เป็นพระไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในโลกหล้า
แต่จะไม่ยอมให้ใครมาข้องเกี่ยวกับภรรยาของข้าเช่นกัน
"อะไรนะ!!! หายไป!!!"
องค์หญิงโฉมงามลุกขึ้นจากเก้าอี้พรวดพลาด จนเหล่าทหารข้างกายถึงกับฉงน จะว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เห็นฮาคุเอย์มีท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้
ฮาคุเอย์สาวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มุดเข้าไปเต็นท์ของเหล่าชายชาติทหารไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน มือเรียวพลิกหมอน ผ้าห่มเป็นบ้าเป็นหลัง ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับแผ่นจี้ห้อยป้ายสำริดอันหนึ่ง มันคือสิ่งที่เธอจำได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนที่พี่ชายของเธอมอบมันให้แก่โคเอน จนถึงตอนนี้โคเอนก็ยังพกมันติดตัวตลอดไม่ห่างกาย แต่ทว่า...
"ท่านโคเอน"
.
.
.
"อืม..."
'อุ่นจัง...'
เสียงงืมงำดังขึ้นจากเด็กหนุ่มที่นอนหลับใกล้ตื่น ก่อนดวงตาที่มีขนตาเกาะเป็นแพยาวหนาจะค่อยๆขยุกขยิกปรับสายตาให้ชินกับแสงสีส้มๆที่ส่องเข้าตา ดวงตาสีทองดุจรุ่งอรุณในยามฟ้าสางจ้องมองไปยังฟืนแห้งที่ไหม้อยู่ในเตาผิงเก่าๆ เปลวเพลิงเริงระบำดูน่ามองยังคงสะกดสายตาคู่สวยให้จับจ้องอยู่ที่เดิม
ก่อนเสียงอันคุ้นหูจะดังแทรกขึ้นขัดจังหวะนอนเล่นอันน่าอภิรมณ์...
"หลับสบายจังเลยนะ"
โคเอนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนคนที่นอนอุ่นสบายหน้าเตาผิงอย่างไม่สบอารมณ์ในขณะที่ตัวเขากำลังนั่งอ่านกระดาษบันทึกเก่าๆอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
"นี่พวกเรายังไม่ตาย?" อาลียันตัวขึ้นนั่งสำรวจแขนขาว่ายังอยู่ครบหรือไม่ ถึงแม้จะรู้สึกจุกที่หน้าท้องอยู่แต่ว่าเนื้อตัวของเขาก็ไร้ซึ่งบาดแผลหรือรอยขีดข่วนใดๆราวกับปาฏิหาริย์ ทั้งที่รู้สึกว่าตกมาสูงขนาดนั้นแท้ๆ
ดวงตาโตสีอำพันก้มลงมองเสื้อคลุมผืนใหญ่ที่คุ้นเคยที่ตัวเองกำลังห่มอยู่ ก่อนจะยี๊หน้าออกมาอย่างไม่เก็บอาการ ใช่แล้ว ผ้าคลุมของโคเอน(ที่เปื้อนขี้มูกของเขา) มือเรียวค่อยๆเขี่ยเลิกผ้าคลุมผืนใหญ่ที่เขาใช้แทนผ้าห่มออกไปให้ห่างๆตัวโดยที่ไม่ให้โคเอนรู้สึกถึงความผิดปรกติ
อาลีหันหน้าไปหาโคเอนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสภาพของโคเอนในตอนนี้ ตัวของเขาก็ต้องกลืนคำพูดที่ติดอยู่ปลายลิ้นลงไปทันใด แล้วเปลี่ยนไปถามคำถามแรกที่แล่นเข้ามาในหัวตอนนี้แทน
"โคเอน..แขนนายเป็นอะไร?"
โคเอนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนก้มลงมองแขนที่ถูกดามด้วยกิ่งไม้หยาบๆพันกับผ้าสีขาวเปรอะๆที่ฉีกออกมาจากเสื้อชั้นในสุดของตนเอง ทำให้ตอนนี้โคเอนใส่แค่เสื้อชั้นนอกที่เป็นผ้าสากๆระคายผิว กันหนาวไม่ได้มากนัก
"ยังมีหน้ามาถามอีก" โคเอนยังคงไม่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นเคย จนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั่งทำหน้าเป็นหมาที่รอเจ้านายหาเห็บให้
"ตอนแรกๆข้าคิดว่าตกลงมาบนกองหิมะหนาเป็นเมตรๆจะโชคดีแล้วเชียว แต่เจ้าก็ยังตกลงมาทับแขนข้าหัก เจ้าโง่" เสียงทุ้มตอบเรียบๆก่อนจะยกปึกกระดาษยุ่ยๆเปื่อยๆที่สันเย็บด้วยด้ายป่านขึ้นมาอ่านต่อ
อาลีที่ทำท่าจะอ้าปากโต้กลับก็จำต้องพ่นลมหายใจออกมาแทน เพราะในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่เล็กๆเหมือนกัน ก่อนจะมองไปยังพื้นรอบๆตัวที่ถูกปัดฝุ่นและเศษไม้ออกอย่างลวกๆ ในห้องอับๆนี้ดูรอบๆแล้วจะเห็นพนังเก่าๆผุพังเป็นรูโบ๋สะดุดตา เมื่อลองลอบมองผ่านรูก็จะเห็นห้องกว้างที่มีพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่เขอะหยากใย่ตั้งอยู่ริมสุดขอบห้อง
"ไม่คิดว่าด้านล่างผาคีตาสิ้นสุดจะเป็นวัดร้างแหะ..."
อาลีนึกขึ้นมาได้ว่าตรงที่โคเอนไปฉี่มันเป็นที่ที่เรียกว่าสุสานนี่นา หรือว่าที่เขาตามผีเสื้อเรืองแสงแล้วตกลงมาจะเป็นการลงโทษของวิญญาณกัน?
'ลงโทษหรอ?'
"จะว่าไปโคเอน..."
"หือ?"
"ไอ้หนอนน้อยของนายมันบวมขึ้นป่าวอ่ะ"
โคเอนมองใบหน้าสวยที่ถามด้วยแววตาจริงจัง ใสซื่อเสียจนเขาไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง
"นายจะรู้ไปทำไม"
"ก็ตรงที่นายไปยืนฉี่มันเป็นสุสานเก่านี่นา เหมือนที่ข้าอ่านเจอในม้วนกระดาษภาพเลยอ่ะ ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเราอาจจะโดนสาปอยู่ก็ได้นะ" อาลีครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังจนโคเอนนึกกลุ้ม หากแขนอีกข้างหนึ่งของโคเอนยังใช้ได้ล่ะก็ เขาคงจะได้กุมขมับแรงๆไปแล้ว
"ถ้ามันบวมใหญ่ขึ้นก็ดีเหมือนกัน"
โคเอนตัดบทก่อนจะหันไปอ่านบันทึกในมือต่อ จนอาลีอดสงสัยไม่ได้ว่าในนั้นมันมีอะไรหน้าสนใจนักหนา โคเอนถึงได้ทำตัวไม่รู้หนาวรู้ร้อนเอาแต่อ่านเจ้าเล่มกระดาษเปื่อยไม่ไปไหนทั้งๆที่ตอนนี้เราควรรีบหาทางกลับค่าย ไม่ก็ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่มานั่งผิงไฟกันสบายใจอยู่แบบนี้
"ไม่ดีซักหน่อยนั่นมันหมายความว่าพวกเรากำลังโดนสาปนะ"
"เจ้าโง่ ไม่มีคำสาปจริงๆบนโลกนี้หรอกน่า"
โคเอนพูดปัดไปอย่างรำคาญใจ ขณะที่กำลังใช้สมาธิอ่านตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกเลือนๆอยู่ แต่คนที่พึ่งตื่นข้างๆเขานั้นก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุดพูด
"จะว่าไปในที่แบบนี้มีวัดร้าง ก็หมายความว่าแถวนี้มีหมู่บ้านใช่มั้ยล่ะ พวกเราจะไม่ลองไปสำรวจหรือขอความช่วยเหลือดูหน่อยหรอ" อาลีเสนอความคิดขึ้นหลังจากที่กระเพาะของเขาเริ่มประท้วงหาอาหารเช้า
"ในที่แบบนี้มีหมู่บ้านก็หมายความว่าพวกเราอยู่ในอาณาเขตของแคว้นอูกิ ถ้าเจ้าอยากออกไปเดินเตร็ดเตร่ในชุดทหารของเจิดจรัสก็ตามสบาย" โคเอนยังไม่ลดละการพูดประชดประชัน ทำให้คนที่โดนขัดมุ่ยหน้าก่อนจะลุกออกจากที่นอนหน้าเตาผิงอุ่นไปเดินสำรวจรอบๆแทน
'ที่นี่ดูเหมือนร้างมาเป็นร้อยๆปีเลยแฮะ'
ทั้งเพดานที่โหว่เป็นรู และเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้นทุกครั้งที่ย่ำเท้าลงบนพื้นไม้เขอะฝุ่น เสียงลมหวีดหวิวน่าขนลุกพัดเข้ามาตามผนังและเพดานที่แตกร้าวทำให้อากาศในนี้นั้นทั้งหนาวและอับชื้น
แต่น่าแปลก? สิ่งของที่อยู่ในวัดยังคงดูสมบูรณ์ดีทุกชิ้น ไม่มีร่องรอยการถูกขโมยงัดแงะ
ยกเว้นบริเวณชั้นหนังสือที่โคเอนรื้อออกมาอ่าน
ยกเว้นบริเวณชั้นหนังสือที่โคเอนรื้อออกมาอ่าน
ตามกำแพงมีรูปวาดสีซีดเก่าๆขาดๆเล่าเรื่องราวชวนพิศวงของผู้คนและสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สีขาว เมื่อมองถัดไปก็มีผ้าใบขาดๆหากเอามาต่อๆกันแล้วก็จะมองออกเป็นรูปของจิ้งจอกภูเขา พร้อมทั้งบทกลอนสั้นๆเขียนเอาไว้
'ขาวโพลนดั่งหิมะบนภูเขา สุขสกาวดั่งจันทร์กลางเมฆา หยั่งรู้โลกหล้ามหานที'
อาลีเลื่อนสายตาลงมามองหีบไม้ผุๆที่ล็อคด้วยกลอนขึ้นสนิมเขรอะใต้ผืนผ้าใบเก่า ก่อนจะหาอิฐหินที่อยู่แถวนั้นมาทุบจนหีบเปิดออก เมื่อสิ่งที่อยู่ในหีบนั้นประจักษ์แก่สายตา ดวงตาสีทองสุกปลั่งก็เบิกตาโตเป็นประกายดั่งได้พบขุมสมบัติล้ำค่า
"ใช่เลย! เจ้าสิ่งนี้แหละ!"
.
.
.
โคเอนนั่งอ่านกองบันทึกเก่าๆไม่ได้หยุดพักมาตั้งแต่เมื่อคืน เอาจริงๆแล้วเขาเองยังไม่ได้พักเลยด้วยซ้ำ เหตุผลหนึ่งก็คือเรื่องของความปลอดภัย ในขณะที่อีกคนหนึ่งนอนสลบไสลไม่ได้สติ ถ้าหากเขาเผลอหลับขึ้นมาแล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น รู้สึกตัวอีกทีคงได้ตื่นขึ้นมาในโลกใหม่หรือไม่ก็สวรรค์ซักแห่งหนึ่ง
"โคเอน! ดูนี่สิ"
ดวงตาสีแดงทับทิมที่ฉายแววอ่อนล้าเงยหน้าขึ้นมามองมือขวาตัวดีที่วิ่งพื้นสะเทือนเลือนลั่นเข้ามาด้วยใบหน้าสดชื่นอย่างขัดใจ บางทีควรปล่อยให้มันหลับไปแบบเดิม
"เท่านี้พวกเราก็เข้าไปในหมู่บ้านได้แล้ว!"
อาลีในชุดเสื้อผ้าเหมือนเด็กวัด รวบผมบางส่วนเก็บเข้าไปในผ้ารัดมวยผมทรงกลมๆเหมือนซาลาเปาลูกเล็กๆชูชุดเสื้อผ้าเก่าๆสีทึมๆขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
"ไม่กลัวนรกจะกินหัวบ้างหรอ นั่นมันชุดพระ"
"ทีนายฉี่บนสุสานยังไม่กลัวโดนฟ้าลงโทษเลย อีกอย่างนี่ก็เป็นสถานการณ์คับขันช่วยไม่ได้นี่ พวกเราเข้าไปในหมู่บ้านแล้วหาอะไรกินกันเถอะ!"
โคเอนส่ายหัวเล็กน้อยกับท่าทีที่ดูดีใจเนื้อเต้นเกินเหตุ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ดีไม่เลว เพราะตอนนี้เขาหิวจนแสบท้องไปหมด มือใหญ่รับเสื้อของพระผู้ทรงศีลขึ้นมาสวมทับชุดที่กำลังใส่อยู่อย่างยากลำบาก ก่อนอาลีจะเดินเข้ามาช่วยแต่งตัวและหาผ้าผืนใหม่มาพันแขนที่บาดเจ็บอยู่ของโคเอนราวกับว่าเคยทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน จนแม้แต่โคเอนยังแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่น้อย
"ไม่เลวนี่"
"ข้าเคยทำบ่อยตอนที่ไปจีซานน่ะ" อาลีพันผ้าพันแผลอย่างช่ำชองด้วยสีหน้าอมยิ้มในฝีมือการปฐมพยาบาลขั้นเทพของตัวเอง
"จีซาน?"
"อ่ะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก" อาลีละมือออกจากท่อนแขนที่บาดเจ็บ ก่อนจะยิ้มสดใส ให้โคเอนมองชื่นชมฝีมือการพันผ้าที่เนี้ยบนิ้งของตนเอง ก่อนที่ทั้งสองจะพากันออกมาด้านนอกที่แสงแดดอุ่นของปลายฤดูหนาวสาดส่องกระทบกับเกล็ดหิมะเป็นประกายราวอัญมณี
ท้องฟ้าหลังพายุส่องประกายสดใส อาลีจ้องมองผืนฟ้าที่ไร้เมฆหมอกก่อนนำมือมาบังแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้าตา พลางอธิษฐานขอพรในวันที่อากาศแจ่มใส ดวงตาคู่สวยมองไปยังทิศที่มีควันสีขาวจากปล่องไฟลอยขมุกขมุ่นก่อนจะเริ่มย่างก้าว มุ่งหน้าไปยังสถานที่ไม่คุ้นเคยพร้อมกับพระผมสีแดงแปร๊ดสะดุดตา
อาลีมองหิมะที่ปกคลุมต้นสนตลอดทางเดินด้วยสีหน้าซุกซนเหมือนเด็กที่พ่อแม่พาออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านเป็นครั้งแรก พลางตีใบสนที่อยู่ต่ำๆให้หิมะไหลหล่นลงมาอย่างสนุกสนานก่อนโคเอนจะส่งสายตาตำหนิ
ริมฝีบางสวยเพียงคลี่ยิ้มอย่างซุกซนตอบกลับไปเท่านั้น
'ช่วยไม่ได้นี่ แถวบ้านไม่ได้มีให้เห็นทุกวันซะหน่อย'
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่เป็นบ้านเรือนตั้งเป็นหย่อมๆไม่หนาแน่นโคเอนมองสิ่งก่อสร้างและบ้านเรือนเล็กๆที่มีลักษณะคล้ายกับสิ่งก่อสร้างแบบเจิดจรัส จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่มีหลังคาสูงแหลมมากกว่าปรกติเพื่อให้หิมะไม่เกาะค้างอยู่บนหลังคาบ้าน แววตาสีทับทิมเปล่งประกายกระหายความรู้ ไม่อาจจะหยุดมองวิวทิวทัศน์แปลกตาได้เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่อาลีเองก็เพลิดเพลินไปกับแผงขายของที่ดูครึกครื้น อย่างไม่น่าเชื่อว่าอูกินั้นเพิ่งจะเปิดประเทศ คาราวานที่มาจากด้านนอกเองก็ขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างครึกครื้น
นี่มันต่างจากที่ฉันเคยจินตนาการไว้มากจริงๆ ที่นี่เป็นประเทศเล็กๆที่สวยงามและสงบสุข เด็กเล็กวิ่งเล่นไปบนทางเดินหิมะอย่างสนุกสนานพร้อมกับสุนัขบ้าน ดูมีชีวิตชีวา
"อ่ะ กลิ่นนี้มัน"
ฉันปิดตาลงเพื่อให้ได้รับรู้ถึงสัมผัสกลิ่นหอมหวนชวนเคลิ้มฝันจนแทบจะทำให้ลอยตามกลิ่นนั้นไป มันเป็นกลิ่นหอมของอาหารที่ชวนให้ปาดน้ำลาย ก่อนจะเดินแหวกฝูงชนที่กำลังเดินชมตลาดยามสายตรงเข้าไปตามกลิ่นร้านขายอาหารเล็กๆข้างทางที่ดูท่าทางกินง่ายเหมือนแป้งปั้นเป็นก้อนๆนึ่งอยู่ในซึ้งไม้สานร้อนระอุท่าทางน่าอร่อย ไอน้ำอุ่นสีขาวหอมฉุยฟุ้งไปในอากาศสัมผัสเข้ากับใบหน้าที่แดงเย็นด้วยอากาศหนาว ให้ความรู้สึกดี
ฉันยื่นใบหน้าเข้าไปให้ใกล้แผงขายของให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้เพื่อให้ใบหน้าได้สัมผัสกับไอร้อนจากเตานึ่ง ก่อนจะถูกเสียงหนึ่งปลุกให้ตื่นจากห้วงฝันกลางวันแสกๆ
"ซื้อซักลูกมั้ยอิหนู ลูกละสามเหรียญทองแดง" ยายแก่ๆพูดด้วยเสียงแห้งๆ พร้อมกับทำท่าจะยื่นเจ้าก้อนแป้งมาให้
'ตอนนี้เราไม่มีเงินเลยนี่นา...'
ขาไร้เรี่ยวแรงเดินออกจากบริเวณที่มีควันหอมฉุยนั่นทันใด มือไม้ก็สั่นไร้กำลังทั้งหนาวทั้งหิวและยิ่งกว่านั้นเมื่อพอมองไปรอบๆแล้วก็หาได้มีเงาของโคเอนยืนอยู่ไม่
"โคเอน? หมอนั่นหายไปไหนเนี่ย คงจะไม่ไปทำเรื่องเด๋อๆที่ไหนหรอกนะ"
ร่างกายอ่อนล้าเดินแหวกฝูกชนครึกครื้นอย่างร้อนรนราวกับเด็กที่พลัดหลงกับพ่อแม่ ลำคอที่แทบจะยืดเป็นคอห่านชะเงื้อชะแง้มองหาบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้มีเส้นผมสีแดงดอกงิ้ว
"ฮือออ ฮึก ฮึก แม่จ๋า แม่.."
ฉันมองไปยังเด็กน้อยอายุราวๆสองขวบโพกผ้าคลุมหัวมิดชิดเดินร้องไห้ไม่ดูทางไหลไปกับคลื่นฝูงชนด้วยแข้งขาน้อยๆที่ดูอ่อนเปลี้ยไม่มั่นคง จนอดที่จะเดินตามไปอย่างเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าจวนเจียนล้ม
'อืม...โคเอนโตแล้วคงดูแลตัวเองได้แหละ'
อาลีช้อนมือเข้าไปรับตัวเด็กน้อยทันทีที่ขาเล็กนั่นสะดุดเพื่อไม่ให้เข่าหรือใบหน้ากลมน้อยนั้นได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะค่อยหมุนไหล่น้อยๆที่ดูท่าทางตกใจให้หันหน้ามาพูดคุยกัน เส้นผมสีเงินยวงที่หลุดรอดออกมาจากผ้าคลุมผืนหนาของเด็กน้อยทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
"หลงทางอยู่หรอหนูน้อย"
เด็กน้อยเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม ปาดน้ำตาที่ไหลจากดวงตาสีน้ำตาลไหม้กลมโต ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก จนหญิงสาวในร่างชายหนุ่มแอบหลงเคลิ้มไปกับความน่ารักนั้น ลืมความหิวและความเหนื่อยล้าไปหมดสิ้น รวมถึงโคเอนด้วย...
"มาเถอะ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะช่วยเจ้าตามหาแม่เอง" อาลีย่อตัวลงยิ้มให้กับเด็กน้อยเรือนผมเงินยวงหายาก ก่อนที่เด็กน้อยจะเอียงคอจ้องเขาตาแป๋วแหววราวกับภาพของนางฟ้าตัวน้อย
"ไม่ใช่พี่สาวหรอครับ?"
อาลียิ้มมุมปากเกร็ง หรือว่าเขาจะถูกมองร่างที่แท้จริงออก? ไม่หรอก! ใบหน้าหวานส่ายไปมา ตอนอยู่ที่วังคนที่เข้าใจผิดก็มีตั้งเยอะนี่เนอะ หน้าเขาก็ออกจะหวานขนาดนี้แถมผมก็ยังไว้ยาวไม่ได้ตัดด้วย เด็กน้อยจะเข้าใจผิดก็คงไม่แปลก
"จะว่าไปเจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิงทำไมถึงพูดครับล่ะ"
"แม่ข้าบอกว่าพรุ่งนี้ข้าก็จะเป็นผู้ชายแล้วให้ฝึกพูดไว้ก่อน" เด็กน้อยตอบเสียงค่อย ใบหน้ากลมน่ารักฉายแววเป็นกังวล ก่อนอาลีจะหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กคนนี้ช่างพูดอะไรตลกยิ่งนัก คงจะฟังแม่มาแล้วตีความผิดๆล่ะสินะ
"เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ข้าว่าแม่เจ้าคงไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก"ฝ่ามือเรียบลื่นลูบเส้นผมสีเงินนุ่มดุจไหมอย่างเอ็นดู "จะว่าไปเจ้าชื่อแซ่อะไร พักอยู่ที่ไหนล่ะข้าจะได้พาไปส่งถูก"
เด็กน้อยเมื่อได้ฟังคำถามก็เอาแต่ส่ายศีรษะท่าเดียวไม่ยอมปริปากพูดจา ทำให้อาลีได้แต่นั่งยองๆเป็นอาซิ่มขายเกี๊ยวมองเด็กน้อยน่ารักตาปริบๆ
"งั้นแม่เจ้าหน้าตาเป็นยังไง สูงประมาณไหน?"
ใบหน้ากลมหน้ารักที่แดงจัดด้วยอากาศเย็นจัดยังคงส่ายหัวด็อกแด็กเหมือนดังเช่นตุ๊กตาหุ่นกระบอกไม้ ทั้งยังไม่มีท่าทีจะปริปากพูดอะไรต่อ
"แบบนี้ข้าจะตามหาแม่ให้เจ้าได้ยังไงกันเล่า"ใบหน้าสวยจ้องมองหนูน้อยน่ารักอย่าสิ้นหวังมือเรียวกุมขมับน้อยๆ จนเด็กน้อยตาแดงก่ำทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ
อาลีมีท่าทีลนลานกับเด็กน้อยที่เบ้ปากอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางผู้คนที่เดินสัญจรไปมาแบบนี้เขาก็ดูเหมือนกำลังรังแกเด็กเลยน่ะสิ! ไม่ได้การล่ะ!
"เอาล่ะๆ ข้าจะเดินไปเป็นเพื่อนเจ้าตามหาแม่เอง อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นสิ"
อาลีมคว้าฝ่ามือเล็กๆที่ชื้นเย็นไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมากุมเอาไว้อย่างอ่อนโยน
"ถ้าจับมือแบบนี้เจ้าก็ไม่ต้องกลัวล้มแล้วเห็มมั้ย" ดวงหน้าสวยส่งยิ้มเป็นประกายสดใส ก่อนเด็กหญิงตัวน้อยจะพยักหน้ารับด้วยแววตาใสซื่อ อาลีพาเด็กน้อยเดินวนไปรอบๆ ชี้ผู้หญิงที่อายุดูเป็นแม่คนให้เด็กน้อยดูไปตลอดทาง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถูกคนเสียที จนเสียงท้องร้องของทั้งสองดังโครกครากผสานกันดั่งวงซิมโฟนี่
จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยขึ้นตรงหัว บอกถึงเวลาเที่ยงวัน ณ.มุมหนึ่งของตลาดแลกเปลี่ยนชายแดนของแคว้นอูกิก็คับคั่งไปด้วยเด็กๆและเหล่าคาราวานนักเดินทางผู้มาเยือนจากภายนอก มือของเด็กน้อยที่กุมกันแน่นสะบัดออกจากจากอุ้งมือเรียว ขาเล็กป้อมวิ่งเข้าไปยังบริเวณที่คราคร่ำไปด้วยเหล่านักเดินทางซอกแซกไปตามช่องว่างคับแคบระหว่างผู้คน
"เดี๋ยวก่อนสิเจ้าหนู! รอข้าด้วย!" เด็กหนุ่มช้าเกินกว่าจะคว้ามือเล็กที่ลื่นหลุดออกไป ก่อนจะวิ่งตามหนูน้อยที่คลาดสายตาหายเข้าไปในฝูงชนที่มารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
อาลีชะเง้อมองผ่านหัวไหล่ของเหล่าผู้คนที่มารวมตัวกัน ตรงกลางของวงล้อมมีตู้เชิดตุ๊กตากระบอกขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กน้อยผมสีเงินคนนั้นแม้แต่น้อย
เมื่อผู้คนมารวมตัวกันได้ที่ นักเชิดหุ่นก็เริ่มวาดลวดลายจากปลายนิ้วมือ เชิดหุ่นกระบอกไม้หลายตัวพร้อมๆกันได้อย่างน่าอัศจรรย์...
"เมื่อครั้งก่อน ในยามที่หุบเขาเหมันต์ย้อมด้วยสีอันธการ..."
เสียงของนักเชิดหุ่นเริ่มเล่าเรื่องดึงดูดสายตาของผู้คนให้จดจ่ออยู่กับละครฉากเล็กตรงหน้า ยกเว้นแต่ดวงตาสีทองคู่สวยที่ยังคงจดจ่อกับการตามหาเด็กน้อยที่คลาดกันเมื่อครู่ จนคนรอบกายต่างชักสีหน้าหงุดหงิดกับการขัดจังหวะการรับชมละครฉากเล็กของนักเชิดหุ่น
'เจ้าหนูน้อย อยู่ไหนนะ'
"ร่างกายใหญ่โตขาวโพลนดั่งหิมะบนหุบเขา สุกสกาวดั่งจันทร์กลางเมฆา..."
เสียงของบทกลอนอันคับคล้ายคับคราว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่งเรียกสายตาของอาลีให้หันไปสนใจกับละครหุ่นกระบอกไม้เบื้องหน้า ในขณะที่หุ่นกระบอกไม้สีขาวที่แกะเป็นรูปจิ้งจอกตัวใหญ่โลดแล่นอยู่ในฉากหลังราวกับมีชีวิต นักเชิดหุ่นก็บังคับให้มันยืนสองขาก่อนจะสลับแทนที่ด้วยหุ่นกระบอกตัวใหม่ที่แกะสลักเป็นรูปของหญิงสาวงดงามเส้นผมสีเงิน
"ร่างกายผันเปลี่ยนดั่งใจนึก ดวงตาลุ่มลึกดั่งความหวัง ทรงพลังอำนาจเหนือวานรน้ำแข็ง ขับไล่ความทุกข์เข็ญช่วยเหลือเหล่าปถุชนคนยาก"
ประโยคที่ดูไม่ค่อยประติดประต่อกันยังคงลื่นไหลออกมาเรื่อยๆจากลิ้นของนักเชิดหุ่น ฟังดูแล้วก็เหมือนบทกลอนที่ไม่คล้องจองกันเสียมากกว่า แต่ก็ยังสะกดสายตาผู้คนไว้ด้วยการเชิดหุ่นไม้ที่เก่งกาจหาตัวจับยาก
"ชั่วชีวีนั้นผลิบานสองยาม หญิงเป็นชาย ชายเป็นหญิง งดงามดั่งเหมยแดงกลางหิมะขาว พริบตาเดียวปลิดกลีบใบแสนโศกา แม้นหยั่งรู้โลกหล้า ไม่อาจผ่าธาราลิขิตสวรรค์..."
เรื่องราวในตู้โรงละครหุ่นไม้เล็กๆยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนอาลีเผลอไผลคล้อยไปตามละครที่เพลิดเพลินฉากแล้วฉากเล่า ทั้งเรื่องราวของจิ้งจอกสีขาวที่มีชีวิตแสนสั้นดั่งดอกไม้ไฟ งดงาม โศกเศร้า เรื่องราวของการพบพาน สงคราม พรากจาก...
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำกลอนที่ไร้ซึ่งสัมผัสคล้องจองเมื่อประกอบกับละครฉากเล็กๆ จะสะกดสายตาของเหล่าผู้ชมได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งจวนจบเรื่องนักเชิดหุ่นก็นำตุ๊กตาหญิงสาวสีเงินออกมาวาดลวดลายร่ายรำหน้าฉากหลังที่เขียนจากหยดหมึก พริ้วไหวราวกับตุ๊กตามีจิตวิญญาณ ก่อนเริ่มท่องคำกลอนแปลกประหลาดเหมือนกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากเทพธิดาพยากรณ์
"ยามลมเหนือเปลี่ยนทิศประกาศิตฟ้าประทับสาร แว่นแคว้นพ้นภัยพาลอันธกาลจักปกคลุมทักษิน ทายาทแดงจักไร้สิ้นซึ่งบัลลังก์ เหมันต์จักสุขสันต์ชั่วกัปกาล เมื่อ100ปีผันผ่านเหล่าจิ้งจอกเดินตามโชคชะตานำพาเศร้าโศกาเยือนสู่บัลลังก์แดง"
เมื่อเสียงเล่านิทานจบลง นักเชิดหุ่นผู้อยู่เบื้องหลังตู้ไม้โค้งคำนับ ก่อนเสียงปรบมือชื่นชมจะดังขึ้นกึกก้องไปทั่วบริเวณ เศษเงินจากกระเป๋าของเหล่าพ่อค้าคาราวานที่มายืนฟังโปรยลงพื้นราวกับห่าฝน ชายนักเชิดหุ่นเดินก้มเก็บเงินทองไม่หวั่นไม่ไหว ดังคำที่ว่า 'เงินทองไหลมาเทมา'
เสียงปรบมือเรียกสติของอาลีให้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองทำหายทั้งโคเอนและเจ้าหนูน้อยที่พลัดหลงจากอกแม่ เมื่อมองไปยังผู้คนที่เริ่งสลายเบาบางลงก็ไม่เห็นเจ้าหนูท่าทางประหลาดเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าตอนนี้เขาหลงกับทุกคน หรือบางทีอาจเป็นเขาเองนี่แหละที่เป็นเด็กหลงทาง...
อาลีถอนหายใจ ก่อนจะเดินหาทั้งสองอีกรอบด้วยแข้งขาอันไร้เรี่ยวแรง นี่ก็บ่ายเข้าไปแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า
"น้องสาวคนงาม มาทำอะไรแถวนี้"
เสียงที่ปลอมปนจิตใจไม่บริสุทธิ์ดังขึ้นก่อนข้อมือบางจะถูกรั้งเอาไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่หยาบกร้าน
อาลีหันไปมองชายร่างกายสูงใหญ่ใบหน้าดั่งโจรภูเขา ทำให้ดวงตาคู่สวยหรี่ตามองด้วยความเบื่อหน่าย ตอนที่อยู่จีซานเองก็โดนมุกนี้บ่อยซะจนเชี่ยวชาญวิชาการปอกลอกเงินจากเหล่าชายบ้ากามมากตัญหาพวกนี้
'ข้าล่ะเบื่อจริง เกิดมาหน้าตาดี' (มั่นหน้าสุดๆ = =)
พวกนี้ท่าทางไม่ค่อยมีเงิน แต่จะลองซักหน่อยก็ไม่เสียหาย
เฮ้อ~ ความงามของข้ามันช่างเป็นบาปอะไรเยี่ยงนี้~~~~
ทำไมพระเจ้าต้องให้ข้าเกิดมาหน้าตาดีด้วย!!!
อาลีแสร้งทำสีหน้าตกใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของชายหนุ่มร่างใหญ่ราวกับหญิงบอบบางไร้พละกำลัง ดวงหน้าสวยตีสีหน้าอ่อนแรงอย่างแนบเนียน
"เดี๋ยวก่อน นี่เจ้าเป็นอะไรไป"
"ขะ ข้า มึนหัวเหลือเกิน..ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า" น้ำเสียงหวานพูดอย่างอิดโรย ดวงตาหวานหว่านเสน่ห์จนหนุ่มฉกรรจ์หลงเคลิ้ม
"งั้นมานี่สิ ข้ามีเพื่อนๆเปิดร้านอยู่แถวนี้เขาคงมีอาหารเพียงพอสำหรับหญิงสาวน่ารักอย่างเจ้า" ชายหนุ่มแถบจะเอามือปาดน้ำลายเมื่อเห็นใบหน้าออดอ้อนไร้เดียงสาของเหยื่อในกรงเล็บ ดูท่างานนี้จะหวานคอล่ะ
อ้อมแขนใหญ่โอบเอวคอดบางประคองหญิงสาวนิรนาม(?)ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักไปยังรังของตนเอง โดยหาเข้าใจไม่ว่าฝั่งไหนกันแน่ที่จะตกเป็นเหยื่อ...
ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจพาหญิงสาวคนงามที่เพิ่งพบที่ตลาดเข้ามายังโรงเตี๊ยมเก่าๆไร้วี่แววของผู้คนจนน่าแปลกใจ
"นี่กลางวันแท้ๆ คนไปไหนหมดนะ"
"อย่าห่วงเลย ที่ส่วนมากจะเปิดให้นั่งดื่มกินกันตอนกลางคืน แดดส่องตูดขนาดนี้ยังไม่มีใครโผล่หัวมาหรอก" ชายหน้าตาโหดราวกับเป็นอันธพาลประจำเมืองส่งตาหวานชวนอ้วก มือหยาบเลื่อนลงมาแตะแก้มก้นนุ่มของหญิงสาวในร่างกายของชายหนุ่ม ก่อนประคองร่างบางราวกับเจ้าหญิงให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไร้พนักพิง
ชายร่างสูงเดินทะมึนทึมไปยังหลังครัวก่อนจะส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเรียกชื่อสมุนรับใช้ให้ออกมาทำงานทำการ ไม่นานนักอาหารจานร้อนที่ถูกปรุงอย่างพิเศษก็มาวางอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มร้อยมารยา
"ว้าววว อาหารพวกนี้หน้ากินมากเลย" อาลีเอามือทั้งสองข้างแตะแก้มเอียงคออย่างน่ารัก ก่อนจะโปรยยิ้มชวนฝันให้กับเหล่าชายฉกรรจ์ทั้ง3คนที่มานั่งห้อมล้อมทำสีหน้าหื่นกามใส่
"เพื่อคนสวยอย่างเจ้า ให้พวกข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้าาา"
"นางงามที่สุดตั้งแต่ข้าเห็นมาเลยนะเนี่ยพี่ใหญ่"
"จะว่าไปแม่นางชื่ออะไรรึ?"
อาลีตักอาหารเข้าปากก่อนอมปลายช้อนด้วยท่าทางบ้องแบ๊วยอดฮิตของสาวน้อยวัยขบเผาะ
"ข้าชื่อลีอา โดยสารมากับคาราวานที่เข้ามาค้าขายที่นี่จ๊ะ"
"มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน" ชายร่างใหญ่หน้าโจรที่ถูกอีกสองคนเรียกว่าพี่ใหญ่ตีเนียนโอบไหล่บาง ใช้นิ้วเขี่ยผมสีทองสวยเล่นด้วยแววตาหวานเยิ้ม
"แหม พวกท่านล่ะก็ มัวแต่จ้องมองข้าแบบนี้ข้าจะกินข้าวลงได้ยังไงกัน" ร่างบางทำท่าเขินอายบิดม้วน จริตจก้านเพริดแพร้วดั่งหญิงงามใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่เคยผ่านมือชาย
...ก็ยังไม่เคยผ่านมือชายจริงๆนั่นแหละ...
"พวกเจ้าได้ยินมั้ย นางจะกินข้าว มีอะไรก็ไปทำกันก่อนไป!" ชายร่างถึงวางกล้ามไล่ชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์กว่าให้ลุกออกจากโต๊ะ
"โถ่ พี่ใหญ่ก็..."
อาลีมองเหล่าชายทั้งสามที่เดินหายไป ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไปไหนและยังแอบมองอยู่ด้านหลังครัว แต่ตัวเขาเองก็หาได้ใส่ใจอะไรไม่ มือเรียวลงมือกินข้าวดื่มน้ำอุ่นที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างหิวโหย ก่อนชายฉกรรจ์ที่รอเวลาให้เหยื่อกินเสร็จจะปรากฏตัวออกจากที่ซ่อนทันทีที่อาหารในถาดเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า
"เจ้ากินเสร็จแล้วสินะ คราวนี้ก็ถึงเวลาพวกข้ากินเจ้าบ้างแล้ว"
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น