตาผิงจนเกิดเงาอ่อนๆ ก่อนจะเผลอมอมยิ้มออกมา มันช่างดูไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กตัวน้อยไม่มีผิด หากแต่จะเป็นความไร้เดียงสาที่ดูดื้อรั้นหน่อยๆน่ะนะ


ดวงหน้าสวยที่ดูเหนื่อยอ่อนหันไปมองหน้าต่างที่มีเสียงลมพัดแรงยามค่ำกระทบกุกกักเป็นระยะๆก่อนจะทอดถอนหายใจเบาๆ นี่ก็ผ่านมาวันหนึ่งเต็มๆแล้วแต่โคเอนก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้นจากอาการไข้ ถึงแม้จะเริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้วก็ตามที เขาได้แต่หวังว่าผ่านคืนนี้ไปแล้วอาการจะไม่ทรุดลงไปอีกเหมือนกับคืนที่แล้ว


"วันนี้สีหน้าดูดีขึ้นนะ" ปลายนิ้วเย็นเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเนียนเรียบของคนที่นอนซมด้วยพิษไข้ออกเล็กน้อย ก่อนจะเขี่ยเล่นอย่างเพลินมือไปเรื่อยๆ ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าโคเอนมีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว มันคงจะทำให้เขาเผลอคิดเข้าข้างตนเองไปไกล ถึงแม้จะเป็นคำพูดของคนเมาก็ตาม หรือแม้แต่ตอนนี้ที่มือทั้งสองยังกุมกันแน่นไม่คลาย...

"แต่เรื่องแบบนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วหรอกเนอะ ก็ข้าเป็นผู้ชายนี่นา..." 
รอยยิ้มบางที่คลี่สะท้อนกับแสงเเปลวไฟสีส้มของเตาผิงอุ่นงดงามปานภาพวาดบรรจงจากปลายพู่กันแต่ถึงกระนั้นกลับแลดูเศร้าพิกล 



ใบที่หน้าหลับลึกไร้กังวลในตอนนี้กำลังคิดถึงภาพใครอยู่นะ?
ใครกันที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของฝ่ามือใหญ่ร้อนนี่?
ใครกันที่กุมหัวใจทรนงของจอมทัพผู้นี้?



"นายคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย ถ้าวันนี้ฉันจะนอนข้างๆนายน่ะ"

.




.




.




    ตลาดเช้าครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยในหมู่บ้านติดชายแดนเล็กๆแห่งนี้ แต่สิ่งที่เพิ่มสีสันให้กับการเดินไปจ่ายตลาดให้ตลาดแห่งนี้มีชีวิตชีวาคึกคักมากขึ้นก็คือ...

      


'ข่าวลือ'






    ข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านชายแดนเล็กๆห่างไกล ถึงพระธุดงค์ผมสีแดงดอกงิ้วที่เดินทางเข้ามาพำนักอยู่ในอาศรมร้างร้อยปี และหญิงงามนางหนึ่งผู้เดินทางปรนนิบัติรับใช้อดีตสามีให้บรรลุถึงแก่นแท้ของความสงบ

    ข่าวลือสองกล่าวถึงหัวขโมยสีเงินตัวเล็กที่รวดเร็วปานสายลมจับยากเสียยิ่งกว่าหิมะที่ปลิวว่อนกลางลมพายุหมุน ออกอาละวาดหนักในช่วงเวลาโพล้เพล้ของทุกวัน




ยามเช้าของวันที่อากาศดี อาลียังคงวุ่นวายกับการปัดกวาดและซ่อมแซมรูตามเพดาน ผนังอย่างขมักเขม่นเช่นเคย แต่ที่จะเพิ่มขึ้นมาซักหน่อยคงจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่เดินทางมาโยนเศษเงินใส่ตู้บริจาคแล้วมาสั่นกระดิ่งขอพรต่อเทพพยาดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์


ดวงตาสีทองลูกแก้วสุกใสลอบมองเหล่าผู้เดินทางเข้ามาด้วยใบหน้าฉงนก่อนยายแก่ๆคนหนึ่งจะเดินหงึกหงักเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอิ่มเอม
"เจ้าคงเป็นภรรยาของพระหนุ่มองค์นั้นละสิใช่มั้ย"

"อะ..เอ่อ..."


"ช่างโชคดีจริงๆที่มีภรรยาแบบเจ้า ถึงแม้จะบวชแล้วแต่เจ้าก็ยังติดตามมาลำบากรับใช้ถึงที่ทุรกันดารแบบนี้ ดูเนื้อตัวเจ้าสิมอมแมมไปหมด" หญิงแก่เดินเข้ามาปัดฝุ่นตามเนื้อตัวของเด็กสาวในร่างของชายหนุ่มโฉมงามในขณะที่เจ้าตัวทำท่าทางจะปัดปฏิเสธแต่ก็ขัดขืนไม่ได้มากนัก
"เดี๋ยวก่อน...คือว่าข้า.."

"เห็นเจ้าแล้วข้าล่ะคิดถึงตัวเองสมัยสาวๆ ผู้หญิงอย่างเราๆก็ต้องมีหน้าที่สนับสนุนสามีให้ถึงที่สุดถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นความดื้อรั้นแค่ไหน..."


"พูดอะไรน่ะ ข้าได้ยินนะยายแก่" เสียงแหบพร่าของคุณตาคนหนึ่งผู้มีหลังโก้งโค้งด้วยความอายุมากดังขึ้นไม่ไกลนัก ก่อนคุณตาจะเดินหงึกหงักเข้ามาหาภรรยาเฒ่าด้วยแววตามองค้อนเหมือนคนแก่หัวแข็งที่ลูกหลานต่างขยาด
"จะทำอะไรๆก็รีบๆทำซะ จะได้รีบๆกลับไปเฝ้าแผงขายของ ช่วงนี้ขโมยขโจรยิ่งชุกชุมอยู่"



คุณยายท่าทางใจดีทำหน้าเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะหยิบห่อที่ใส่แผ่นแป้งข้าวเหนียวจำนวนหนึ่งให้กับอาลีที่มีเนื้อตัวมอมแมม
"นี่ข้าเอาเจ้านี่ติดมาด้วย เจ้ารับไปนะ เอาไปจี่ไฟเดี๋ยวเดียวก็กินได้แล้ว"

"ขอบคุณ..ค่ะท่านยาย" ดวงหน้าสวยรับห่อของมาก่อนจะยิ้มแห้งๆ เป็นอีกครั้งที่เขาสับสนเพศของตัวเอง ความจริงแล้วเขาเป็นผู้หญิงแต่ต่อมาเป็นผู้ชาย ส่วนตอนนี้เป็นผู้ชายที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิง? แถมเป็นองค์หญิงอยู่ดีๆกลายเป็นองค์ชายที่ต้องมาเป็นมือขวาจอมทัพแห่งเจิดจรัสยังไม่พอ ตอนนี้ยังมาเป็นเมียเก่าของพระผู้ทรงศีลอีก! มันจะมีอะไรวายป่วงไปกว่านี้อีกมั้ย!


"อ่อ เจ้าก็ระวังด้วยล่ะ ช่วงนี้ขโมยออกอาละวาดหนัก ดูแลตัวเองด้วยล่ะแม่หนู" ยายแก่กุมมือเรียวของเด็กสาวปานหลานญาติสนิท ก่อนจะหันหลังจากไปพร้อมกับสามีเฒ่าจนลับสายตา



อาลีถอนหายใจยาว ก่อนมองห่อของกินในมือ ถึงจะโดนเข้าใจผิดแต่อย่างน้อยก็ได้ห่อของกินกับเศษเงินอีกนิดหน่อยล่ะนะ มือข้างซ้ายวางอุปกรณ์ซ่อมผนังลงกับพื้นก่อนจะเดินไปนับเงินบริจาค

"มันก็ยังน้อยเกินกว่าจะซื้อยาได้อยู่ดี" 
ใบหน้าสวยถอนหายใจอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง แถวนี้ก็เป็นภูเขาหิมะไร้วี่แววของพืชสมุนไพรใดๆให้เก็บ อย่าว่าแต่สมุนไพรเลย แค่หญ้ายังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

'หรือว่าเราจะลองเข้าไปถามคนในหมู่บ้านดู?'


ร่างบางเดินกลับเข้าไปยังห้องที่ซ่อมพนังเสร็จไปเมื่อวาน ก่อนนำไฟฟืนแห้งเติมเข้าไปในเตาผิงที่ไฟเริ่มมอด ก่อนตักน้ำซุปในหม้อเหล็กบุบๆเบี้ยวๆที่แขวนอยู่ในเตาผิงใส่ชามกระเบื้องบิ่นๆ แต่อย่าเรียกมันว่าซุปเลยจะดีกว่า ความจริงก็เป็นแค่น้ำที่ใส่ส่วนเครื่องในสัตว์ที่พ่อค้าเนื้อเลาะทิ้งเท่านั้น ก่อนจะตั้งมันทิ้งให้เย็นซักพัก

หลังมือเย็นด้วยเพราะอากาศหนาวแตะลงบนหน้าผากร้อนฉ่าของคนที่ยังนอนไม่ได้สติ
"ไข้ยังไม่ลดอีกหรอ"

  นี่ปาเข้าไปวันที่สองแล้วโคเอนยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ถ้าไม่รีบหายามาเห็นทีจะไม่ได้การ แค่น้ำซุปอย่างเดียวไม่สามารถที่จะทำให้ท้องอิ่มได้เลย หากปล่อยให้ร่างกายอ่อนล้าไปเรื่อยๆอาการจะยิ่งทรุดลงอีก ไหนจะแขนที่อักเสบเองก็บวมเป่งจนน่ากลัว หากจะรอจนกว่าจะออกไปได้ก็คงจะไม่ทันการ แน่นอนว่าตัวเขากลับไปหาภาชนะโลหะของโคเอนแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเหมือนเดิม 



     ปลายนิ้วแตะถ้วยกระเบื้องเพื่อตรวจดูว่ามันเย็นลงรึยัง แล้วค่อยๆประคองร่างสูงให้ลุกขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ให้ศีรษะของโคเอนได้พิงมาที่หัวไหล่ของเขา ก่อนนำถ้วยกระเบื้องขอบบิ่นจรดเข้าไปที่ริมฝีปากซีดไร้เลือดฝาด ค่อยๆป้อนซุปในถ้วยพลางซับน้ำส่วนที่ไหลเปื้อนออกมาตรงมุมปากไปพลาง จนกระทั่งน้ำซุปในถ้วยหมดจึงค่อยๆป้อนน้ำเปล่า แล้วปล่อยให้โคเอนนอนค้างอยู่ในท่านั้นซักพักหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังใช้ก้อนน้ำแข็งประคบแขนที่อักเสบ 



"อะ.." 
เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก แผ่วเสียจนต้องก้มลงเงี่ยหูฟังใกล้ๆ แม้จะมีแต่เสียงลมจนจับใจความแทบจะไม่ได้ก็ตาม แต่อาลีก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นชื่อคน


"ให้ตายสิ เวลาแบบนี้ยังจะละเมอเป็นชื่อผู้หญิงที่ไหนไม่รู้อีกเจ้าบ้า"
อาลีค่อยๆจับโคเอนนอนลงบนหมอนช้าๆก่อนจะบิดน้ำออกจากผ้าที่ห่อน้ำแข็งแล้วโปะผ้าเย็นๆลงบนหน้าผากมนของคนป่วย ร่างบางยันตัวลุกขึ้นหลังจากงานในส่วนของช่วงเช้าเสร็จแล้ว มือสากหยิบเสื้อคลุมหนาวใกล้มือขึ้นมาสวม จัดแจงจัดกระเป๋าใส่สิ่งที่พอจะใช้ได้ทั้งมีดและสิ่งของมีค่าเท่าที่จะหาได้เตรียมตัวเข้าเมือง 

ผลึกแก้วงามสีบุษราคัมสะท้อนภาพของบุคคลตรงหน้าพลางคลี่ยิ้มเศร้าสร้อยดั่งภาพความฝันอันซีดจาง ก่อนจะกระซิบบอกที่ข้างหูนั้นอย่างแผ่วเบา...






"เดี๋ยวข้ากลับมา"


.


.


.






"ไม่ได้! เงินแค่นี้ซื้อไม่ได้หรอก! ข้าบอกไม่ได้ก็ไม่ได้!" 
เสียงโวยวายจากอาอึ้มร้านยาดังขึ้นเป็นครั้งที่สามของวันกับลูกค้าจอมตื้อที่ยังวนเวียนอยู่ในร้านไม่ไปไหน


   อาลีเทของทุกอย่างลงบนโต๊ะทั้งลูกประคำ มีดโลหะบิ่นๆ เศษเงิน หรือแม้แต่เกาะไม้ที่พระใช้เคาะเวลาสวดศพ 


"จะว่าไปข้าไปยินว่าพวกท่านกำลังขาดคนนี่นา ให้ข้าทำงานนั้นก็ได้นี่นะ" อาลีออดอ้อนเสียงหวาน นี่ก็จวนจะเที่ยงแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งเรื่องของการหาอาหารเลี้ยงปากท้องและการหาซื้อยาโดยที่ไม่มีเหรียญทองติดตัวซักเหรียญเดียว

"เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าเนี่ยนะจะขึ้นไปบนถ้ำโอสถ" หญิงมีอายุร่างใหญ่เลิกคิ้วจนเครื่องสำอางปริเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของเด็กเนื้อตัวมอมแมมตรงหน้า ดวงตาคู่เล็กๆจนแทบจะมองไม่เห็นนัยน์ตามองเสื้อผ้าเก่าๆปอนๆและถุงผ้าสกปรกอย่างดูแคลน ก่อนจะเบ้ปากแล้วทำทีจะไม่สนใจนั่งนับเงินในหีบต่อไป


"เห็นแบบนี้แต่ข้าก็มีฝีมือพอตัวอยู่นา ให้ข้าทำเถอะนะ" เด็กสาวในร่างชายหนุ่มยังคงอ้อนวอนด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ย่อท้อแม้ว่าจะโดนมองด้วยสายตาดูหมิ่นเพียงใด 


"ตามใจเจ้า แต่เกิดอะไรขึ้นมาข้าไม่รับผิดชอบด้วยนะ ถ้าเจ้าทำสำเร็จอยากได้ยาพวกนี้ก็เอาไป!"  อาอึ้มผู้ใช้แป้งทาหน้าผิดเบอร์บอกปัดไปอย่างลำคาญใจ เพราะยังไงยังไงก็ต้องการลูกหาบเพิ่มในการไปเก็บยาที่ถ้ำบนเขา ก่อนจะเรียกลูกจ้างไม่สมประกอบทั้งสามที่กำลังจะออกเดินทางให้หยุดรอก่อน 

"นี่เจ้าตาเหล่ เจ้าตีนโต เจ้าคางตูด รอแป๊บนึงสิ พานางหนูนี่ไปกับเจ้าด้วย" 
สิ้นเสียงของอาอึ้มร่างใหญ่ ชายท่าทางไม่สมประกอบทั้งสามก็หันกลับเข้ามามองในร้านเป็นตาเดียว ชื่อเรียกของพวกเขาทั้งสามเป็นไปตามลักษณะที่ปรากฏอยู่บนร่างกายจนน่าตกใจ คนหนึ่งตาเหล่ คนหนึ่งมีเท้าที่ใหญ่มากจนต้องหาหนังสัตว์มาผูกหุ้มเท้าหลายชั้นแทนรองเท้า คนหนึ่งมีทางตูดที่ปูดโปนออกมาผิดปรกติดูน่าเกลียด

"ขอรับเถ้าแก่เนี้ย" ชายผู้มีอุ้งเท้าใหญ่ตอบรับคำ ก่อนอาลีจะหันไปโค้งขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ เรียกได้ว่าเลียแข้งเลียขาของอาอึ้มร้านยาจนมันแผลบ

" พวกเจ้าก็รีบๆไปได้แล้วเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน จำไว้ด้วยล่ะว่าให้กลับก่อนพระอาทิตย์ตก ถ้าพวกเยติเจอเจ้าธุรกิจข้าจะพาลพังไปหมด" เถ้าแก่เนี้ยโปกปัดมือไล่เหล่าลุกจ้างทั้งสามให้รีบออกไปทำงานด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับเสียเท่าไหร่


อาลีรับเสื้อคลุมและอุปกรณ์ปีนเขาจากชายทั้งสามอย่างชื่นมื่น ก่อนจะเดินตามชายประหลาดทั้งสามไปตามถนนหนทางที่ปกคลุมด้วยหิมะไกลสุดลูกหูลูกตา เลาะไปตามภูเขาน้ำแข็งที่ล้อมรอบแคว้นอูกิดั่งปราการที่ไม่มีวันแตกพ่าย

"นี่เจ้าเด็กใหม่ เจ้าชื่ออะไร" ชายตาเหล่หันมาถามอย่างเป็นมิตร 

"ข้าชื่อลีอาแต่พวกพี่ชายจะเรียกข้าว่ามอมแมมก็ได้"

"มอมแมมหรอ? เรียกแบบนั้นก็ดูเหมาะกับเจ้าดีนะ"
ชายอัปลักษณ์ทั้งสามหัวเราะกับใบหน้าเปรอะฝุ่นที่ยิ้มแป้นแล้นขี้เล่นของเด็กสาว ก่อนเจ้าตีนโตจะเดินไปพลางแกะถุงขนมเปี๊ยะที่ห้อยอยู่ที่เอวแบ่งเพื่อนร่วมทาง ว่าแล้วเจ้าตาเหล่กับเจ้าคางตูดก็ทำตามมั่ง ต่างเริ่มเปิดถุงของกินที่ตนเอามาแบ่งกันพลางเดินไปกินไปร้องเพลงข้ามเขาอย่างมีความสุขราวกับว่าจะไปปิ๊กนิกกลางทุ่งลาเวนเดอร์



"อ่ะนี่ เจ้ามอมแมม พวกข้าแบ่งให้เจ้าด้วย" ชายอัปลักษณ์ทั้งสามต่างยื่นของกินที่ตัวเองนำมาใส่มือของเด็กสาวที่พึ่งพบพานด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ถึงแม้รูปกายพวกเขาจะดูอัปลักษณ์น่ากลัวแต่ภายในหาได้อัปลักษณ์ตามรูปกายไม่ ชายทั้งสามที่ดูใส่เสื้อปอนๆไม่ต่างจากอาลีมากนักยังมีกะจิตกะใจแบ่งของกันอันน้อยนิดที่ตนเองพกติดตัวมายื่นให้กับเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมที่พึ่งรู้จัก

อาลีรีบของพวกนั้นมาก่อนจะหยิบชิ้นที่เล็กที่สุดกินชิมไปนิดเดียวแล้วเก็บชิ้นที่เหลือเข้ากระเป๋าไป จนเจ้าตีนโตได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างประหลาดใจ

"เจ้าไม่กินรึ? การปีนเขาต้องใช้กำลังมาก ถ้าไม่ยอมกินเจ้าจะหมดแรงเสียก่อน"

"ข้าคิดว่าจะเก็บไว้ให้..เอ่อ...พี่ชายน่ะ พี่ชายข้ากำลังป่วยหนัก อีกอย่างพวกเราสองคนก็ไม่มีเงินติดตัวเลยต้องอดมือกินมื้อ นานๆทีได้กินขนมบ้างคงจะดีใจ"


เจ้าคางตูดมองมาที่อาลีอย่างซึ้งใจ ก่อนจะพูดถึงเรื่องในครอบครัวอันน่าเศร้า
"เจ้านี่เป็นคนดีจริงๆ น้องชายข้าดีแต่หัวเราะเยาะข้ากลั่นแกล้งข้าสารพัด" ดวงตาสีเข้มมองไปยัง หนทางข้างหน้าอย่างเศร้าสร้อยด้วยน้ำเสียงที่ดูเหงาหงอย

"เจ้าอย่าเศร้าไปเลย ใครๆก็รู้ว่าผู้หญิงน่ะชอบผู้ชายคางตูดหุ่นบึ้กๆ" เจ้าตาเหล่ตบไหล่ของเพื่อนเบาๆเป็นการปลอบใจ ก่อนอาลีจะอมยิ้มให้กับบทสนทนาที่ดูน่ารักผิดกับหน้าตาของทั้งสอง



   อาลีมองทิวทัศน์จากที่สูงหลังจากเดินปีนเขาขึ้นมาได้ระยะหนึ่งนี่ก็ปาเข้าไปบ่ายแล้ว หวังว่าจะกลับลงจากภูเขาได้ทันพระอาทิตย์ตกดินนะ ถึงแม้จะกังวลเรื่องของเยติบนภูเขาที่ชาวบ้านพูดกันบ้างก็ตาม แต่เมื่อลองขึ้นมาแล้วมันกลับเป็นสถานที่ที่สวยงามยิ่งกว่าภาพวาดในม้วนกระดาษเก่าๆที่เคยได้เห็นซะอีก

"ทิวทัศน์ที่มองจากตรงนี้สวยจริงๆ มองเห็นได้ทั้งแคว้นเลย"

"อ่อ เจ้าคงพึ่งเคยมาครั้งแรกสินะ จากตรงนี้เจ้าจะเห็นวังของสัตว์ร้ายได้เลย"เจ้าตีนโตชี้ให้ดูวังสีซีดที่อยู่ไกลลิบๆ ลักษณะของมันคล้ายกับของเจิดจรัสมากแต่มีสีสันไม่ฉูดฉาด ก่อนจะหมุนไหล่เล็กๆให้หันหน้ากลับเข้าเส้นทางเพื่อเดินต่อ

"สัตว์ร้าย? ไม่ใช่ตัวที่อยู่บนเขาหรือพี่ชาย เจ้าเยติอะไรนั่น" ใบหน้ามอมแมมดูไม่ได้หันไปถามอย่างฉงน

"อะไรนี่เจ้าไม่รู้หรอกรึ!?" เจ้าตาเหล่หันมาพูดอย่างตกใจเล็กน้อย

"ใครๆก็รู้กันว่าพลังของสัตว์ร้ายต้องมนต์ช่วยขับไล่พวกเยติไม่ให้ลงมาทำร้ายคนในหุบเขา"

อาลีทำสีหน้าครุ่นคิด 'เยติ' ไม่ได้มีแต่ในนิทานหรอกรึ? แต่จะว่าไป ดอกไม้กินคนกลางทะเลทรายยังมีได้เลยนี่นา มนุษย์หิมะเยติก็คงจะมีจริงล่ะมั้ง แต่เรื่องสัตว์ร้ายขับไล่เยติได้นี่ไม่เคยได้ยิน ไม่ใช่ว่าเป็นคริสตัลวิเศษที่ช่วยขับไล่เยติหรอกหรอ?
"สัตว์ร้ายนี่หน้าตาเป็นยังไงหรอ ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องสัตว์ร้ายขับไล่เยติมาก่อนเลย ต่างฝ่ายต่างก็เป็นสัตว์ร้ายอะไรแบบนี้หรอ พอสัตว์ร้ายตัวหนึ่งฉี่ลงบนที่บนหุบเขาเลยทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าใกล้หรอ?"(นั่นมันหมามั้ยล่ะ)



"ฮ่ะฮ่าๆๆ เจ้านี่ไม่ฉลาดเหมือนหน้าตาเลยนะ"


อาลีมุ่ยหน้าทันทีเมื่อจู่ๆภาพของใครบางคนที่ชอบด่าเขาโง่ก็ผุดขึ้นมาในหัว ใครบางคนที่ตอนนี้กำลังนอนไม่ได้สติอยู่คนเดียวในวัดซอมซ่อ



"ชาวบ้านอย่างเราๆเรียกว่าสัตว์ร้ายต้องมนต์ เพราะว่าราชวงศ์ที่ปกครองแคว้นอูกิมีร่างแปลงเป็นสัตว์ร้ายสีเงินได้ยังไงล่ะ แถมพวกเขายังมีเวทมนต์แกร่งกล้าว่ากันว่าหยั่งรู้อนาคตได้เลยนา"เจ้าคางตูดบรรยายเรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองในหัวอันน้อยนิดด้วยความภาคภูมิใจ

"เรื่องเวทมนต์น่ะข้าไม่สนใจหรอก แต่ข้ารู้มาอย่างนึงว่าพวกเขาน่ะมีรูปโฉมงามอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์กันทุกคน ใครได้มองตาเป็นต้องเชื่อฟังแต่โดยดีดั่งต้องมนต์สะกด" เจ้าตาเหล่พูดด้วยดวงตาเคลิ้มฝันก่อนจะโดนเจ้าตีนโตตบผลั่วเข้าให้ ดับฝันของหนุ่มวัยกลัดมัน

"งั้นข้าว่าเจ้าเป็นคนหนึ่งล่ะที่รอดพ้นจากมนต์สะกดของพวกสัตว์ร้าย เพราะพวกเขาไม่กล้ามองตาเจ้าไงล่ะ ฮ่าๆๆๆ"

อาลีและคนที่เหลือหัวเราะรวนไปตามกันก่อนจะค่อยปีนป่ายไปตามผาแคบๆเพื่อเข้าไปยังถ้ำโอสถ ทางนั้นทั้งเล็กทั้งแคบ แต่ดูปลอดภัยและกว้างมากกว่าทางบนผาคีตาสิ้นสุดที่เขาเคยปีน ทางแค่นี้สำหรับอาลีแล้วถือว่าเป็นแค่การเดินเล่นเท่านั้น 



  ทั้งสี่เดินเข้ามายังถ้ำที่ด้านในควรจะแข็งเป็นน้ำแข็งเกาะ แต่กลายเป็นว่าด้านในกลับอบอุ่นและเต็มไปด้วยพืชแปลกๆมากมายหลายชนิด

"ถ้าหนนี้เจอหญ้าพันปีก็ดีเนอะ อาจจะได้เงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีกก็ได้" เจ้าตีนโตพูดก่อนจะเริ่มลงมือทำงานเก็บสมุนไพรตามที่เถ้าแก้เนี้ยสั่งเอาไว้


"หญ้าพันปี ที่ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วใช่มั้ย?"
อาลีหูพึ่งหลังจากได้ยินคำพูดถึงหญ้าหายาก

"ใช่ เขาว่ามันอยู่ในถ้ำโอสถเนี่ยแหละ แต่ลึกเข้าไปอีก เราไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกเอาไปเท่าที่ทำได้ก็พอแล้ว" เจ้าตีนโตตอบไปพลางมือก็เก็บเกี่ยวสมุนไพรตามที่ได้รับมอบหมายมาไปพลาง "คราวที่แล้วเจ้าลูกจ้างคนก่อนมัวแต่หาเจ้าหญ้านี่เพราะจะแอบเก็บเอาไปขายเกร็งกำไร แต่สุดท้ายก็กลับไม่ทันอาทิตย์ตก กลายเป็นอาหารค่ำเยติไป เจ้าเองก็อย่าทำอะไรแพลงๆดีกว่านะเจ้ามอมแมม"



"หญ้าพันปีหรือจะสู้หญ้าจิ้งจอก ถ้าข้าเจอนะจะเอาไปผสมในน้ำวางยาให้น้องสาวอาฮัวที่ขายปลาในตลาด แล้วนางก็จะตกเป็นของข้าว่ะฮ่าๆๆ" เจ้าคางตูดพูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะชั่วร้าย

"เจ้านี่ทำแบบนั้นเสียของหมด หญ้าจิ้งจอกต้องเอาไปผสมในเหล้าที่ใช้ถั่วเหลืองหมักถึงจะให้ผลดีชะงักนัก"เจ้าตาเหล่หัวเราะในลำคอก่อนจะพูดไปขณะที่มือยังทำงานขมักเขม่น


 "หญ้าจิ้งจอกอะไรหรือ?" อาลีหันหน้าไปมองอย่างไม่เข้าใจ

"เจ้ามอมแมมเจ้านี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ถ้าเกิดเจ้าให้ใครกินหญ้านี่เข้าไปมันจะทำให้เขาเป็นทาสรักของเจ้าตลอดไป ตลอดไป ตลอดไป (ㅎ∀ㅎ) ~"

ตีนโตส่ายหัวให้กับความไร้สาระของคางตูด ก่อนจะพูดอธิบาย
"ความจริงแล้วหญ้าจิ้งจอกมันมีพิษตกค้างในร่างกายที่ทำปฏิกิริยากับพืชประเภทถั่วเหลืองเท่านั้นแหละ ช่วยสร้างอารมณ์กำหนัดเสริมสมรรถภาพทางเพศ ว่ากันว่ายายแก่ๆกินไปยังฟิตปั๋งคึกอย่างกับสาววัยรุ่น"


"อีกอย่างมันขึ้นบนภูเขาสูงที่มีหิมะปรกคลุมแถมต้นยังมีสีขาวอีกหายากไม่ใช่เล่น เอาไปขายยังจะคุ้มซะกว่า" ตาเหล่พูดเสริมพลางยักไหล่ ก่อนจะก้มลงไปขุดคุ้ยบริเวณพุ่มไม้ทึบ



'ตุ้บ!'



"ว้าก! ช่วยด้วย! ดึงข้าขึ้นไปที!"

อาลีรีบวิ่งไปตามเสียงที่อยู่ไม่ไกลนักก่อนตีนโตจะเดินเข้ามาส่องตะเกียงไฟ ก็ต้องพบว่าเจ้าตาเหล่หัวทิ่มตกลงไปยังโพลงตื้นๆ
"ทำอะไรของเจ้าเนี่ย! เจ้ามอมแมมหย่อนเชือกดึงเจ้าตาเหล่ขึ้นมาหน่อยซิ"

อาลีหย่อนเชือกลงไปดึงตัวเจ้าตาเหล่ที่ล้มไม่เป็นท่าขึ้นมา ก่อนจะสังเกตเห็นต้นหญ้าต้นเล็กๆใต้แสงสลัวๆของตะเกียงที่แบนติดพื้นเป็นกล้วยตากเนื่องจากโดนทับ มีกลิ่นอันเป็นลักษณะจำเพาะโชยออกมาตุๆจนต้องย่นจมูก

"นั่นมันหญ้าพันปีนี่!!!"
อาลีตะโกนลั่นก่อนชี้ลงไปยังพุ่มหญ้าใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง ก่อนตีนโตจะหย่อนตะเกียงลงไปส่องไฟอย่างระมัดระวังและพบว่าในโพรงนั้นมีบริเวณกว้างพอสมควรชอนไชออกไปอีกใต้พื้นหินอีกทั้ง ยังเต็มไปด้วยหญ้าพันปีขึ้นรกเต็มไปหมด

"นี่มันขุมทรัพย์ชัดๆเลย ขายทั้งหมดนี่เราคงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ"
ร่างบางมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาระยิบระยับดั่งเห็นแก้วแหวนเงินทองล้ำค่า

"คงไม่ได้หรอก เจ้าหัดเคารพธรรมชาติมั่งสิ! ต้องเลือกเก็บเฉพาะต้นแก่ๆไม่งั้นในวันหน้าเราจะไม่มีหญ้าพันปีให้เก็บ ยิ่งช่วงที่มีสงครามพวกนี้ยิ่งเป็นที่ต้องการ ยิ่งขายได้แพง!"เจ้าตาเหล่ที่พึ่งปีนขึ้นมายังคงพูดถึงเงินอย่างเลือดขึ้นหน้า

"เจ้ามอมแมมเจ้าตัวเล็กสุดเจ้าลงไปเก็บแล้วกัน"
เจ้าตีนโตออกความเห็น ก่อนที่จะมองหน้ากันแล้วพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง 

อาลีปีนป่ายไปตามชั้นหินอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่กี่อึดใจก็ลงมาถึงด้านล่างของโพรงก่อนจะเริ่มลงมือเก็บเกี่ยวสมุนไพรหายาก มุดไปตามช่องแคบที่ชอนไชไปทั่วพื้นผิวถ้ำ โดยมีชายผู้เก็บสมุนไพรเลี้ยงชีพทั้งสามพลัดกันส่องไฟส่งแรงใจช่วยอยู่ปากโพลงหิน จนลืมเวลาว่าล่าช้าจากกำหนดการมามากเพียงใด กว่าจะพากันหอบต้นหญ้าสมุนไพรนานาชนิดออกมาได้ก็ปาไปเกือบมืดค่ำแล้ว 



     ทั้งสี่มองท้องฟ้าที่ฉาบย้อมด้วยสีส้มแสดอย่างหวาดหวั่น หากลงจากหุบเขาไม่ทันคงจะเกิดเรื่องไม่ดีแน่ แม้แต่อาลีที่เป็นเด็กใหม่ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนรนและความกลัวที่แสดงออกมาจากสีหน้าของเพื่อนร่วมทางทั้งสาม ใช่ว่าเขาไม่เชื่อหรอกนะ แต่เจ้าคางตูดที่เดินอยู่หลังสุดมันเริ่มสวดอภิธรรมแล้ว!! เป็นลางไปมั้ย! หยุดสวดเลยนะโว้ยยย ถ้าเกิดเยติมันโผล่มาจริงๆข้าจะให้หลวงพ่อโคเอนไปสวดอภิธรรมหน้าศพแก!!!

"นี่คางตูด เจ้าเลิกสวดมนต์งึมงำเถอะ อีกอย่างนี่มันยังไม่มืดซักหน่อยทำไมถึงได้กลัวกันขนาดนั้น" อาลีพูดขึ้นมาก่อนจะประสาทเสียไปกับเสียงสวดมนต์ขาดๆห้วงๆนั่นที่ทำให้บรรยากาศตอนผ่านอุโมงค์น้ำแข็งย่ำแย่ลงไปอีก

"ดูท่าไม่ดีเลย..." เจ้าตีนโตมองลมที่จู่ๆก็พัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังผ่านอุโมงค์มาเพื่อเดินต่อไปยังป่าน้ำแข็งที่อยู่ตีนเขา 


"นี่มันแย่มาก แย่มากๆ" เจ้าตาเหล่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาประสาทเสียไปก่อนอาลีเสียอีก ชายตาเหล่เร่งฝีเท้าไม่สนเพื่อนทั้งสองที่เดินงุ่มง่ามสะพายย่ามใบใหญ่ หลังจากเห็นลมพายุเริ่มก่อตัวบดบังทัศนวิสัยด้านหน้า จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรในระยะทางสองเมตรข้างหน้า ยังไม่ทันที่จะมีใครส่งเสียงห้ามปราม ร่างกายผอมกร่องก็หายเข้าไปในพายุสีขาว




"อ้ากกกกกก!!!"




เสียงร้องดังลั่นเรียกให้ฝีเท้าของทุกคนหยุดชะงัก ก่อนที่เจ้าตีนโตผู้เป็นเหมือนกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุดในที่นี้จะหันหลังกลับไปทางเดิมเพื่อหาทางอ้อมลงไปยังหมู่บ้าน

"เดี๋ยวก่อน! เราจะทิ้งเขาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!"
ร่างบางคว้าแขนของคนข้างๆเอาไว้สุดแรงมองใบหน้าที่เรียบเฉยอย่างหน้าตกใจของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปมองเจ้าคางตูดที่หดหัวกลับเข้าไปในอุโมงค์ด้วยเนื้อตัวสั่นกลัว

"เราจะอ้อมไปทางอื่น"เจ้าตีนโตกล่าวเรียบๆก่อนทำท่าจะสะบัดมือที่เกาะเกี่ยวแขนของตนเองออกในขณะที่เสียงของเจ้าตาเหล่ยังคงร้องโหยหวนเรียกให้ช่วยด้วยน้ำเสียงที่เบาบางลงไปเรื่อยๆจนกลืนไปกับเสียงลม

"พวกเราต้องช่วยเขานะ แบบนี้เจ้าตาเหล่ตายแน่ๆ" อาลียังคงรบเร้าด้วยสีหน้าแตกตื่นกับสถานการณ์ที่ไม่รู้ถึงความเป็นไป ขณะที่ชายตรงหน้ายังคงมีสีหน้าสงบนิ่งก่อนมือเรียวบางจะถูกสะบัดออกอย่างแรง!!!

"!?"

"เจ้านั่นมันอยากโง่เดินทะเล่อทะล่าออกไปเอง ปล่อยให้มันล่อเยติไปขณะที่เราหนีน่ะดีแล้ว!"

"ฮะ..."
อาลีแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองก่อนจะหันไปมองเจ้าคางตูดเพื่อขอความคิดเห็นที่สอง แต่ใบหน้านั้นก็กลับเบนหันออกไปทางอื่นไม่คิดจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำในขณะที่พายุวิปลาสยังคงพัดโหมกระหน่ำเบื้องหน้า

"โชคดีที่ย่ามใส่หญ้าพันปีอยู่กับข้า ไปเถอะ" 
อาลีแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เมื่อชายตรงหน้าตัดสินใจทิ้งชีวิตเพื่อนตนเอง ด้วยคำพูดที่ง่ายดายราวกับปลิดใบชาทิ้งออกจากก้าน



พวกเขาไม่ใช่เพื่อนกันหรอกหรอ?
เพื่อนที่แบ่งปันขนมและร้องเพลงร่วมกันเมื่อตอนบ่ายนั้น ไม่ได้สะท้อนอยู่ในแววตาที่เย็นชาของชายพวกนี้แม้แต่น้อย ดวงตาคู่นั้นชวนให้นึกถึงสายตาของพี่ชายต่างมารดาที่มองมายังเขา ในทุกๆครั้งสะท้อนเพียงภาพที่บิดเบี้ยวดั่งกระจกเงาที่แตกร้าว

มือเรียวทำได้แต่กำแน่นจนรู้สึกได้ถึงปลายเล็บที่จิกฝังลงบนเนื้อ ทุกครั้งที่อับหมัดมองมายังเขา มันเจ็บปวด... เจ็บปวดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาเกลียดสายตานั่นแค่ไหน

เกลียดทุกภาพที่สะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้น!




"พวกเจ้ามันขี้ขลาด..."


"หืม...แล้วเจ้าคิดว่าถ้าพวกเราเข้าไปช่วยมันแล้วจะรอดออกมาได้งั้นหรอ อย่าทำเป็นพูดจาโลกสวยไปหน่อยเลย เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเจอกับอะไร"
ชายผู้มีรูปร่างเท้าผิดแผกอัปลักษณ์หันกลับมาพูดอย่างลำคาญใจก่อนจะทิ้งให้คนตัวเล็กยืนกัดฟันแน่นอยู่ที่ปากอุโมงค์

ร่างบางกระชับกระเป๋าย่ามเก่าๆของตนเองแน่นก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในพายุวิปลาสที่พัดโหมอย่างบ้าคลั่งราวกับอณาเขตแห่งความตาย แม้ว่าเจ้าคางตูดมีท่าทีจะห้ามแต่ก็ไม่ทันที่เสียงจะเปล่งออกจากลำคอแผ่นหลังและไหล่บางนั่นก็หายไปเสียแล้ว

.
.
.


"อยู่ไหนน่ะ!"


"เจ้าตาเหล่!!!"


อาลีเดินฝ่าที่พัดแรงจนแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ แม้ว่าจะได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย แต่มันก็ก้องสะท้อนเสียจนจับจุดไม่ถูก อย่าว่าแต่จะเห็นเยติเลย แค่ทางข้างหน้ายังไม่เห็นเงาตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมตอนที่เยติอออกมามันจะต้องมีพายุหิมะเป็นเอฟเฟคประกอบด้วย!? แค่ช่วงโพล้เพล้แบบนี้ก็เห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว

"อ่ะ..."

ฉันก้มลงมองขาของตัวเองที่ลอยอยู่เหนือพื้น เมื่อพึ่งรู้สึกได้ถึงตะเข็บเสื้อที่รั้งตึงแน่น ก่อนจะค่อยๆหมุนคอหันไปมองด้านหลังช้าๆ เจ้าตาเหล่มันคงไม่สูง2เมตรหรอก ใช่มั้ย!!!!

เบื้องหน้าของดวงตาสีอรุณคู่สวยนั้นเห็นเพียงแผงขนสีขาวตลอดแนวด้านหลังของตน ก่อนจะถูกเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับกองหินหรือน้ำแข็งอะไรซักอย่าง แต่ที่แน่ๆคือมันเจ็บใช้ได้เลย
"อั่ก.."

นี่มันไม่กินเราหรอกหรอ? แล้วเจ้าตาเหล่มันหายไปไหนกัน?

ฉันสะดุดเห็นกองหิมะนูนสะดุดตาใกล้ๆกับกระเป๋าย่ามของตัวเองที่ถูกเหวี่ยงปลิวไปอีกทิศหนึ่ง กองหิมะที่คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นรูปร่างของคนที่นั่งขดตัวจมอยู่บนพื้นหิมะหนา?
"เจ้าตาเหล่!!!"


สิ้นเสียงเรียกเจ้าก้อนหิมะใหญ่นั่นก็ขยับยุกยิกก่อนหัวและใบหน้าอันคุ้นเคยจะผุดออกมาจากที่กำบังตอบรับเสียงเรียกนั้นอย่างแผ่วเบา
"เงียบน่า เดี๋ยวก็ตายหรอก!"


"เจ้าต่างหาก ขดอยู่แบบนั้นก็หนาวตายเป็นอาหารเยติแช่แข็งเหมือนกัน" 
ฉันมองการกระทำโง่ๆที่เหมือนฆ่าตัวตายนั่น กว่าเยติจะไปคงได้แข็งเป็นไอติมก่อนพอดี

"หุบปากน่า!!!"


      ฉันหุบปากทันทีเมื่อเห็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีผิวกร้านสีดำเหมือนถ่านตัดกับขนปุกปุยสีขาวปรอทตัวสูงกว่าตัวเองสองเท่าตัวหยุดยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าตาเหล่ หน้าของมันคล้ายลิงตัวใหญ่ที่มีดวงตาสีดำกลมโตเหมือนเม็ดลำไยกับขนตาฟรุ้งฟริ้งเหมือนเพิ่งไปต่อเพิ่มมาจากร้านเสริมสวยครบวงจร ที่มีบริการสักคิ้วสามมิติ ทำเล็บ ต่อขนตา แต่ส่วนที่ทำให้มันดูน่ากลัวมากที่สุดก็คงจะเป็นเล็บที่ยาวแหลมนั่น หากโดนตะปบที่เดียวร่างคงได้แหลกเป็นชิ้นแหงมๆ

สัตว์ร้ายตัวใหญ่สีขาวมองกองหิมะตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะใช้เล็บยาวของมันเกี่ยวกับกระเป๋าย่ามสมุนไพรใบใหญ่ที่โผล่พ้นออกมาจากหิมะจนเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือมันเกี่ยวร่างของคนที่ซ่อนตัวอยู่ขึ้นมาด้วย จนเจ้าตาเหล่ที่คิดว่าร่างกายตัวเองเป็นแมวน้ำอุ๋งๆทนสภาพอากาศหนาวติดลบบาดขั้วปอดได้ดิ้นสุดชีวิตให้หลุดพ้นจากย่ามสะพายก่อนลงไปกองแผละกับพื้นเพราะกล้ามเนื้อชาเสียจนไม่มีเรี่ยวแรงจะกระดิกปลายเท้า
"ซะ..ซวยล่ะ"

ขาที่อ่อนเปลี้ยพยายามจะขยับถอยหนีสุดชีวิต แต่ก็เปล่าประโยชน์เมื่อโดนฝ่าเท้าใหญ่เหยียบทับไว้จนหน้าจมลงไปกับพื้นหิมะหนา 


"เฮ้! ทางนี้!!!" 
ฉันตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขว้างหินไปโดนหัวเจ้าลิงขนตาฟรุ้งฟริ้งอย่างแรง โดยที่ไม่ได้ทันคิดว่าตัวเองไม่มีอาวุธอะไรเลย 

ซวยล่ะ!!! มันหันมาแล้ว (유∀유|||) แว้กกกกกกกก

ฉันเอามือกุมหงอนสุดรักสุดหวงกลิ้งหลบกรงเล็บพิฆาตที่ตบวืดเฉียดหัวไป0.003มิล แต่ยังไม่ทันที่โลกจะหยุดหมุนก็ต้องพลิกตัวหลบฝ่าเท้าใหญ่ที่มีท่าทีจะเหยียบลงมาอย่างไม่ออมแรง ก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นจากพื้นหิมะอย่างยากลำบากด้วยแรงของพายุที่พัดโหมขึ้นเรื่อยๆ ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยเห็นเจ้าถุงเล็กๆดำๆที่ผูกไว้ที่เอวตัวเองหลุดไปตั้งแต่เมื่อไหน่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้มันกองอยู่แทบเท้าของเจ้าเยติขนตาฟรุ้งฟริ้งนั่น! 

ไม่นะ ขนมเปี๊ยะ!!! อย่าเหยียบนะเว้ยยยยยย



ตุ้บ!


ขนมเปี๊ยะปี้แบนเป็นเศษซากใต้บาทามโหฬารของเจ้าสัตว์ร้ายอย่างเงียบงัน มีแต่เพียงเสียงกรีดร้องของฉันเท่านั้นที่สะท้อนก้อนดังอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา 
"เข้!!!!"

ฉันสะบัดเรื่องขนมเปี๊ยะออกจากหัวก่อนจะต้องอาศัยทักษะในการกลิ้งหลบอันเชี่ยวชาญที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กอีกครั้ง เมื่อเจ้ายักษ์ตรงหน้ามันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


"ไม่มีวิธีที่เร็วกว่ากลิ้งหล...อั่ก!!!"
ร่างบางที่ธรรมดาก็แทบจะพยุงตัวไม่อยู่ อยู่แล้ว โดนท่อนแขนทรงพลังของสัตว์ร้ายหวดจนตัวลอย ก่อนดวงตาสีอรุณวาวโรจน์จะกระตุกวาบในขณะที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับเป็นชั่วโมงยาวนานนั้น...



ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเราถึงได้ไม่รู้สึกตัวเลย!?


'มันไม่ได้มีตัวเดียว!!!'

เล็บยาวน่ากลัวของเจ้าสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างบึกบึนกว่าตัวแรกเกี่ยวเนื้อเสื้อผ้าหนาจนขาดรุ่งริ่ง ทำเอาผิวเนียนปรากฏรอยแดงที่มีเลือดไหลซิบ ฉันรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกผ่านรอยขาดของเนื้อผ้าและความเจ็บปวดเมื่อปากแผลกระทบเข้ากับอากาศเย็น แต่เมื่อเทียบกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว

ไม่อาจเทียบกันได้เลย



มันจะต้องมีอะไรซักอย่างสิ! อะไรซักอย่าง! อะไรซักอย่างที่ทำให้พ้นจากตรงนี้ไปได้!

ในตอนนี้ฉันก็นึกถึงคำพูดของเจ้าคนขี้ขลาดพวกนั้นที่ทิ้งเพื่อนของตัวเองไปอย่างง่ายดายขึ้นมาได้ คำพูดของเจ้าตีนโตโหมซัดกระหน่ำทิฐิของตัวฉันราวกับคลื่นพายุลูกใหญ่

ใช่แล้ว..มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ ตัวของฉันมันไม่รู้อะไรซักอย่างเดียว
ช่างโง่เขลาเหลือเกิน...


...เจ้าโง่...



"โถ่เว้ย!" ร่างกายเล็กๆกระโดดหลบการเคลื่อนไหวอืดอาดของมนุษย์หิมะเยติอย่างว่องไว น่าแปลกที่การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้าขนาดนี้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้วล่ะ

อาลีขยับหลบไปเรื่อยจบเท้าและขาเริ่มอ่อนแรง ในขณะที่คิดหาวิธีที่จะเอาตัวรอดออกไปจากที่นี่โดยที่เอาเจ้าตาเหล่ไปด้วย เสียงของใครบางคนก็ดังก้องขึ้นในหัว กับคำพูดที่พูดเป็นประจำจนแทบจะเป็นคำติดปากของคนบางคน คนบางคนที่ไม่ปริปากพูดอะไรที่บาดหูกวนประสาทให้ยินตั้งแต่เมื่อวาน เอาแต่นอนเงียบนิ่งจนน่าใจหาย


น่าแปลก... ในตอนนี้ฉันกลับอยากจะได้ยินพูดพวกขึ้นมา
มันน่าแปลกจริงๆ ในตอนนั้น ตอนที่แผ่นหลังกว้างสั่นคลอนลง
ฉันกลับไม่อยากอยู่คนเดียว...



"ถ้าฉันไม่กลับไปล่ะก็...ใครจะหยอดน้ำข้าวให้เจ้าบ้านั่นล่ะโว้ย!!!" 
ร่างเล็กรวบรวมพลังตะโกนออกไปสุดเสียงจนเจ้าสัตว์ร้ายหยุดนิ่ง ใบหน้างงงวยของพวกมันราวกับต้องการจะสื่อว่า 'เจ้ามนุษย์นั่นมันพูดอะไรของมัน' จนสังเกตได้



'จังหวะนี้แหละ!!!'

"เจ้าตาเหล่โยนมีดในย่ามมาให้ข้า!"


เจ้าตาเหล่ที่นั่งเงอะงะก็สะดุ้งค้นหาสิ่งของในกระเป๋าย่ามด้วยความไวแสงก่อนจะปาสิ่งของในย่ามเก่าๆไปเข้ามือของอาลีอย่างเหมาะเจาะราวกับนักส่งหนังสือพิมพ์มืออาชีพ



"ข้าจะต้องกลับไปให้ได้!"
ดวงตาสีทองคำปลั่งจ้องมองเข้าไปในตาของเจ้าสัตว์ร้ายเขม็งราวกับศึกดวลเดือด ที่เดิมพันด้วยชีวิต ต่างฝ่ายต่างประสานตากันนิ่งไม่ไหวติง โดยเฉพาะเจ้าสัตว์ร้าย นิ่งเสียจนอาลีมีเวลาที่จะชะโงกหันไปมองเจ้าตาเหล่ที่นั่งพับเพียบเป็นนางทาสอยู่กับพื้น

"แล้วเจ้ามัวทำอะไร หนีสิโว้ย! ไป!!!"


"น่ะ..นั่น...ที่มือเจ้า"


"มือข้า? มือข้าทำไม?"
ฉันหันกลับมามองมือของตัวเองที่เย็นจนชาไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ก่อนจะรู้สึกอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆกันขึ้นมา บางทีที่เจ้าสัตว์ร้ายมันหยุดนิ่งไม่ไหวติงอาจจะเป็นเพราะสมเพชในความโง่ของฉันก็เป็นได้...




"โยนลูกประคำมาทำโคยอะร๊ายยยยยยยยยยย ใช้หมองนั่งสมาธิหรอ!!!"


ในขณะที่ฉันหันไปตะโกนใส่เจ้าตาเหล่ ก็รู้สึกได้ถึงลมที่เปลี่ยนทิศและพายุที่ค่อยๆเคลื่อนออกไปพร้อมๆกับเยติขนตาฟรุ้งฟริ้งทั้งสองตัว มันเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็วหายเข้าไปในหุบเขาสูงจนน่าตกใจ พวกมันเร็วมาก เร็วพอๆกับพายุที่พัดรอบตัวของมัน


นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย... 

"ลูกประคำนี่มันไล่เยติได้?"


ช่างเถอะ ก็ดีแล้วแหละ...
เข่าของฉันแทบจะทรุดลงกับพื้น พ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาวด้วยความโล่งอกก่อนจะเดินเข้าไปดึงเจ้าตาเหล่ที่ยังนั่งสั่นพั่บๆจนกล้ามเนื้อแทบจะบวมปูดขึ้นมาให้ลุกยืนขึ้น

"ขะ..ขอบใจมากนะเจ้ามอมแมม"

"รีบลงจากเขาก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะเปลี่ยนใจกลับมางาบหัวพวกเราจะดีกว่า"
ร่างบางพยุงร่างกายของชายตาเหล่ผู้ไร้เรี่ยวแรงก่อนอีกมือจะคว้าย่ามที่มีทรัพย์สินจิ๊ดจ้อยของตนเอง(วัด)ขึ้นมาสะพาย

"เจ้ามาคนเดียวหรอ?" เจ้าตาเหล่ถามด้วยน้ำเสียงที่ติดสั่นเล็กน้อยด้วยอากาศที่เย็นลงในยามค่ำบวกกับร่างกายที่ถูกหิมะกัดบางส่วนเพราะความคิดอุตริของเจ้าตัวเอง ที่คิดว่าตัวเองมีหนังและชั้นไขมันหนาเป็นน้องแมวน้ำอุ๋งๆซุกในกองหิมะนั่นแหละ


"ใช่"
อาลีตอบกับไปเรียบๆโดยที่ไม่อยากจะพูดอะไรต่อมากนัก เขาไม่อยากจะพูดถึงการกระทำน่ารังเกียจของสองคนนั่นแม้แต่น้อย แต่ก็อดที่จะรู้สึกเจ็บใจไม่ได้ที่ในตอนนั้นคำพูดของเจ้าตีนโตมันแล่นเข้ามาในหัว 


"ข้าก็คิดไว้แล้วต้องเป็นอย่างนี้..หึ" เจ้าตาเหล่ก้มหัวลงก่อนจะเค่นเสียงหัวเราะในลำคอที่ฟังแล้วเหมือนกับเสียงร้องไห้เสียมากกว่า จนอาลีได้แต่มองไปทางอื่นอย่างสังเวชใจ


ทั้งๆที่ดวงดาวคืนนี้ส่องสว่างไสวขนาดนี้
แต่เสียงร้องไห้และหยาดน้ำตานั้นมากมายกว่านัก


"รู้อะไรมั้ย ข้าเองในตอนนั้นก็คิดที่จะทิ้งพวกเจ้า วิ่งเข้าไปในพายุแบบนั้น ข้านี่มันโง่จริงๆ" เจ้าตาเหล่ปาดน้ำตากับขู้มูกที่แห้งเกรอะกรังเต็มหน้าหลังจากเดินเข้ามาถึงหมู่บ้านและหยุดฟูมฟายจนพูดภาษาคนได้ชัดๆ

"แต่ก็กลับเป็นพวกนั้นที่ทิ้งข้า มันก็สมควรแล้วล่ะ ฮ่ะๆ" อาลีมองแสงไฟที่ลอดออกมาจากบ้านเรือนของผู้คนพลางฟังเสียงหัวเราะอันเศร้าสร้อยนั่นไปพลาง "ในเวลาที่มืดมิดที่สุดแม้แต่เงาของข้ายังหนีหาย ข้าคิดถึงคำพูดพวกนี้ตลอดเวลาเลยในตอนนั้นน่ะ แต่แล้วก็กลับเป็นเจ้า เป็นเจ้าลีอา... "


"ในเวลาที่มืดที่สุด แม้แต่เงาก็ยังหายหัวหรอ?"
เจ้าตาเหล่มองคนที่ประคองตัวเองพูดพึมพำบางอย่างพร้อมกับมองไปด้านหน้าราวกับไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย 

"เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรอ?"


เสียงนั่นปลุกอาลีให้ตื่นจากห้วงความคิด ก่อนจะรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายของตนเองแล้วตอบกลับไปอย่างรีบๆ
"ขนมเปี๊ยะน่ะ มันถูกเยติเหยียบซะเละเลย"

"ห๊ะ เจ้าควรจะดีใจนะที่เป็นขนมเปี๊ยะไม่ใช่หัวเจ้า เจ้านี่แปลกคนจริงๆ" เจ้าตาเหล่พูดขึ้นพลางคลี่ยิ้มหลังจากผ่านพ้นฤดูฝนภายในใจ แม้ว่ามันจะยังพรำอยู่จนใบหน้าเปียกปอนก็ตาม แต่ก็เหมือนว่าเขาจะกลับมายิ้มได้อีกครั้งแล้ว


   ไม่นานนักทั้งสองก็กลับมาถึงร้านขายยา ที่มีอาอึ้มเจ้าของร้านยืนเท้าสะเอว ใบหน้าเครื่องสำอางปริลอกทันทีที่เห็นพวกเขาทั้งสอง พร้อมกับเจ้าตีนโตที่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง และเจ้าคางตูดที่มองมาทางเขาหน้าซีดเซียวอย่างตกตะลึง พร้อมกับคนที่ทำงานในร้านยาอีกสองสามคนเองก็ยืนอยู่ด้วย

"พวกเจ้าอยู่นี่เอง ยังมีหน้ากลับมาอีกนะ" เสียงแหลมบาดแก้วหูแผดเสียงดังเหมือนกับห่านป่า ทำให้พวกเขาทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว


...แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย...


"เกิดอะไรขึ้นหรอขอรับ" เจ้าตาเหล่ทำได้เพียงถามกลับไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ก่อนอาอึ้มวัยใกล้หมดประจำเดือนจะทำท่าทำทีกระฟัดกระเฟียด 

"เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ! ข้ารู้จากเจ้าตีนโตหมดแล้ว เจ้าสร้างเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวร่วมมือกับเจ้าเด็กเหลือขอนั่นแอบขโมยหญ้าพันปีแล้วคิดจะหนีไปคนเดียวใช่มั้ย! แต่เจ้าก็ยังกลับมา ตีหน้าไขสือ!"


อาลีขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะมองไปยังชายอัปลักษณ์ทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังของหญิงแก่ร่างท้วม ด้วยนัยน์ตาที่แทบจะลุกโหมเป็นพายุเพลิงแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งโกรธ ทั้งเกลียดเสียจนแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย 
"ไม่จริงๆ! พวกข้าต่างหากที่ถูกทิ้งไว้กลางพายุแทบจะเอาชีวิตไม่รอด!"


"พวกเจ้า..."
ตาเหล่ที่แทบจะยืนไม่อยู่แล้วผละออกจากอาลี ก้าวขาทุกก้าวที่ก้าวออกไปข้างหน้าราวกับจะล้มลงทุกเมื่อ ขอบตาของเขาเอ่อรื้นเต็มไปด้วยน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอีกครั้ง ทั้งที่รอยคราบเดิมยังไม่ทันจะจางหายไป มือหยาบกร้านของกรรมกรที่ทำงานหนักคว้าคอเสื้อของชายผู้หนึ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเรียกว่า 'เพื่อน'

"พวกเจ้าทิ้งข้าให้ตายอยู่บนภูเขานั่น แล้วพวกเจ้ายัง! พวกเจ้ายัง!...ฮึก"


"เลิกโกหกเถอะ" เจ้าตีนโตปัดมือนั้นทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใยจนอีกฝ่ายล้มลงไปกับพื้นด้วยขาที่หนาวสั่นไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะย่อตัวลงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายที่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหน้าสมเพชโดยที่เจ้าตาเหล่ไม่ทันระวังตัวเอง

"เห็นมั้ยเถ้าแก่เนี้ย เจ้าตาเหล่มันแอบยักยอกผลประโยชน์ของร้านเอาไว้กับตัวจริงๆ" เจ้าตีนโตยื่นหน้าพันปีให้กับหญิงร่างท้วม ก่อนนางจะทำสีหน้าโกรธแดงจัดจนควันออกหู


"เจ้ามันสารเลว!!!" อาลีตวาดเสียงดังลั่นจนคนในร้านหันไปมองเป็นตาเดียว ก่อนอาอึ้มร่างท้วมจะมองดวงหน้ามอมแมมสกปรกนั่นด้วยดวงตากร้าว พลางใช้นิ้วชี้หน้ามือสั่นริกๆอย่างเอาเรื่อง

"เดี๋ยวเถอะข้าไม่เอาเรื่องพวกเจ้าก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าว่าแต่เงินเลย ยาซักเม็ดข้าก็ไม่ให้เจ้านังเด็กเหลือขอ! จะไปไหนก็ไป! ออกไปให้พ้นจากหน้าร้านข้า!" อาอึ้มตะคอกจนเครื่องสำอางลอกเป็นแผ่นก่อนจะเดินเข้าร้านไปอย่างหัวเสีย


    อาลียังคงจ้องมองใบหน้าของชายอัปลักษณ์ทั้งสองอย่างไม่วางตา อย่างน้อยเขาก็ขอให้นัยน์ตาที่โกรธเกรี้ยวนี้สลักความรู้สึกเคียดแค้นของเขาลงไปในใจของพวกสารเลวนั่นให้อีกฝ่ายจำแววตาคู่นี้ไปจนตายเถอะ! 

แขนบางที่เรี่ยวแรงเหลือเฟือไม่หน้าเชื่อพยุงคนที่ล้มลงด้วยหัวใจที่แตกสลายขึ้นมา ก่อนจะหันมามองเหล่าลูกหาบที่ยังคงยืนเรียงกันอยู่หน้าร้านแล้วปิดเปลือกตาลง สร้างความฉงนงงงวยให้กับเหล่าผู้คนที่ทำงานอยู่ที่ร้านขายยาแห่งนี้ ก่อนเจ้าคางตูดที่ยืนหลบไม่กล้าสบหน้าจะถามขึ้น ทั้งๆที่เมื่อกี้อีกฝ่ายจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่เลยแท้ๆ

"เจ้าหลับตาทำไม"



"ข้าหลับตาก็เพราะใจของพวกเจ้ามันอัปลักษณ์เกินกว่าจะมองได้"

อาลีเดินกระโตกกระเตกไปพร้อมกับพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเดินจากไปจากหน้าร้านขายยา มีเพียงเสียงลมและความเงียบเท่านั้นที่พัดไล่หลังพวกเขาทั้งสอง...


พวกเขาเดินออกมาไกล ไกลจากร้านขายยาและย่านผู้คนจอแจ
"ขอบใจนะลีอา" เสียงสั่นเครือและแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนอาลีจะค่อยๆพยุงร่างของชายหนุ่มดวงตาพิการให้นั่งลงตรงขั้นบันไดหลังร้านของโรงอาบน้ำที่ปล่อยไออุ่นๆออกมาตลอดเวลา ให้อีกฝ่ายได้นั่งพักหลังเดินกันมาไกลตั้งแต่ภูเขาลงมา ก่อนจะนั่งลงข้างๆของชายหนุ่มผู้พังทลาย

"เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก เจ้าก็แค่โชคร้าย... คิดในแง่ดีสิ บนโลกนี้ยังมีผู้คนดีๆอีกมากมาย เพียงแต่เจ้ายังไม่เคยพบก็เท่านั้นเอง" อาลีลูบแผ่นหลังหงอนั่นอย่างเบามือ

ก่อนเจ้าตาเหล่จะสูดน้ำมูกดังฟืดใหญ่ แล้วปาดน้ำตาเม็ดใหญ่ออกไปพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
"ไม่หรอก ข้าพบแล้วคนหนึ่ง เจ้าไงลีอา" ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตายิ้ม


"มะ ไม่หรอก ข้าน่ะไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นหรอกนะ" 
อาลีปฏิเสธทันควันก่อนที่เจ้าตาเหล่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง จนต้องเกาแก้มแก้เขิน


"เจ้าอาจจะไม่ใช่คนดี แต่สำหรับข้าเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดที่ข้าเคยพบเลย บางทีเราสองคนอาจจะ เริ่มทำความรู้จักกันใหม่..."




"มะ ไม่ด้ายยยย ข้ามีสามีแล้...อั้ก"

อาลีกัดลิ้นตัวเอง ก่อนจะใช้มือปิดริมฝีปากอย่างรวดร้าว นี่ฉันพูดออกไปได้ยังง้ายยยยย 
ไม่ใช่ข้าไม่ได้จะพูดแบบนั้น Σ(T□T) ไม่นะ... ไม่เจ้านั่นไม่ใช่ เจ้าบ้าๆๆๆๆๆๆ

"อย่างงี้เอง ข้าเข้าใจล่ะ หวังว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ" เจ้าตาเหล่ที่เหมือนกับว่าโลกของตัวเองพึ่งพังทลายลงเมื่อกี้ยิ้มออกมาอย่างสดใส แม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธแต่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเสียใจหรือผิดหวังเลยแม้แต่น้อย เขากลับรู้สึกเหมือนดอกไม้ตรงกลางอกมันบานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง



"ตายล่ะ! ข้าต้องรีบกลับไปที่วัดแล้ว!" ร่างบางลุกพรวดขึ้นก่อนจะถูกมือหยาบรั้งเอาไว้


"เจ้าอยู่ที่วัดร้างงั้นหรอ? หรือว่าเจ้าก็คือผู้หญิงที่เป็นภรรยาเก่าติดตามพระแขนพิการออกมาแสวงบุญที่เป็นข่าวลืออยู่ในตอนนี้ใช่มั้ย?"


อาลีแทบจะกลั้นขำไม่อยู่เกี่ยวกับข่าวลือพิลึกพิลั่นของตัวเอง จนได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
"ความจริงแล้วก็ไม่พิการอะไรหรอก แต่ตกเขาลงมาบาดเจ็บน่ะ"

"จริงสิข้ามีหญ้าพันปีพอดี!"

"ดะ เดี๋ยวนะนี่เจ้า"


เจ้าตาเหล่หัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายก่อนจะควักหญ้าพันปีที่ซ่อนอยู่ในกางเกงของตัวเองออกมายื่นให้กับอาลีที่ทำสีหน้าอึ้งๆ

"เดิมทีข้าก็เป็นคนโลภอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าทำให้ข้าเห็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง เอ้า!รับไปสิ" เจ้าตาเหล่ยิ้มสดใส เขาไม่รู้สึกเสียดายเงินทองหรือรู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่ทำแบบนี้

"คือ...ขะ ข้าขอบคุณนะ แต่ว่า..." อาลีรับมาก่อนมองเจ้าหญ้าในมือพลางพูดเสียงอึกอักลำบากใจเหมือนไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงดี

"แต่ว่าเจ้าไม่รู้วิธีใช้?"

ร่างบางพยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนอีกฝ่ายจะหัวเราะชอบใจ
"เจ้านี่ตลกดีนะ ไม่ฉลาดเลย"

อาลีเงยหน้าขึ้นมามองค้อนขวับทันใด หรือก็คือด่าเขาว่าโง่สินะ...

"เจ้าล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวข้าจะกลับไปเอาอุปกรณ์กับของที่ต้องใช้ตามไปที่วัด" เจ้าตาเหล่ลุกขึ้นก่อนจะโบกมือลาเป็นการชั่วคราวแล้ววิ่งออกไปอย่างเริงร่า



"ข้าเองก็คงต้องรีบกลับสินะ..."
อาลีเหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ดวงดาวแปล่งประกายระยิบระยับดั่งกล่องอัญมณี น่าแปลกทั้งที่เมื่อกี้มันยังดูเศร้าอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ดวงดาวพวกนั้นกลับกระพริบอย่างมีชีวิตชีวา

มีเรื่องน่าเแปลกที่ตัวฉันเองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวอีกมาก
อย่างเช่นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกของผู้มอง บางครั้งมันก็สวยงามอย่างเศร้าสร้อย บาครั้งก็รู้สึกอบอุ่นแม้ว่าอากาศจะหนาวเพียงใด แต่ไม่ว่าตอนไหน พวกมันก็ยังคงดูงดงาม ไม่ว่าจะสุข หรือเศร้าก็ตาม ท้องฟ้าฝืนนี้ โลกใบนี้ก็ยังคงงดงาม...


ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยด้วยใจที่พองโต ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงเจ้าบ้าคนหนึ่งที่ยังนอนไม่กระดิกกระเดี้ยวอยู่หน้าเตาผิง ในหัวของฉันคิดถึงภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หลังจากที่โคเอนตื่นขึ้นมาฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังมากมาย

มือบางเปิดประตูบานเก่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มโดยที่ตัวเองนั้นก็ไม่รู้สึกตัวว่ายิ้มออกมาราวกับคนบ้าตลอดเส้นทางกลับ 

"โคเอน..." 

ฉันมองพื้นที่หน้าเตาผิงมอดไฟที่ว่างเปล่านั่นด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เต้นจนรู้สึกหอบเหนื่อย โดยฉับพลันนั้นเองที่ภาพในหัวที่ร่างเอาไว้มากมายก็พลันพังทลายลงมาดังเช่นกระเป๋าย่ามเก่าๆในมือที่ถูกปล่อยทิ้งกองลงกับพื้นไม้



มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!!!! 



"โคเอน!!!!!" 
เสียงตะโกนดังลั่นก้องสะท้อนไปยังห้องว่างเปล่า เรียวนิ้วที่เต็มไปด้วยแผลของหนามพืชทิ่มตำและหิมะกัดสั่นระริก พร้อมกับหัวใจที่โหวงเหวงราวกับแผ่นฟ้าพังทลายลงมา 

ทั้งๆที่เมื่อกี้ท้องฟ้าที่เขามองมันยังสวยงามอยู่แท้ๆ...


ร่างบางหมุนตัวก้าวออกจากห้องเพื่อออกไปสำรวจด้านนอกกลับต้องชะงักเมื่อโดนสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นครั้งแรกที่ตัวเขามีความรู้สึกที่ขัดแย้งผสมปนเปกันจนแทบจะเป็นบ้าตายก็วันนี้ เขาทั้งโมโห ทั้งตกใจ และดีใจไปพร้อมกับขอบตาร้อนผ่าวที่เหมือนกับจะมีน้ำไหลออกมา หรือว่าเขาจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ



"ข้ากลับมาแล้วโคเอน..."



ข้าไม่สนใจอีกแล้วว่าขนมเปี๊ยะจะมีไข่เค็มหรือไม่ หรือเจ้าจะยกไข่เค็มให้ผู้ใด
ขอเพียงแค่มันยังอร่อยและเจ้าไม่ได้ยกไส้ที่เหลือให้กับใคร
ข้าก็จะกินมันโดยไม่สนว่าแป้งที่หุ้มใส้อันหอมหวานจะขมขื่นซักเพียงใด








..........................................................................................


   ในที่สุดก็ทำเพจของตัวเองแล้วค่ะ จะตามไปกดไลค์ก็ได้แล้วแต่(ㅎ∀ㅎ)
เพจจะลงนิยายที่อัพล่าสุดไว้ค่ะ และก็มินิคอมมิคที่วาดๆเผาๆกันเอง อาจจะลงงานแปลเล็กน้อยตามเวลาว่าง (ยังยุ่งไม่พออีกหร๊อ!!!)

ตัวอย่างคอมมิคเผาๆ ลงสกินโทนและเรียงหน้ากากโดยไรต์เอง นี่เอามังงะทั้งหมดในห้องมากางแล้วเรียงแบบงูๆปลาๆ ฮาาาาาา


ในภาพอาจจะมี การวาดรูป


ี่เพจค่ะ

ลองพิมพ์ไปว่า@SaraxMai ก็น่าจะเจอมั้ง

ตอนนี้ที่หายไปนานคือ อาทิตย์นี้ไม่มีวันหยุดค่ะ ทำงาน แล้วทำไมต้องทำงาน ? 
ก็เพราะไม่มีตังซื้อข้าวกินไงล่ะว่ะฮ่ะๆๆๆ สารกันบูดในร่างกายก็สะสมเกินปริมาณที่กรมสาธารณสุขจำกัดแล้วด้วย ปริมาณน้ำตาลในเลือดก็เช่นกันแว้กกก (유∀유|||)
เวลาว่างนี่หยิบโทรศัพท์มากดพิมพ์ยิกๆเลย 80%พิมพ์ในโทรศัพท์ผิดพลาดยังไงขออภัยด้วยค่ะ



รำวง รำวงด๊าวด่าว ด๊าวด่าว ด๊าวด่าว ดิดง หนุ่มเอ๊ย! สาวเอ๊ย!
//เป็นท่อนเพลงที่ติดหูมากหลังดูOut last2จบ บายค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น