และแล้วกงล้อแห่งโชคชะตาก็ได้เริ่มหมุนต่ออีกครั้ง...
เอาล่ะ อาลีพันเซล ปล่อยผมลงมา
"อาลีบาบาคือใครกันแน่นะ?"
ผมนั่งหมุนถ้วยดอกลิลลี่ที่บรรจุน้ำหวานกลิ่นหอมก่อนจะจิบละเลียดทีละนิด
วันนี้ได้เจอทั้งบัลคาร์กแล้วก็กุยที่มาจากแผ่นดินตะวันออก สีหน้าของบัลคาร์กดูเครียดมากขณะที่แขกชาวกุยพูดแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจ และสีหน้าพวกเขาก็ดูตกอกตกใจมากมากกว่ารังเกียจ มันไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินจากบัลคาร์กเลยแม้แต่น้อย เด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาเขย่ามือผม จนของผมร่างกายโงนเงนไปตามแรงที่มีมากจนเหลือเชื่อนั้น ก่อนเด็กชายตัวเล็กดูซุกซนชาวกุยจะพูดชื่อหนึ่งออกมา
.
.
.
'อาลีบาบา'
ทันทีทันใดนั้นเอง บัลคาร์กที่ทำหน้าซีดเซียวอยู่ตลอดเวลานั้นก็ได้เข้ามาแทรกระหว่างผมกับเด็กชายตัวเล็ก ก่อนจะเชิญแขกทั้งสามคนที่พาเข้ามาไปคุยกันอีกฟากหนึ่งของมุมหอสมุด แต่กลับมีชายคนหนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่คิดจะเข้าร่วมวงสนทนาแต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำกับผมมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ การยืนมองอย่างเงียบๆ
พวกเรายืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดทักทาย ก่อนที่การพูดคุยของบัลคาร์กกับแขกอีกสองคนจะจบลง ณ.มุม มุมหนึ่งของชั้นหนังสือ โดยที่ผมและชายคนนั้นยืนอยู่ห่างออกไปเป็นเหมือนกับเป็นส่วนเกินของวงสนทนา งานของบัลคาร์กนั้นสำคัญมาก นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่อยากที่จะเซ้าซี้มากนัก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่พูดอะไรกับผมซักคำก่อนทำท่าจะจากไป จนกระทั่งถึงตอนนั้น...
ในขณะที่ประตูดาราค่อยๆปิดแคบลง ริมฝีปากได้รูปของชายร่างสูงกำยำเจ้าของสายตาที่เต็มไปด้วยประกายแสงสีแดงนั้นก็ค่อยๆขยับช้าๆเป็นถ้อยคำที่ไร้ซึ่งเสียง
'ข้า จะ มา รับ เจ้า'
"นั่นหมายความว่าอีกไม่นานข้าก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้วสินะ แต่ทำไมบัลคาร์กถึงได้ดูวุ่นวายใจถึงขนาดนั้น? ทั้งๆที่โลกนี้ไม่มีสงครามอีกต่อไปแล้วแท้ๆ พลังของภูติสีทองก็ไม่จำเป็นกับโลกที่สงบสุขนี่อีกแล้วแท้ๆ"
แม้ว่าจะรู้สึกกังวลหากจะถูกชายที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนพาออกไปนอกหอคอย แต่ใจของผมมันกลับเต้นตึกตักไม่หยุด เมื่อได้ลองหลับตาจินตนาการถึงท้องฟ้าด้านนอกของสวนขวดเล็กจิ๋วแห่งนี้
ทุ่งหญ้าที่ต้องแสงอาทิตย์และจุมพิตของลมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา งดงามราวกับหยกเม็ดงาม กล่องเก็บอัญมณีใบใหญ่วิ้บวับบนท้องฟ้าย่ำราตรีสีคราม เสียงของพลบค่ำจากงานเลี้ยงที่มีเพียงแสงคบไฟสลัว และกลิ่นของอาหารในตลาดมุมเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ผมอยากจะสัมผัสมันซักครั้ง ถึงกลิ่นไอของชีวิตชีวาและสีสันเหล่านั้น
ชายผู้นั้นเป็นใครกัน? จะเป็นเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยเจ้าหญิงออกมาจากหอคอยรึเปล่านะ? แต่ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็เหมือนเจ้าหญิงในนิทานนั่นเลยน่ะสิ ถึงแม้เนื้อเรื่องโรแมนติกจะดูเชยไปหน่อย อีกอย่างคนจะคิดยังไงกับผู้หญิงที่หนีตามผู้ชายที่พึ่งเจอกันครั้งเดียวกัน ไม่ดูเป็นเจ้าหญิงที่งี่เง่าไปหน่อยหรอ ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ
แต่เมื่อได้ลิ้มรสของผลไม้สีแดงสุกที่อัดแน่นความหวานล้ำจนแทบจะแผดเผาจิตใจให้หลอมละลายเข้าไปแล้ว แม้จะกัดชิมเพียงคำเดียว ความหอมหวานนั้นก็จะหลอกล่อให้ดวงใจที่หล่อหลอมขึ้นจากความโดดเดี่ยวปารถนาอย่างไม่มีสิ้นสุด
ผู้หญิงคนนั้นเองก็คงจะคิดแบบนี้สินะ เพื่อที่จะไปยังโลกภายนอก แสร้งทำเป็นติดกับคำพูดอันหอมหวานนั้นแล้วตอบรับฝ่ามือของชายแปลกหน้าที่ยื่นออกมาด้วยความยินดี
ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆท่ามกลางแสงรอนๆยามบ่าย เสียงสนทนาของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นในชั้นล่างสุดของหอสมุด เป็นครั้งที่สองที่ประตูดาราถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
...รึว่าชายผู้นั้นจะมารับข้าแล้ว…
ผมทั้งกังวลและก็ตื่นเต้นจนแทบจะอดใจรออยู่นิ่งๆไม่ไหว ถึงแม้จะไม่รู้จักกัน แต่คนที่ก้มมองพื้นระวังย่างก้าวของตนเพื่อที่ไม่เหยียบดอกไม้น่ะคงไม่ใช่คนไม่ดีหรอก ผมกระโดดไปตามก้อนเมฆที่ลดหลั่นเป็นชั้นก่อนจะค่อยๆร่อนลงแตะพื้นอย่างนิ่มนวลเหมือนกับเกสรดอกไม้ที่เบาหวิว โดยที่ไม่ได้สังเกตอะไรนั้นเอง…
"แก ยังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วยสินะ"
ผมนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เมื่อแขกที่ไม่เคยพบพานปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพร้อมกับสายตาที่ราวกับไม่ใช่สายตาที่มองสิ่งมีชีวิตก็มิปาน มันทั้งดูเย็นชาและโหดร้ายราวกับภูติตนนี้ที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นกำเนิดจากสายลมหนาวเย็นใต้ปีกของมังกรน้ำแข็งอันเหี้ยมโหด
ชายร่างอ้วนกลมตัวเตี้ยราวกับถังเหล้ารูปร่างดูเหมือนคนแคระอ้วนมากกว่าถ้าไม่ติดว่ามีปีกที่ส่องแสงเล็กๆติดอยู่ที่หลัง หาวออกมาด้วยท่าทางดูเบื่อหน่าย ท่ามกลางกลุ่มภูติที่มีขนาดใหญ่อีกสามตนที่มองมาทางผมด้วยสายตาชวนขนลุก และด้านหลังสุดนั้นเอง…
"บัลคาร์ก? คนพวกนี้เป็นใครกัน"
ผมหันไปถามบัลคาร์กที่อยู่ด้านหลังสุด ใบหน้าซีดเซียวนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก หรือการบุกรุกเข้ามาในหอสมุดต้องห้ามนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจะไม่ใช่ลางดีซะแล้ว
"คนๆนี้..คือองค์ราชาภูติคนปัจจุบัน มีศักดิ์พี่ชายของท่านขอรับ"
"ท่านพี่หรอ?"
"ก็ถ้าว่าตามนั้นน่ะนะ อีกอย่าง..อย่าได้บังอาจมาเรียกข้าว่าพี่ ข้าไม่เคยมีน้องเป็นโอเมก้าอย่างเจ้า พวกเราเป็นพี่น้องกันตามพันธะแลกเปลี่ยนระหว่างบัลแบดกับเจิดจรัสเท่านั้น"
ชายอ้วนตุ้ยตบมือป้อมๆสองสามทีก่อนคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหลังจะก้าวออกมา
"จะทำอะไรข้าน่ะ!?"
เท้าเล็กถอยออกมาตามสัญชาตญาณ เมื่อภูติแปลกหน้าทั้งสามที่อยู่ด้านหลังราชาภูติค่อยๆขยับวงล้อมเข้ามา
.
.
.
"ไม่ต้องห่วงขอรับองค์ชายน้อย พวกเราแค่จะขอตรวจเช็คร่างกายของท่านเท่านั้นเอง..."
"ตรวจร่างกาย?"
ยังไม่ทันที่ภูติสีทองจะเอ่ยปากอนุญาต ชายทั้งสามคนก็เข้ามาสัมผัสแตะเนื้อต้องร่างกายบางนั้นทันทีด้วยสายตาที่ราวกับแมงมุมรอเวลากินเหยื่อ
"อ่า..เส้นผม งดงามอะไรเช่นนี้" ชายคนหนึ่งลูบไล้ไปตามเลือนผมยาวสีทองเป็นประกายก่อนจะก้มหน้าลงดอมดมกลิ่นด้วยแววตาเป็นประกายน่าขนลุก
"ดะ เดี๋ยว อย่ามาจับตัวข้านะ!"
"ฟันกับกระดูกก็ไม่มีปัญหา ช่วงสะโพกรับแรงได้ปรกติ"
"ผิวเองก็สวยมาก..อา ด้านในจะเป็นยังไงนะ"
"ไม่! ออกไป!"
คนตัวเล็กพยายามปัดป้องมือปลาหมึกของภูติแปลกหน้าทั้งสามสุดแรงเมื่อมือพวกนั้นเริ่มรุกล้ำร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งพยายามฉีกทึ่งชุดผ้าบางให้ขาดวิ่นเป็นชิ้นๆในขณะที่ชายร่างอ้วนเป็นถังเบียร์ยิ้มอย่างบันเทิงใจ ดวงตาเว้าวอนที่เอ่อน้ำใสรื้นขอบตามีแต่จะยิ่งทำให้เสียงหัวเราะน่ารังเกียจดังขึ้นเท่านั้น
…ช่วยข้าที ทุกคน!...
ภูติสีทองกลั้นใจอธิษฐานต่อผืนดินอย่างแรงกล้า แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะหยุดลง ไม่มีเสียงตอบกลับจากเหล่าต้นไม้ และใบหญ้า ก่อนจะลืมตาและพบว่ารอบบริเวณที่ตนยืนอยู่ถูกโอบล้อมไปด้วยกำแพงสีใสที่สร้างจากเวทมนต์
"บัลคาร์ก!!!"
บัลคาร์กยืนกำมือกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปพลักพวกภูติแปลกหน้าที่ราชาอับหมัดพาเข้ามาแยกพวกเขาทุกคนออกจากร่างบางที่เนื้อหนังแทบจะไม่มีสิ่งใดคลุมห่ม ก่อนจะปลดผ้าคลุมยาวของตนให้กับภูติสีทองที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทา
"บัลคาร์กนี่เจ้าคิดจะทำอะไรกับสินค้าของข้าน่ะ?"
อับหมัดพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
"สินค้าหรอ?"
คนตัวเล็กหน้าถอดสีก่อนจะถูกบัลคาร์กล็อคตัวจากด้านหลัง
"เอาหล่ะองค์ชาย ก่อนอื่นกรุณานั่งลงด้วยขอรับ"
ใบหน้าหวานหันไปมองผู้รับใช้ที่ไว้ใจได้ก่อนจะย่อตัวนั่งลงกับพื้นอย่างช้าๆตามคำพูดของผู้ที่เป็นดั่งญาติมิตรสนิทอย่างง่ายดาย
นอกจากบัลคาร์กแล้ว คนอื่นๆก็คงจะมองข้าด้วยสายแบบนั้นกันหมดเลยสินะ
เป็นอย่างที่บัลคาร์กได้พูดไว้จริงๆ เพราะงั้นตอนนี้ ในที่สุดก็คงถึงเวลาซักที จะพาข้าหนีไปจากที่นี่แล้วสินะ ปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระ...
"เลิกนอกเรื่องเถอะ รีบลงมือเร็วเข้า"
"บัลคาร์ก!?"
ชายสองคนจับเรียวขาของภูติผู้โดดเดี่ยวให้ถ่างออกกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตรึงขาทั้งสองเอาไว้คนล่ะข้างอย่างแน่นหนา
"จะทำอะไรข้าน่ะ! ปะ ปล่อยนะ!"
"แค่แปปเดียวก็เสร็จแล้ว เพราะงั้นองค์ชาย...ได้โปรดอยู่นิ่งๆซักครู่ด้วยครับ"
"บะ..บัลคาร์ก...ทำไม? อ่ะ อ๊าาา ยะ หยุดนะ! เอามันออกไป!"
ใบหน้าสวยอาบด้วยน้ำตานองไปทั้งใบหน้า เมื่อเครื่องมือหน้าตาแปลกประหลาดถูกสอดเข้ามาด้านในลำตัว ผ่านช่องทางสีระเรื่อ
"สีสวยอะไรขนาดนี้ สมบูรณ์แบบ..."
...ทำไม?...
"จะ เจ็บ เอามันออกไป! บัลคาร์กได้โปรด… บอกให้พวกเขาเอามันออกไปที!"
...ทำไมถึงยังนิ่งเฉยล่ะ?...
"นี่พวกแกทำเบาๆมือกันหน่อย โดยเฉพาะตรงนั้นน่ะ จะให้มีแผลหรือรอยช้ำแม้แต่จุดเดียวก็ไม่ได้! ถ้าราคาตกแม้แต่เหรียญกระเบื้องเดียวข้าเอาเรื่องพวกเจ้าแน่!"
ราชาจอมละโมบตวาดเสียงเขี้ยว พลางยืนกอดอกอยู่ไม่ห่างนักอย่างเป็นห่วง เป็นห่วงว่ามูลค่าของ 'สินค้า' ที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ดีเท่าที่ควรหากมีตำหนิ
"ปฏิกริยาตอบสนองก็ยอดเยี่ยม..."
"สรุปว่ามันใช้การได้หรือไม่ได้กันแน่?"
ภูติแปลกหน้าค่อยๆถอนเครื่องมือออก ก่อนจะโยนมันลงหีบไม้เล็กๆข้างตัว
"รับรองว่าให้กำเนิดบุตรได้อย่างแน่นอนไม่ต้องห่วงขอรับ สำหรับภูติสีทองที่เป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วยแล้วจะสามารถตั้งครรภ์ได้เร็วกว่าโอเมก้าที่เป็นมนุษย์เสียอีก ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับราชบุตรเขยเผ่ากุยของท่านแล้วล่ะขอรับว่าจะมีน้ำยาซักแค่ไหน"
...หอสมุดแห่งนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อปกป้องข้าหรอกหรือ ท่านพ่อ…
"งั้นก็ดี ข้าค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ขอให้คลอดออกมาได้ซักสองสามคน เป็นแฝดด้วยยิ่งดี ยิ่งออกลูกเยอะมากเท่าไหร่เงินก็จะไหลเข้ามือข้ามากเท่านั้น แต่จะติดก็ตรงที่พวกกุยมันไม่ค่อยจะมีน้ำยาเนี่ยสิ..."
...ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าเป็นแค่สินค้า แค่ปศุสัตว์ที่ท่านเลี้ยงอยู่ในคอกอย่างนั้นหรือ?...
"หมดธุระซักที ที่เหลือก็ฝากเจ้าด้วยแล้วกันนะบัลคาร์ก เก็บกวาดให้เรียบร้อยอย่าให้ห่านทองคำของข้าได้มีรอยตำหนิ แม้ตำหนิเดียว"
...ในสายตาของท่านข้าก็เป็นแค่สินค้าเช่นนั้นหรือ? บัลคาร์ก? …
"ขอรับ..."
ภูติแปลกหน้าทั้งสามผละออกจากคนที่กำลังสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร แววตาของพวกเขาหาได้มีความเห็นใจใดๆไม่ทั้งยังหัวเราะเยอะสภาพน่าสังเวชที่อยู่ตรงหน้า ก่อนประตูดาราจะปรากฏขึ้น ทิ้งให้ภูติสีทองอยู่กับผู้ดูแลเพียงลำพัง
บัลคาร์กคลายอ้อมแขนออก ค่อยๆขยับรวบเรียวขาที่ถ่างแยกออกเข้าหากันเพื่อจะอุ้มร่างกายที่เบาราวกับขนนกนั้นขึ้นอย่างทะนุถนอม ก่อนร่างในอ้อมแขนจะดิ้นและต่อต้านเขาอย่างรุนแรงจนหล่นลงกระแทกกับพื้น
"องค์ชาย!!!"
"อย่ามาแตะตัวข้า..."
"องค์ชาย เรื่องนี้ข้าอธิบายได้"
"ข้าไว้ใจเจ้า...ฮึก.."
"ได้โปรดเถอะอย่าผลักใสข้าเลย ที่ข้าทำแบบนั้นเพราะไม่อยากเห็นพวกเขากลั่นแกล้งท่านต่อไปแบบนั้น ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรดฟังข้าก่อน"
"แล้วตอนที่...ตอนที่ข้าขอร้องเจ้าได้ทำอะไรมั้ย?"
ร่างเล็กยังคงทรุดกายนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่พื้นเช่นเดิม จนบัลคาร์กรู้สึกสมเพชตัวเอง พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องลงเอยกันแบบนี้เลย องค์ชายของเขาไม่จำเป็นจะต้องร้องไห้ต้องทนอับอาย หากเขายืนหยัดต่อสู้กับความละโมบของอับหมัด
ทั้งๆที่ตลอดเวลา ตลอดชีวิตนี้ของข้าอุทิศตนดูแลรับใช้ร่างกายอันเกิดจากความรักและจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์นั่น อยากจะให้ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสุขจนกว่าเวลานั้นจะมาถึง แล้วดูสิ่งที่เจ้าทำลงไปสิบัลคาร์ก
"ข้าขอโทษ..แต่ว่าก่อนอื่นได้โปรดฟัง...อั่ก"
ยังไม่ทันที่บัลคาร์กจะเอ่ยคำพูดใดต่อ เพียงชั่วพริบตาร่างของเขาก็ถูกบางอย่างฟาดกระแทกจนตัวลอยไปอัดเข้ากับกำแพงหนังสือ ด้วยแรงของรากไม้ที่เหวี่ยงสะบัดอย่างเกรี้ยวกราดราวกับแส้ขนาดใหญ่ ต้นพอลพลักขยับรากและกิ่งอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังปะทะกับสายลมคลั่งท่ามกลางพายุ ในขณะที่กิ่งและใบของมันแผ่ออกมาห่อหุ้มภูติน้อยที่ทรุดกายร่ำร้องกับผืนหญ้าอย่างโศกาเป็นดั่งลูกบอลกลมขนาดใหญ่
"อะ องค์ชาย"
"ออกไป!!!"
"..."
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในยามน้ำตาที่ต้องกับผืนดินค่อยๆเพิ่มพูน ดอกไม้ดอกเล็กๆเองก็ค่อยๆเบ่งบานไปทั่วบริเวณ ราวกับจะปลอบประโลมผู้เป็นที่รักให้หายโศกเศร้า
"ข้ารู้ว่าถึงพูดไปท่านก็อาจจะไม่ฟังข้าแต่ว่าข้าอยากให้ท่านรู้ไว้"
"ตอนนี้บัลแบดถูกเพ่งเลงจากสภาโลกในฐานะประเทศที่กำลังจะล้มละลาย และต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด..."
"คือเรน โคเอน"
.
.
.
บัลคาร์กข้าเกลียดท่าน!!!!
ความจริงไรท์กะว่าจะลบเรื่องนี้เพราะคิดตอนจบไม่ออกค่ะ พอดีมันฝันเลยมาเขียนเล่นๆเฉยๆ กะว่าจะปั่นเรื่องEscapeให้จบแล้วแต่งอีกเรื่องนึงที่วางพล็อตไว้หมดแล้ว (????)? ??? ล้มโต๊ะแม่ม
จากนั้นก็เข้ามาเห็นคอมเม้นต์ว่ามีหลายคนที่มารออยู่เหมือนกัน เลยเผาตอนจบอย่างลวกๆในหัว
ไหนๆก็จะแต่งแนวโอเมก้าแล้ว ทำเรื่องนี้ให้จบไวๆแล้วเอาไปเชื่อมกับอีกเรื่องน่าจะดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น